นางเอกสุดสตรองไม่ขอเงินสามีใช้ซักบาท พร้อมแย้มข่าวดีเรื่องลูกคนที่2
ก้อย : ตอนนี้ก็เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเพราะขวบครึ่งแล้ว เริ่มพูดได้หลายคำแล้วก็จะเริ่มไม่อยู่นิ่งแล้ว เป็นเด็กแอ็คทีฟ ชอบวิ่งเล่น
ถ้าให้แม่โหวตความซน 1-7 อยู่เลเวลไหน ?
ก้อย : ประมาณ 7 ยังเป็นเลเวลที่เราควบคุมได้ ถ้าโตไปมากกว่านี้อาจจะถึง 10 ได้
เห็นว่ามีพฤติกรรมเลียนแบบด้วย ?
ก้อย : เด็กในวัยนี้เค้าจะชอบมอง ชอบสังเกต ดูว่าผู้ใหญ่ทำอะไรแล้วจะทำตาม เพราะฉะนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่พ่อและแม่อยากจะเสริมอะไรให้เค้า อยากจะเติมอะไร อยากจะให้เค้าโตเป็นแบบไหน มันคือช่วงเวลาที่จะนำพาสิ่งนั้นมาให้เค้า อย่างเช่นเราอยากให้ลูกเป็นเด็กดีมีมารยาท เราอยากให้ลูกมีสัมมาคารวะ อยากให้ลูกยกมือไหว้คนเราก็ต้องไหว้ ทำแบบนี้ให้เค้าเห็นซ้ำๆ จากตอนแรกที่เค้าอาจจะยังทำไม่เป็น แต่พอเราทำเรื่อยๆ อย่างเช่นพี่ตูนกลับมาบ้านก็ยังมือไหว้พี่ตูน หรืออย่างทะเลทำอะไรให้พี่ตูน ทะเลหยิบอันนี้ให้พ่อหน่อย หยิบปุ๊ปพี่ตูนยกมือไหว้ขอบคุณลูก พอเค้าเห็นปุ๊ปเค้าก็จะทำเค้าจะรู้ว่านี่คือการยกมือไหว้แสดงการขอบคุณหรือเป็นการสวัสดี
แล้วอยากจะให้ลูกแสดงความรักโดยการหอมแก้มคุณพ่อก็ต้องหอมแก้มคุณแม่ให้ดูก่อน ?
ก้อย : ใช่ (ยิ้ม)
ก้อย : ทั้งสองอย่าง ตอนเช้าเราตื่นมาก็จะบอกว่าทะเลเรามากู๊ดมอนิ่งกันนะ เรามอนิ่งคิสกันนะ เราก็จะหอมแก้มลูกเสร็จแล้วเราก็จะให้ลูกคิสแม่หน่อย คิสพ่อหน่อย บางทีถ้าเค้าไม่ทำเราก็จะคิสกันให้เค้าเห็นว่าพ่อกับแม่จะคิสกันแล้วนะ พอเค้าเห็นก็จะมาทำ
เวลาเราถามว่าแม่ชื่ออะไร แล้วเค้าบอก "ตูน" นี่คือสิ่งที่ขัดใจมั้ย ?
ก้อย : เป็นสิ่งที่ไม่เข้าใจก็บอกลูกมาตลอดว่านี่พ่อตูน นี่แม่ก้อย แต่ทุกครั้งเวลาถามทะเลว่า ทะเลแม่ชื่ออะไรเค้าจะบอกว่า "ตูน" คือจะเรียกแต่ตูนตูน
คนนี้ได้เลือดตูนมาเยอะมาก ทะเลยังมีความสามารถเรื่องดนตรีด้วย อายุแค่ปีครึ่งรู้ได้ไงว่าเค้าเก่งดนตรี ?
