น้องณิรินเล่าเหตุการณ์โดนเพื่อนบูลลี่ หนิงลั่นลูกเจ็บแม่เจ็บกว่า
ณิริน : คือหม่ามี๊ก็ทำงานเยอะ มันจะเครียด หนูรู้เลยล้านเปอร์เซ็นต์ว่าถ้าหนูบอกแม่ แม่ต้องโทรไปปรึกษาน้าๆ น้าๆเขาก็มีลูก มีงาน มีอะไรต้องทำ หนูก็เกรงใจหม่ามี๊แล้วก็น้าๆ หนูก็เงียบไม่ได้พูดอะไร
แล้วต้อนนั้นยังอยากไปโรงเรียนมั้ย ?
ณิริน : หนูแค่รู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนก็ไปปกติไม่ได้มีคิดว่าอยากไปไม่ไป หนูก็ยังมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่หนูสนิทเขาก็ช่วยหนู อยากไปโรงเรียนเพราะอยากเจอะเพื่อนกลุ่มนี้
หนิง : หนิงใช้วิธีซึมๆเข้าไปอยู่ในแก้งเด็กแล้วก็ไปฟังเด็กๆคุยถึงลูกเราแล้วก็ประมวลผลและกลับมาบอกณิรินว่า ณิรินยังอยากไปโรงเรียนอยู่อีกมั้ย ถ้าไม่อยากไปย้ายโรงเรียน เขาส่ายหน้า เพราะถ้าเขาย้ายเขาต้องไปเริ่มใหม่แล้วไม่รู้ว่าที่ใหม่ มันจะหนักกว่าเดิม นี่คือคำตอบของลูก เขาสู้ แล้วก็บอกกับเขาว่า ชีวิตณิรินโคตรมีค่าเลยฉะนั้นใครจะมาบูลลี่เราไม่ได้ ต่อให้เราไม่เก่งเราก็ต้องพยายามฝึกฝน เราอาจจะไม่เก่งจริงก็ได้ ใครว่าอะไรกลับมาดูตัวเอง ว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆมั้ย ถ้าเราเป็นอ่ยางนั้นจริงๆ ชีวิตคนเราถ้าเรายอมรับว่าเราผิด เรายอมรับว่าเราเป็น เราจะแก้ไขได้ แต่ถ้าเราไม่ยอมรับแล้วมีอีโก้เราจะแก้ไขไม่ได้ เขาก็ยอมรับบางเรื่องว่าเขาเป็นกระต่ายกับเต่า
คือยังไง ?
หนิง : เวลาเขาไปเรียนอะไรใดๆสมมติเรียนเปียโนครูจะบอกว่าหูดีมาก ฟังดีมาก บางคนเพลงเพลงนึงใช้เวลาเรียนชั่วโมงนึง ยัยนี่ 15 นาทีจำทุกอย่างได้หมดแต่ไม่ซ้อม ฉะนั้นก็ต้องฝึก แต่ถ้าคิดว่าใช่แล้วไม่ต้องสนใจเลยและสิ่งที่หนูทำอยู่ทุกวันนี้ทำผิดมั้ย ถ้าไม่ผิดเรามีคุณค่าส่องแสงมันออกมา แต่ใช้เวลา 1 ปีกว่าเขาจะเข้าใจเรื่องพวกนี้
ณิริน : ขี้เกียจ ยอมรับว่าขี้เกียจ
หนิง : มันไม่ได้ต้องการให้ลูกขึ้นไปโชว์บนเวที ไม่ต้องการให้ลูกทำอะไรแล้วเด่น แต่เรารู้ว่านี่คือความสุขของเขา แล้วเขาก้าวผ่านมันไปอีกสเต็ปนึง เราก็รู้ว่าความสุขของเขาในการร้อง การเต้น ที่ผ่านมาเหมือนเราเคยยั้งเขาเอาไว้ คือทุกคนจะเข้าใจว่าเราอยากให้ลูกเป็นดารา เป็นศิลปิน แต่ในความเป็นจริงเราดึงเอาไว้ตลอดทุกครั้งที่เขาทำ เราไม่อยากให้เขาทำเยอะ อยากให้เขาเรียนหนังสือ อยากให้ใช้ชีวิต แต่ทุกครั้งที่มีงานคอนเนคชั่นหนิงอันนี้ปฎิเสธไม่ได้ อันนี้เขาอยากทำเองเดินไปขอผู้ใหญ่เอง เราเลยรู้สึกว่าเขาหาตัวตนเขาเจอแล้วเขามีความสุขกับมัน เขาก้าวผ่านมันไปอีกหนึ่งสเต็ป อีกแค่สเต็ปเดียวนะ แต่หลังจากนี้มันก็ต้องมีสเต็ปของการจะจริงจังกับมันแค่ไหน จะเดินหน้าต่อไปในอนาคตยังไง ก็เป็นอีกสเต็ปของชีวิต
ณิริน : หนูรู้สึกว่าพอหนูโชว์วันนั้นหนูก็ตกใจนะแล้วก็รู้สึกว่าหนูเลือกถูกมั้ย เพราะบ้านอื่นเขามากันแค่ 4-5 คน บ้านอื่นจะมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า คุณยาย น้า แค่นั้นไม่เกิน 10 แต่แม่แห่กองเชียร์มาประมาณ 20 คน แล้วโรงเรียนหนูจะแยกพื้นที่ข้างล่างจะมีสามส่วน ข้างบนอีกสอง ข้างบนเดินขึ้นบันไดไป 10 กว่าส่วน แล้วมันก็จะมีส่วนที่อยู่ข้างซ้ายของเวทีแล้วมันจะมีตรงกลางแล้วตรงกลางตรงนั้นมันจะมี 50 กว่าที่นั่ง คือทั้งหมด 50 กว่าที่นั่งตรงนั้นบ้านหนูหมดเลยแล้วนั่งตรงตรงกลางแถวแรกจนไปถึงแถวที่สี่ หนูอยู่บนเวทีจะชอบหันมาดูครอบครัวว่าเขาทำอะไรกันอยู่ หนูเห็นอาม่านั่งสวดมนต์ แล้วนั่งเหลือกตามอง หนูก็ฮึบแล้วค่อยมาขำหลังเวที(หัวเราะ)
ที่ถูกบูลลี่เล่นเปียโนไม่เก่ง เล่นดนตรีไม่เก่ง ตอนนี้เป็นยังไง ?
ณิริน : ตอนนี้มีวงดนตรีชื่อวง Clover ช่วยไปกดไลค์ให้หนูหน่อยนะคะ เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปเป็นแบนด์ของผู้หญิง ขอบคุณหม่ามี๊นะคะที่ซัพพอร์ตหนู
https://www.facebook.com/teeneedotcom