แอนนายกมือไหว้ขอกระติกพูดความจริง! เผยแตงโมมาในงานไว้อาลัย
แอนนา : ตั้งแต่คุณแม่ออกมาบอกว่าเลื่อนเผาศพ แล้วก็ยอมรับในสิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือพูดตรงๆ ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุหรือจะเป็นอะไรก็ตามเรารับได้หมดขอให้มันเป็นความจริง แล้วตัวนิสัยของแตงโมเองเป็นคนไม่ได้อาฆาตอะไรกับใครทั้งสิ้น แค่พูดความจริงออกมา แอนนาว่าคนทั้งประเทศรับได้ แล้วเชื่อด้วยว่าถ้าพูดความจริง พูดกี่ครั้งมันก็ด็ออกว่าพูดความจริง
ฮิปโป : ในความคิดเห็นเป็นไปในทางเดียวกับพี่แอนนาเลย สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือเกิดอะไรขึ้นบนเรือ แค่นั้น ไม่ต้องการหาว่าใครเป็นคนผิด แค่ต้องการรู้ความจริง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราคิดวนอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนหลับ มันทำให้มีประโยคนึงขึ้นมาว่า ถ้าเราไม่ได้รู้ความจริง จินตนาการมันจะล้ำเลิศไปมาก มันจะคิดไปได้ต่อเนื่องเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นเราไม่อยากให้จินตนาการมันหลุดไปมากกว่านี้ รู้สึกว่าถ้ามีใครสักคนพูดความจริงมา เราจะจบเลย
ผลชันสูตรที่ตอนนี้คุณแม่และทนายเดชาออกมาพูดแล้วว่า ฟันไม่หัก แผลไม่ได้ลึก ทั้งหมดทั้งมวลมันก็มีความคิดว่ามันยังมีความไม่จริงอยู่ในนั้น ใช่หรือไม่?
แอนนา : หนูมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมมติแตงโมไม่ใช่ดารา แล้วไม่มีหน่วยกู้ภัย หรือใครไปมากขนาดนั้น แอนนาคิดว่าแล้วคดีนี้มันจะจบลงที่ตรงไหน จบลงยังไง มันน่าจะปิดคดีไปแล้วด้วยซ้ำ ในความรู้สึกของแอนนาเองนะคะ แต่พอเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ มีนเลยกลายเป็นว่าคนโฟกัสแล้วช่วยกันหาหลักฐานมากขึ้น ความผิดสังเกต ความรู้สึกที่เราสฃสัย อันนี้เป็นความสงสัยจากแอนนานะ อยากจะรอสักวันที่แอนนามีโอกาสคุยกับกระติก แต่ไม่ได้เป็นการคุยแบบทะเลาะกันนะคะ คุยกันตรงๆ ว่าทำไมเธอถึงกลับไปนอนที่บ้านได้ในเมื่อเพื่อนตกน้ำ แล้วบางอย่างที่เธอพูด เธอรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วเวลาเขาพูดกับแอนนา เขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบไหน แอนนาว่าเราไม่ต้องมานั่งคาดคั้นหรอกว่ากระติก พูดออกมาๆ เราว่าถ้าเขาจะไม่พูด เขาก็ไม่พูด แต่เขารู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่าความจริงมันคืออะไร
แอนนา : ไม่ติดใจเลยค่ะ เรามองว่าคนเราจะตกน้ำไป ผลักให้ตกน้ำก็ฆาตกรรมนะคะ ไม่ต้องทำให้ตกน้ำก็ได้ หรือตกน้ำแล้วไม่ช่วยอันนี้ เราอยากรู้มากกว่าสรุปแล้วตอนตกน้ำเห็นใช่ไหม แล้วทำไมการตกน้ำไปต่อหน้า ต่อตา เมื่อเห็นแล้วช่วยไม่ได้ คือน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามันไม่ได้เป็นสีดำ มันออกเป็นสีน้ำตาล เวลาตกมันก็ต้องรู้จุดที่ตกอยู่ตรงไหน นี่กลายเป็นว่าพอตกลงไปแล้ว เจ้าหน้าที่มาหากี่หน่วยยังหาไม่เจอ มันเป็นไปไม่ได้
พุดเดิ้ลคาใจไหมกับผลชันสูตร?