ก้อย : คือก้อยไปตรวจเค้าเรียก my DNA เป็นการวิเคราะห์ทางลายนิ้วมือเพื่อดูว่าเค้ามีความถนัดอะไร อันดับ 1 ของเค้าคือเรื่องดนตรี เวลาเค้าได้ยินเสียงเพลงเค้าก็จะเต้น ร้องตาม โยก หรือเวลาที่ก้อยพาเค้าไปดูคอนเสิร์ตพี่ตูน เค้าจะตั้งใจดูแล้วก็ตบมือ เค้าอินกับการดูคอนเสิร์ต เค้าซึมซับเสียงดนตรีตั้งแต่อยู่ในท้องเพราะพี่ตูนเล่นกีต้าร์ให้ลูกฟังตั้งแต่ทะเลอยู่ในท้อง
พี่ตูนหลงขนาดไหน ?
ก้อย : อย่าเรียกว่าหลง เรียกว่าคลั่งเลย คือแม่ก็คลั่ง มันเหมือนรักครั้งใหม่ของเราสองคน
ใครคลั่งลูกมากกว่ากัน ?
ก้อย : คนที่จะดูคลั่งมากกว่าน่าจะเป็นพี่ตูนเพราะพี่ตูนต้องไปเล่นคอนเสิร์ต แล้วเค้าต้องบินจากภูเก็ตบินไปโน่นไปนี่หลายๆที่ บางทีเค้าเล่นคอนเสิร์ตเสร็จตี1 - ตี2 เราบอกพี่ตูนว่าไม่ต้องห่วงนอนพักไปเลย แล้วสายๆค่อยบินกลับ เค้าก็จะเลือกไฟล์ทที่เช้าที่สุดของวันถัดไปเพื่อที่จะบินมาหาลูก แล้วก็จะใช้เวลาทั้งวันกับลูก ให้เวลากับลูกเยอะมากๆ
นี่คือความเห่อเบอร์ 1 ความเห่อเบอร์ 2 คือถ้าพี่ตูนต้องไปคอนเสิร์ตหลายๆวัน คุณก้อยต้องถ่ายรูปลูกส่งไปถี่ๆ รัวๆ เลย ?
ก้อย : รายงานให้พ่อรู้ว่าลูกทำอะไร กินข้างหรือยัง นอนหรือยัง เราต้องรายงานทุกอย่างแล้วพ่อก็จะวีดีโอคอลกลับมา เวลาวีดีโอคอลนางก็อัดหน้าจอไว้ว่าคุยอะไรกับลูกบ้าง
ณ จุดนี้เต็มอิ่มที่สุดในชีวิตมั้ย ?
ก้อย : มันคอมพลีทค่ะ แล้วการที่ย้ายไปอยู่ภูเก็ตมันเหมือนกับเราได้ใช้ชีวิตจริงๆ เป็นครอบครัวแบบพ่อแม่ลูก 3 คน ก้อยต้องขอบคุณพี่ตูนที่เค้าตัดสินใจจะพาเราและลูกย้ายไปอยู่ภูเก็ต ซึ่งความคิดนี้มาก่อนโควิดด้วยซ้ำ ตอนนั้นเราไม่ได้เชื่อเค้า 100% การที่ย้ายไปอยู่ตรงนั้นเราก็นึกภาพไม่ออก เพราะเราเป็นคนอยู่ในเมืองมาตลอด
กรี๊ดมั้ย ทะเลาะมั้ย ตอนแรกที่บอกว่าจะไปอยู่ภูเก็ต ?
ก้อย : ไม่ได้ทะเลาะเรียกว่าช็อคคืออยู่มาวันหนึ่งนางพาเราไปที่ดินผืนหนึ่งโล่งๆ แล้วก็จับมือบอกว่าเราจะมาสร้างบ้านอยู่ที่นี่ด้วยกันนะ หนูก็อึ้งแล้วหันไปถามหนูหรือเป็นประโยคบอกเล่า(หัวเราะ) เราก็ยังไม่มีภาพในตอนนั้นว่ามันจะเป็นยังไง สุดท้ายแล้วพอเวลาผ่านมา ผ่านสถานการณ์โควิดต่างๆมา ก้อยขอบคุณเค้ามากๆ
ต้องนับถือความทุ่มเทของครอบครัวนี้เพราะต้องบินไปบินกลับเวลาทำงาน ?
ก้อย : แต่ถือว่าก้อยยังน้อยกว่าพี่ตูน เพราะว่าก้อยตั้งใจอยากจะทุ่มเวลาทั้งหมดช่วงสามขวบปีแรก ก้อยอยากจะให้เวลากับเค้าได้เต็มที่ คนที่เหนื่อยก็จะเป็นพี่ตูน
ก้อย : เคยพูด แต่ว่าเราเข้าใจความรู้สึกเค้า คือมันเป็นความเหนื่อยที่เราแลกได้กับการที่ได้มาเจอลูกมาใช้เวลากับลูกมันเป็นเวลาคุณภาพที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ไม่ว่าเค้าจะทำงานมาเหนื่อยแค่ไหน เค้ามาอยู่ที่บ้านก็จะเล่นกับลูกอย่างเต็มที่ พาลูกไปเรียนว่ายน้ำ ไปทะเล เราสองคนเป็นพ่อแม่สายกิจกรรม เพราะเราเชื่อว่าการที่ให้เค้าได้ไปเห็นได้เรียนรู้สัมผัสด้วยตัวเอง มันเป็นหนึ่งในการเสริมพัฒนาการให้เด็ก
ทำไมต้องเลี้ยงลูกแบบธรรมชาติ ?
ก้อย : พัฒนการของเด็กมันควรเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วโลกสมัยนี้มันไม่ได้สะอาดเหมือนสมัยคุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่าเรา ธรรมชาติมันน้อยลงมากๆ เราก็เลยต้องหาที่ที่เป็นธรรมชาติให้กับลูกเราจริงๆ เราก็เลยตัดสินใจว่าการไปอยู่ภูเก็ตอย่างน้อยมันได้ธรรมชาติกับอีกอย่างหนึ่งเรื่องของเทคโนโลยีที่สมัยนี้มันมาไวมากๆ
เห็นบอกว่าไม่ให้ดูมือถือเลย ?
ก้อย : ใช่ค่ะ
ดูทีวีได้มั้ย ?
ก้อย : ทีวีไม่เคยเปิดเลย ก้อยไม่ได้ดูทีวีมา 2 ปี ตั้งแต่มีลูกคือปิดทีวีเลย
แล้วอย่างตูนชอบบอลมาก ?
ก้อย : นางก็ต้องมาดูตอนลูกหลับ เราจะไม่ดูบอลระหว่างที่ลูกยังไม่นอน แต่เราก็ไม่ได้เคร่งขนาดว่าพาเค้าออกไปข้างนอกแล้วมันมีจอ LED ต้องปิดตาไม่ให้ดู ไม่ได้ขนาดนั้น ก็เห็นได้
ใครโหด ใครใจดี ?
ก้อย : ตอนแรกก็คิดว่าก้อยใจดีแล้วพี่ตูนโหด เพราะพี่ตูนมีความเข้มงวด แต่ตอนนี้ด้วยความเป็นแม่มั้ง กลายเป็นพี่ตูนใจดีเวอร์แล้วสปอยลูกสุด มีวันนึงก้อยไปทำงานแล้วพ่อได้อยู่กับลูก 1 วัน พาลูกไปเที่ยวห้าง ซื้อของเล่น
เวลาเราเลี้ยงลูกมีอะไรที่เราไม่ตรงกันมั้ย ?
ก้อย : ถามว่ามันมีมั้ย มันมีอยู่แล้ว เพราะเราทั้งคู่โตมาในครอบคราวที่ไม่เหมือนกัน ในการเลี้ยงลูกบางทีเรามีความเห็นไม่ตรงกันเราจะกลับมานั่งคุยกัน เราก็มาเจอกันตรงกลาง เราอยากเป็นพ่อแม่ที่ไม่สปอยลูกเกินไป อยากเลี้ยงลูกที่ใช้เหตุผลให้เค้าเข้าใจ อะไรที่ผิดอาจจะไม่ได้ห้ามทันที ให้เค้าได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วเราค่อยอธิบาย น้องทะเลเหมือนเป็นคนที่ต้องคุย ต้องอธิบาย ถ้ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
ตั้งแต่แต่งงานจนย้ายไปอยู่ภูเก็ตยังไม่ได้จดทะเบียนกันเลย ?