พุดเดิ้ล : ถามว่าติดใจไหม มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามันสรุปเร็วไปไหม เพราะเราก็รู้สึกว่ามันใช่อย่างพูดไหม มันใช่หรือเปล่า
ถ้ามีการชันสูตรรอบสอง แล้วผลมันยังออกมาเหมือนเดิมกับคำว่าอุบัติเหตุ ฮิปโปโอเคไหม?
ฮิปโป : ความเห็นส่วนตัวนะคะ เราคิดว่าเป็นอุบัติเหตุตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเป็นฆาตกรรมหรือเป็นอะไรอย่างอื่น แค่อยากรู้ว่าเหตุเกิดก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุนี้ มันเกิดอะไรขึ้น เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว ดังนั้นอุบัติเหตุนี้มันเป็นเพราะอะไร มันถึงทำให้เขาประสบนี้
ล่าสุดทนายเดชาบอกว่า ทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้ง 3 ท่านมีใครได้คุยกับทนายเดชาบ้างไหม?
แอนนา : พวกเรายังไม่ได้คุยค่ะ เพราะพวกเราไม่อากเข้าไปก้าวก่ายในส่วนของคดีมาก ก็พูดตรงๆ ว่าก่อนหน้านี้ที่มีประเด็นที่คุณแม่บอกว่าอยากจะพูดอะไรให้ถามคุณแม่ก่อน เราเข้าใจคุณแม่หมดเลยแล้วเราอยากให้เห็นใจคุณแม่ด้วย เพราะว่าตอนหลังคุณแม่มีภาวะความเครียดมาก ตอนเจอที่งานศพ เราเห็นเลยว่าแม่ผอมลงมาก แกบอกว่า เครียด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
การชันสูตรครั้งที่2 เขาบอกจะให้เพื่อนสนิทเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเหรอ?
แอนนา : เหมือนจะให้เข้าไปยืนฟัง แล้วเขาจะถามว่าโมทานยาแบบนี้ไหม โมมีภาวะอะไรบ้างแล้วโมว่ายน้ำ เขาคงจะมีคำถาม พวกเราสรุปกันแล้วว่าถ้าต้องเข้าไปก็เข้าไป พวกเราไม่ได้กลัว
ชันสูตรครั้งที่2 ต้องไปอยู่ข้างๆ ศพเลยเหรอ?
ฮิปโป : เบื้องต้นยังไม่ได้สรุปว่าจะต้องเห็นตอนที่เขาชันสูตรไหม
มีอีกประเด็นที่ถกเถียงกันในโลกโซเชียล คือมีผลออกมาว่าพบยาโรคซึมเศร้า ยาแก้ปวด แล้วก็พบแอลกอฮอล์ในร่างน้อง ซึ่งตรงนี้มันเป็นสิ่งที่โซเชียลถกเถียงกันเยอะมากว่าทำไมคนบนเรือก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่พบอะไรที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์เลย เรามองยังไง?