ก้อย : ใช่
เพิ่งจะใช่มั้ย ทำไมเราเลือกจดทีหลัง ?
ก้อย : จริงๆเราไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ดีกว่าตอนแต่งงานเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ไม่ได้พูดถึงเรื่องจดทะเบียนสมรสเลย คือก้อยก็ลืมไปเลยด้วยซ้ำ ก้อยรู้สึกว่าแค่จัดงานเราก็แฮปปี้แล้ว เลยไม่ได้คุยเรื่องนี้ จนเวลาผ่านไปปีกว่าเค้าก็ถามว่าอยากเปลี่ยนมาใช้นามสกุลเดียวกับพี่มั้ย เราก็รู้ว่าเค้ามีความตั้งใจ ลูกก็ อาชวิน คงมาลัย , อาทิวราห์ คงมาลัย เค้าก็คงอยากให้เรามาเป็นหนึ่งในสมาชิก คงมาลัย
บางทีเรามีลูกพ่อและแม่โฟกัสที่ลูกมากเกินไปจนเกิดปัญหา ก้อยเองก็เกิด ?
ก้อย : มันจะเป็นเหมือนกับว่าเราเป็นพ่อแม่มือใหม่ แล้วเราก็จะโฟกัสทุกอย่างไปที่ลูกหมดเลย จนบางครั้งเราก็ต้องถามตัวเองว่าเราทำหน้าที่แม่ได้ดีแล้ว แล้วเราทำหน้าที่ภรรยาดีหรือยัง เมื่อก่อนโลกทั้งใบของก้อยมีแต่พี่ตูน พอมีทะเลมันก็กลายเป็นทะเล เราเลยรู้สึกว่าเราลืมที่จะดูแลเค้าหรือเปล่า เลยบอกเค้าว่าถ้าพี่ตูนรู้สึกว่าก้อยดูแลพี่ตูนน้อยลงให้บอกนะ แต่ทุกวันนี้เค้ายังไม่บอก (หัวเราะ) ก้อยรู้สึกว่าก้อยจะรู้สึกว่ากดดันตัวเองเกินไป เพราะก้อยอยากจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะบทบาทของแม่หรือบทบาทของภรรยา ทุกวันนี้พอเอาลูกเข้านอนแล้วพี่ตูนเล่นคอนเสิร์ตกลับดึกก้อยก็จะรอเค้า พอเค้ากลับมาเราก็จะเตรียมอาหารให้เค้า อยู่เป็นเพื่อนคุยกันตอนดึก บางทีกลางวันไม่มีโอกาสได้ใช้เวลากันสองคน กันที่ได้คุยกันสองคนบ้าง เวลาหลังลูกนอนเราสองคนจะได้พูดคุยกัน
ก้อย : มันก็ต้องหาเวลา มันได้ เดี๋ยวมันได้เอง (หัวเราะ)
ก้อยเคยน้อยใจอะไรพี่ตูนมั้ย ?
ก้อย : ยังไม่ถึงกับน้อยใจ แค่แซวๆ เวลาเค้ากลับมาถึงมาหาลูก กอดลูกหรือวีดีโอคอลหาลูก คำแรกที่ถามลูกเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ถามถึงเรา แม่เป็นไง แม่ทำอะไรอยู่ เราก็จะแซวเค้าว่า ไม่ถามถึงแม่แล้วเนาะ ถามถึงแต่ลูก
เคยมีปัญหาถึงขั้นต้องจับเข่าคุยกันเลย ?
ก้อย : ช่วงโควิดเราอยู่ด้วยกันเยอะมาก มันเป็นช่วงแรกของการเป็นแม่ เค้าก็เห็นว่าเราเหนื่อยมากๆ อดนอน ปั๊มนม เลี้ยงลูกให้นม เราทำทุกอย่างด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด เค้าอยากจะแบ่งเบาเราพยายามที่จะเข้ามาช่วย บางอย่างเค้าทำได้ แต่บางสิ่งก็ต้องยอมรับว่าเค้าทำไม่ได้
มีความนอยด์เรื่องที่เค้าทำไม่ได้ ?