แอนนา : เรื่องยา โมกินยาอยู่แล้วก่อนนอน ถ้าทันจะตกค้างในร่างกายมันก็ไม่แปลก แต่ถ้าโมจะกินยาขณะอยู่บนเรือมันเป็นไปไม่ได้ เพราะโมเวลาเขาจะกินยา เขาจะบอกว่าเดี๋ยวจะกินยาแล้วนะ เพราะเขากินปุ๊บ เขาจะนอนทันที ดังนั้นเรื่องยาให้ตัดทิ้งได้เลย ส่วนแอลกอฮอล์คนรู้จักโมจะรู้ดีอยู่แล้วว่า โมเป็นคนคออ่อนมาก จะไม่ดื่ม โดยเฉพาะการดื่มบนเรือ หรือต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนั้น ดื่มเต็มที่ก็แค่จิบเล็กน้อย ที่แอนนารู้ดี เพราะแอนนาอยู่กับโมเวลาที่โมไปนั่ง ไปเที่ยวอะไรอย่างนี้ เขาจะจิบถ่ายรูป ถ้าต้องกินมากขนาดนั้นคือผิดวิสัย เราเป็นเพื่อนกันมานาน เรารู้นิสัยกัน เรื่องแอลกอฮอล์ตัดทิ้งไปเลย ถ้าดื่มหรือโมเมาผิดวิสัยจากที่เป็นอยู่จากปกติ คือเขาเคยดื่มนิดหน่อยแล้วก็มีอุบัติเหตุ ทำให้เขาไม่ดื่มอีกเลย แล้วเรื่องยาเสพติดเขาเคยสาบานกับพ่อ แล้วโมเป็นคนรักพ่อมาก ถ้าคำไหนสาบานกับพ่อ สาบานกับพระเจ้าโมจะไม่ทำ ยาเสพติดตัดทิ้ง เรื่องเมาเราไม่แน่ใจว่าวันนั้นกินเพราะอะไร แต่ปกติเพื่อนเราไม่ดื่ม
แอนนา : ก็ต้องถามอีกว่าทำไมบนเรือไม่ดื่ม แล้วดื่มอยู่ที่โมคนเดียว คำถามก็ต้องย้อนกลับไปอีก
งานไว้อาลัยของแตงโมวันสุดท้าย พี่เต้ ผู้จัดการส่วนตัวของพิงกี้ ได้เข้าไปพูดคุยกับคุณกระติก ในภาพหลายคนเห็นว่าเอานิ้วจิ้มด้วย?
แอนนา : จริงๆ การ์ดวันแรกที่กระติกเขียนให้โมมันซึ้งนะคะ มันดีมากด้วย แต่เราไม่ได้ต้องการข้อความซึ้งๆ เหล่านั้น เรามองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เราต้องเอาความเป็นจริงมาคุยกัน การเป็นเพื่อนกัน 10-20-30 ปี หรือเป็นเพื่อนกันกี่ปีก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายแล้วในวันที่เพื่อนเสียชีวิต เพื่อนพูดไม่ได้ ถ้าเป็นเพื่อนแท้ ต้องพูดแทนเพื่อนได้
วงในเขาพูดกันว่าจริงๆ กระติกรับสารภาพแล้ว?
แอนนา : ถ้ารับสารภาพหนูก็แฮปปี้นะ หนูเลิกว่ากระติกมาเป็น 10 วันแล้วนะ มีนจะมีอยู่วันนึงที่หนูรู้ข่าวว่ากระติกเครียดอยากคิดสั้น ถึงวันนั้นหนูไม่พูดเลยนะ หนู่รู้สึกว่าฉันไม่อยากทำบาปกับผู้หญิงคนนึง เอาเป็นว่าถ้าเขารู้สึกว่าสิ่งที่เล่ามาไม่ใช่ความจริง บาปมันจะติดตัวเขาไปตลอด ยิ่งเขาบอกว่าเขานับถือในพระเจ้า แอนนาเชื่ออย่างยิ่งว่า โมเองเป็นคนเชื่อในพระเจ้าแรงมาก ดังนั้นวันนี้โมอยู่กับพระเจ้าแล้ว กระติกเลือกได้เลยว่า กระติกจะอยู่ในนรกหรือจะขึ้นสวรรค์
สมมตินะ เขาอาจจะมีความจริงที่อยากจะพูด มันเป็นไปได้ไหมว่ามันมีอะไรบีบให้เขาพูดไม่ได้ เขาอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก?
แอนนา : ก็เขารักตัวเองมากกว่ารักเพื่อนไงคะ ถ้าเขาจะไม่พูดแสดงว่าเขารักตัวเองมากกว่า คนที่รักตัวเองมากกว่าเขาไม่พูดหรอกคะ เพราะพูดไปเดี๋ยวตัวเองเดือดร้อน พูดไปแล้วอาจจะมีปัญหากับตัวเอง พูดไปแล้วตัวเองอาจจะติดคุก หรืออะไรห็แล้วแต่ไม่รู้ แต่มันก็ทำให้เราเห็นแล้วว่าเขารักตัวเอง คนเรารักตัวเองไม่ผิด แต่ต้องรักตัวเองเท่าๆ กับที่รักชีวิตคนอื่น
เหตุการณ์วันนั้นได้รู้ไหมว่าพี่เต้ไปจิ้มๆ แล้วพูดอะไร?
ฮิปโป : ในวันเกิดเหตุไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกัน มีแต่พี่ๆ นักข่าวถามเห็นหรือยังๆ เราก็เลยมีโอกาสได้คุยกับพี่เต้ เขาบอกว่าฉันไปเชิงสั่งสอน สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ทำไมไม่ช่วย เป็นเพื่อนภาษาอะไรทำไมไม่ช่วยเขาตกน้ำ แต่เขาบอกด้วยวิสัยของพวกเราแอคติ้งจะมีค่อนข้างเยอะ คือเขาไม่ได้คุยแบบจะกระชากหัวอะไรขนาดนั้น เขาสั่งสอน
แอนนา : เขาโกรธด้วย ทุกคนโกรธกระติก เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่ากระติกเป็นคนที่ดูแลโมที่สุด แต่คำตอบคือ กระติกไปในฐานะเพื่อน ทำไมโมไม่ดูแลกระติก อะไรแบบนี้ ตรรกะความคิดมันบิดเบี้ยวไปหมด
ตอนที่กระติกถูกนักข่าวสัมภาษณ์อยู่พุดเดิ้ลก็สวนเลย?
พุดเดิ้ล : ตอนนั้นหนูถือไมค์ แขกทุกคนกำลังจะกลับแล้ว หนูมายืนรอข้างล่าง หนูเห็นเขาแหละ หนูเห็นเขา 3 วันแล้ว วันสุดท้ายนักข่าวก็ไปรุมสัมภาษณ์กัน วันสุดท้ายแล้ว เขาก็ยังไม่พูดอะไรเลย รู้สึกเขานิ่ง และเงียบเฉยมาก หนูเลยเดินและถือไมค์พูดกับเขาเลยว่า ขอความจริงด้วยค่ะ พูดใส่ไมค์ จนพี่นักข่าวบอกว่าพุดเดิ้ลพูดเลย ให้เขาพูดออกมาเลย เขาก็ยังไม่พูด เขาหันมามองเล็กน้อย เขาก็คงตกใจว่าทำไมถึงพูด เพราะคนที่คริสตจักรตอนนั้นได้ยินกันหมดเลย ตอนนั้นนักข่าวมารุมเขาเยอะมาก
ฮิปโป : ใช่ค่ะ
ทำไมตอบแทนกระติกจังเลย?
ฮิปโป : เขาเป็นญาติกัน
แอนนา : ป้าแตงเขาค่อนข้างโกรธฮิปโปนะคะ ก่อนหน้านี้ตอนที่โมเป็นโรคซึมเศร้าหายไปไหนกันหมด แล้วทำไมตอนโมเสียชีวิตออกมาพูด ตอนโมเป็นโรคซึมเศร้าเราแชทคุยกันตลอด แล้วเรามีแชทเก็บไว้ด้วย ป้าแตงอาจจะไม่รู้ว่าบางเดือนเงินโมไม่มีนะ แต่โมให้แอนนาหางานเพื่อจะเอามาจ่ายเงินเดือนป้าแตง
ถ้าป้าแตงดูอยู่อยากบอกอะไรกับป้าแตง?
ฮิปโป : เขาโกรธหนูเรื่องเล็บ ว่าทำไมให้ข่าวว่าเล็บสีนั้นสีนี้ เขาบอกว่าทำไมไม่โทรถามก่อน เราบอก จริงๆ ตอนที่ทะเลาะกันหรือมีปัญหากัน ทำไมโทรหาเราได้ล่ะ แล้วทำไมวันที่บอกความจริง คุณโทรมาหาเราแล้วบอกว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ล่ะ ทำไมเราต้องโทรไปหาเขา
ถ้าเราพูดความจริง ทำไมเราต้องโทรไปขออนุญาตใครอะ?