ก้อย : มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เค้าทำไม่ได้ คือการกล่อมลูก มันเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งก้อยรู้เลยว่าพี่ตูนตั้งใจมาก คือก้อยวุ่นมากกำลังรีบจะทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะพาลูกเข้านอน เราก็แปรงฟันอยู่ พี่ตูนบอกว่าเดี๋ยวเค้ากล่อมลูกให้ เราก็แอบดูจากที่ค่อยๆอุ้มตบก้นซักพักลูกไม่หลับเริ่มแกว่งแรงขึ้น
เค้าเครียดมั้ย ?
ก้อย : เค้าเครียด อยากจะทำให้ได้ ช่วงโควิดเค้าไม่ได้ออกไปไหน แล้วเค้าเห็นทุกอย่าง เค้าก็อยากมาช่วยเรา แต่บางสิ่งบางอย่างที่เค้าไม่สามารถทำเหมือนแม่ได้ เค้าจะทำยังไง พ่อต้องทำยังไง พ่อต้องมีหน้าที่ยังไง เราก็เลยบอกว่าเดี๋ยวต่อไปในอนาคตก็จะมีบางสิ่งที่แม่ทำไม่ได้แล้วพ่อทำได้เหมือนกัน เช่น ลูกโตขึ้นอยากจะไปเตะบอล อยากจะเล่นดนตรี พ่อพาลูกไปเลย พ่อทำได้ ณ เวลานี้ให้แม่ดูแล มันเหนื่อยอยู่แล้วแต่แม่เต็มใจ มีความสุข
แล้วเค้าเข้าใจมั้ย ?
ก้อย : เค้าเข้าใจ จับเข่าคุยกันเลย พออธิบายก็ผ่อนคลายลง เริ่มเข้าใจมากขึ้น
คุณพ่ออยู่บนเวทีโหดดุดันไม่เกรงใจใคร เสาไฟก็ปีนมาแล้ว ตอนนี้ยังโดดอยู่มั้ย ?
ก้อย : ไม่โดดแล้ว ตอนนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อลูกแล้ว เราจะไม่ทำอะไรที่มันสุ่มเสี่ยง ก้อยไม่ได้บอกนะ แต่ก้อยสังเกตว่าเค้าไม่ได้ผาดโผนเหมือนเดิมแล้ว แต่ว่าเรื่องของการใช้ร่างกายหนักๆมากกว่า ถ้าเป็นแต่ก่อนพี่ตูนก็จะวิ่งมาราธอนต่อปีเยอะๆมาก เดี๋ยวนี้เรารู้สึกว่าเราเซฟร่างกายไว้เพื่อตัวเล็กดีกว่า
ทำไมก้อยเลือกคลอดธรรมชาติ ?
ก้อย : มันเป็นความตั้งใจส่วนตัวของเราที่รู้สึกว่าอยากจะสัมผัสความรู้สึกของแม่ รู้ว่าเจ็บแต่ทุกคนบอกว่ามันเป็นความเจ็บที่อดทนได้ เราผ่านจุดที่มันผ่านอะไรมาเยอะแยะ เราน่าจะทนได้ ก่อนหน้าที่จะมีลูกก้อยก็ออกกำลังกายมาค่อนข้างเยอะ เรายังแข็งแรงอยู่ถ้าทำได้ก็อยากคลอดธรรมชาติดู
ตอนคลอดไม่เจ็บปวดแต่มาเจ็บปวดตอนหลังน้ำนมไม่ออก ?