ฮิปโป : ถูก อันนี้ฮิปโปก็สงสัยทำไมมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หรือบางทีเราให้ข้อมูลเรื่องสีเล็บผิด เขาต้องโทรมาบอกเราสิว่าฮิปโป ไม่ใช่นะ สีเล็บโมทำมาใหม่แล้วนะ เป็นสีนี้ๆ นะ บอกเราสิ หนูก็งงว่าทำไมหนูต้องโทรไปหาเขา ทำไมเขาไม่โทรมาบอกความจริงเราล่ะ เราจะได้บอกถูกว่าจริงๆ ข้อมูลมันเป็นแบบนี้ หนูรู้สึกว่าหนูโทรหาเขาทำไม ในเมื่อเราช่วยเพื่อนกันอยู่
แอนนา : จริงๆ ป้าแตงเป็นคนน่ารัก แต่เพียงแค่ว่าแกอาจจะโกรธที่เราไปพูดถึงกระติกไม่ดี
ตอนที่พี่กระติกเข้าไปในงานได้พูดคุยกับคุณกระติกไหม?
แอนนา : ตัวแอนนาไม่ไป เพราะแอนนามองว่าแอนนาให้เกียรติงาน เราไม่อยากให้มีเหตุการณ์ที่ทะเลาะกันหรืออะไรก็ตามในนั้น ถ้าจะมีต้องไปมีที่อื่น เหมือนที่แอนนาบอกถ้ามีรายการไหนเชิญแอนนามาแล้วมีกระติกมานั่งข้างเนี่ย ไม่เอาเงิน แล้วแถมเงินให้ด้วยนะคะ แถมเงินค่ารถกระติก ช่วยค่าเทอมลูกด้วย
เห็นบอกว่านอกรอบจริงๆ อยากจะนัดเคลียร์เหมือนกัน?
แอนนา : วันที่เราเคลียร์กันที่สถาบันนิติเวช เรามองว่ามายเซตกระติกมันแปลก ถ้าแอนนาเล่าหมด มันจะกลายเป็นไม่แฟร์กับตัวกระติกเองที่เราจะมาพูดอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นมาเล่าตรงนี้ดีกว่าที่มีสื่อ มีคนนั่งฟัง แล้วเดี๋ยวเขาตัดสินเองว่ากระติกโกหกหรือพูดจริง
ในงานทั้ง 3 คนมีโอกาสได้คุยกับแม่ไหม?
แอนนา : คุยค่ะ
ฮิปโป : ไปรับตลอดเลยค่ะ แม่เขาไม่ได้ว่าอะไร แต่ด้วยสภาพความเครียดของแม่ เราก็จะต้องดูแลเรื่องสุขภาพท่านก่อนโรคที่ท่านป่วยอยู่ ความดันต่างๆ เราดูแลในส่วนตรงนี้ ส่วนเรื่องคดีคุณแม่บอกเดี๋ยวเขาจัดการเอง ดังนั้นเราไม่ค่อยไปยุ่งเรื่องของคดีมาก ส่วนใหญ่จะคุยผ่านทางพี่ต่อย แต่ถ้ามีอะไรให้เราช่วย สามารถติดต่อมาได้เลย
แอนนา : ทีมเพื่อนเนี่ยใครจะว่าออกไปจากแม่เถอะ อย่าไปยุ่งกับแม่ เดี๋ยวแม่วีนอีก เรายังยืนยัน พวกเราซัพพอร์ตแม่เสมอทุกเรื่อง เพราะเราต้องการให้แม่สู้เพื่อเอาความจริงมาให้ได้
แต่สายตาประชาชนยังค้านๆ กันอยู่ แม่ให้อภัยแล้ว แต่แม่ก็จะสู้ตรงนี้ ตรงนี้มันจะยืนยังไง ในเมื่อให้อภัยไปแล้วแต่ก็ยังสู้?
แอนนา : ให้อภัยในเรื่องของธรรมะไหมคะ แบบว่าแม่ให้อภัย แต่ด้านกฎหมายแม่ก็ต้องสู้อยู่แล้ว ส่วนตัวถ้าใครสักคนยอม ถ้าเป็นกระติกได้จะดีที่สุด เพราะกระติกสนิทกับโมที่สุด ถ้ากระติกพูดความจริง เราขอร้อง เราไหว้กระติกเลย กระติกพูดเถอะ เพราะสุดท้ายความจริงจะปกปักรักษากระติกไปจนกระติกตาย แต่ถ้ากระติกไม่พูดวันนี้ แล้วเรื่องมันผ่านไป คดีมันจบลง อาจจะไม่มีความจริงอยู่ในนั้น100% กระติกไม่คิดเหรอว่าถ้าวันนึงกระติกต้องไปเจอโม กีะติกจะบอกกับโมว่ายังไง แล้วจะบอกกับพระเจ้าว่ายังไง
แอนนา : คนอื่นไม่สนิทไงคะ เราไม่ได้รู้จักเขา แล้วเขาไม่ได้สนิทกับโมขนาดนั้น
ฮิปโป : แล้วอีกอย่าง เราทั้ง 3 คน ตอนเป็นเพื่อนกันโมเขาก็ไม่ได้แนะนำให้พวกเรารู้จักกับพี่ๆ ทั้ง 5 คนตรงนั้น ดีงนั้นเราไม่สามารถไปตัดสินหรือไปชี้เขาเลยว่าเขาเป็นคนผิดหรือคนถูก เพราะเราไม่รู้จักพื้นเพหรือนิสัยเขาจริงๆ แต่เรารู้จักพี่กระติก เพราะพี่กระติกเป็นคนพาโมไป เราก็อยากรู้จากปากเพื่อนสนิทของเจาจริงๆ
แอนนา : หนูมองว่า 5 คนบนเรือ อีก 4 คนไม่สนิทกับโมแน่นอน ยังไงก็ไม่สนิท เต็มที่ก็แค่รู้จักกันเผลินๆ แต่กระติกไม่ใช่คำว่าสนิท ต้องใช้คำว่าเหมือนคนในครอบครัว ดังนั้นทำไมเราพุ่งไปที่กระติก เพราะว่ากระติกเหมือนคนในครอบครัว เขาพาคนในครอบครัวไปแล้ว แล้วเขาไม่ดูแล เขาก็ควรจะบอกความจริงมากกว่า
ได้เจอกับคุณแซนไหม?
ฮิปโป : ของพี่แอนนาไม่เจอ แต่ฮิปโปเจอ แค่มองหน้า เขาก็ก้มหน้าต่อ เราก็เห็นว่าเขามา ถามว่าในความรู้สึกเล็กๆ ของฮิปโปให้แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ สัก 10% ยังดีที่เขามาเคารพ ยังมาภาวนา ยังมางานของเพื่อนเรา ไม่รู้ว่าความจริงเขาจะผิดหรือถูก แต่เขายังมาอาจจะมาเพื่อขออโหสิกรรมหรือมาขอโทษอะไรอย่างนี้ เราโอเคคงนะคะ ในตรงนี้ แต่ที่เหลือในกระบวนการยุติธรรม ถ้าคุณมีส่วนร่วมผิดก็ว่าไปตามผิด
หนิง : ในมุมของหนิง หนิงรู้สึกว่า จริงๆ แล้วคุณแซนตอบคำถามตั้งแต่แรกว่าไม่เห็นโมตกเรือ ตอนหลังก็บอกว่าเห็นโมตกเรือ ซึ่งจริงๆ คุณแซนก็เป็นอีกคนที่ควรจะพูดความจริงเช่นเดียวกัน เพราะถ้าตามรูปคดี ตามพยานหลักฐาน คนที่จะไม่เห็นคือคุณปอกับคุณโรเบิร์ต เพราะว่าเขาจะผลัดกันขับเรือ จ๊อบนี่ไม่รู้ไม่ทีใครพูดถึง แต่กระติกกับคุณแซนควรจะพูดความจริง 2 คนนี้ถ้าพูดความจริงออกมา มันจะทำให้คดีมันจบเร็วมากขึ้นด้วย
แอนนา : เราต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มันแปลกไปหมด แปลกหลายเรื่องมาก แปลกตั้งแต่เพื่อนจมน้ำกลับบ้านไปนอนได้ยังไง นอนไหวเหรอ ลองคิดกลับกันถ้ามีใครสักคนในกลุ่มไปด้วยกัน ต่อให้ไม่สนิทด้วย แล่วเขาจมน้ำ เรากลับบ้านนอนได้ไหม
เบิร์ดแฟนแตงโมเป็นยังไงบ้าง?