ก้อย : อันนี้เจ็บกว่าคลอด บอกคุณแม่ไว้เลยว่าตอนเบ่งคลอดไม่เจ็บปวดเท่าน้ำนมคัดเต้า แล้วเราไม่สามารถระบายออกได้ เวลาเราคลอดลูกเสร็จจะต้องมีน้ำนมให้ลูกซึ่งมันเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ร่างกายผลิตน้ำนมมา ถ้าเราไม่ได้ปั๊มออกหรือลูกไม่ได้ดูดออกแล้วมันคัดที่เต้า เต้ามันจะขยายขึ้นเรื่อยๆ แล้วมันก็จะแข็ง มันเจ็บมากๆ การให้นมคือที่สุดขอแม่แล้ว
ก้อย : อยากมี อยู่ในกระบวนการอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชายอยากได้หมด แต่ถ้าถามใจเราอยากได้ผู้หญิง เพราะมีผู้ชายแล้ว ก็มีดูไว้ว่าต้องคลอดภายในปีเถาะถ้านับเป็นจีนข้ามไปถึงมกราปีหน้า แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสคือถ้าได้ก็ดี ถ้าตามศาสตร์จีนคือพี่ตูนปีมะแม ก้อยปีกุน ถ้ามีลูกปีเถาะมันจะดีกับเราทั้งคู่เป็นความสมพงษ์กัน
มูเตลูขอพรสิ่งศักสิทธิ์เยอะมาก ?
ก้อย : ก็คือไม่พึ่งวิทยาศาสตร์ แต่พึ่งไสยศาสตร์ (หัวเราะ) ที่ภูเก็ตจะมีเยอะมาก เราอยู่ที่นั่นก็หมือนเราไปฝากตัวเป็นคนภูเก็ตด้วย เวลาไปไหว้ก็ขอลูกสาวเน้นๆไปเลย
ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยขอเงินสามีใช้ซักบาทเดียว ?
ก้อย : ต้องบอกว่าพี่ตูนเค้าดูแลซัพพอร์ตในเรื่องของครอบครัว ลูก แต่สำหรับก้อยเองเรารู้สึกว่าเราทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ เราก็หาเงินมาด้วยตัวเองตลอด เราไม่อยากจะเพิ่มภาระให้เค้า เราอยากจะใช้เงินตัวเองภูมิใจกว่า ก้อยก็ทำธุรกิจหนึ่งที่เป็นรายได้ให้กับตัวก้อยเองมาจนถึงทุกวันนี้ ก้อยอยากจะทำใหมันต่อยอดดูแลตัวเองแล้วก็ดูแลลูกต่อไป
ก้อย : อยากบอกเค้าว่า แม่รักลูกมากๆ แม่จะคอยดูทะเลเติบโตขึ้นทุกๆวัน ไม่ว่าโลกในวันข้างหน้าจะเป็นยังไงแม่ก็จะคอยอยู่ข้างๆทะเลเสมอ ไม่ว่าทะเลเจออะไรมาทะเลหันมา ทะเลก็จะจเอแม่อยู่ข้างๆ แม่รักลูกที่สุด
ตูน : พ่อแม่ขอบคุณมากที่มีทะเล ทะเลเกิดมาทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความหมายขนาดนี้ ขอบคุณเค้า
อยากบอกอะไรคุณภรรยา ?
ตูน : จริงๆ ผมบอกตลอดอยู่แล้ว ผมมักจะพูดกับเค้าอยู่เสมอทุกวัน เราไม่ได้ลงโมเม้นท์วันเกิดหรือวันครบรอบ ผมจะพูดกับเค้าตลอด ตื่นเช้ามานึกออกก็จะบอกว่า รักนะ ขอบคุณที่ดูแลครอบครัวอย่างดีและเสียสละบอกทุกวันอยู่แล้ว ก็ขอบคุณมากที่เสียสละให้ ครอบครัวขนาดนี้
ก้อย : ขอบคุณพี่ตูนหลายๆอย่างที่ทำให้ก้อยกับน้องทะเล ทำให้วันนี้เรามีครอบครัวที่เติมเต็มทุกอย่างในชีวิตจริงๆ เราก็อยากจะตื่นนอนมาเจอเค้าทุกเช้าแล้วก็นอนหลับไปพร้อมกันทุกวัน มีลูกที่น่ารักๆด้วยกันอีก ก็จะพยายามให้น้องสาวทะเลมาไวๆนะคะ
https://www.facebook.com/teeneedotcom