แอนนา : หลายคนเป็นห่วงว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ไม่ต้องห่วงนะคะ เราคุยกันเรื่อยๆ 3 วันตอนมีงานอาจจะคุยกันน้อยลงหน่อย เพราะว่าเราก็เห็นใจเบิร์ด เพราะเบิร์ดก็เหนื่อย แต่เราก็ย้ำถามว่าเบิร์ดไม่คิดสั้นนะ โม อมีนา ก็ถาม เบิร์ดบอกไม่มี
ฮิปโป : เขารู้สึกแค่ว่า ณ ช่วงเวลานี้เป็นต้นไป เขาอยากไปพักใจ เพราะว่าภาพที่เขาเห็น เขาเห็นแต่โม เขาทำอะไรมาด้วยกันเยอะมาก จนเขารู้สึกว่าเขาทำใจไม่ได้ เขาเลยอยากไปอยู่ที่ไกลๆ ของเขา ไปอยู่ที่ที่เขาอยากจะไป เพื่อให้เขาไปรักษาแผลใจหน่อยนึง เดี๋ยวเขาจะกลับมา ถามว่าพี่เบิร์ดเขารักไหม ทุกเวลา ทุกวินาที ถ้าพูดถึงเรื่องดีๆ เขาจะร้องไห้ตลอด
ที่เขาเอาแหวนมาทั้ง 3 รู้ไหม?
ฮิปโป : ไม่ทราบค่ะ เป็นเซอร์ไพรส์ พี่เบิร์ดเขามีรุ่นน้องที่ทำจิวเวอรี่ แล้วไปสัญญากันว่าเดี๋ยวจะทำแหวนให้โม แล้วเขาเหมือนไม่มีเวลา จนวันนึงเขาทำได้ทัน แต่ยังไม่มีโอกาสมาให้ จนโมเขาจากไปก่อน เขาก็รู้สึกผิดว่าทำไมฉันถึงไม่ยอมทำแหวนให้เขาสักที เขาก็เลยเอามาให้ที่งาน คนที่ทำแหวนเขาขอโทษ เขาก็ร้องไห้ พี่เบิร์ดเขาก็เลยเอามาวางไว้
เขาบอกว่าแหวนขยับ อันนี้เรื่องจริงไหม?
ฮิปโป : หนูเห็นในคลิป มันไม่ได้ขยับว่าจะหล่นนะ แต่มันหมุน มันคือการหมุนดังนั้นมันต้องใช้นิ้วหมุน แต่มันเป็นความเชื่อเนาะ ด้วยวิสัยโมเขาเป็นคนชอบจัดระเบียบ ห้ามคนอื่นยุ่ง สมมติหนูไปจัดให้เขา เขาจะรื้อของออกมาใหม่ แล้วเขาจะจัดเอง ดังนั้นก็ไม่แปลกถ้าเขาอยากให้ภาพสวยๆ เขาจะจัดของเขาเอง
แอนนา : คือรอบก่อนแอนนาขายงานไว้ใช่ไหม ก็จะเป็นแตงโม พิ้งกี้ ก็ขายไว้หลายรายการ ธันวา มกรา ก็ขาย กุมภาก็ขายรอไว้แล้วว่า 15,25 หนูจองนะ แค่หนูยังไม่ได้ลงนะว่าอะไรยังไง แล้ว15 หนูก็โทรไปขอโทษ โมไม่อยู่ไม่มีใครแล้ว
หนิง : แค่นี่ก็ไม่ใช่ความบังเอิญนะที่พวกคุณมานั่งตรงนี้แทนเขา
เบิร์ดเขาสามารถเล่าความรู้สึกเขาได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ออกรายการ เพราะอะไร?
ฮิปโป : เขาแจ้งมาอย่างนี้ เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่รักโมมากๆ เขาจะอยู่ในที่ของเขาที่เขาอยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเขาออกไปข้างนอก เขาบอกเขาไม่รู้จะพูดอะไร แล้วเขาต้องทำอะไร เพราะเขาแค่คนธรรมดาคนนึง ในฐานะผู้หญิงคนนี้เป็นดารา เขาไม่อยากเป็นดาราเหมือนเขา เขาอยากเป็นคนดูแลโมจนแบบโมเหนื่อยแล้ว เขาก็จะมาคอยปลอบใจ ณ ปัจจุบันนี้ถึงแม้โมไม่อยู่ เขาก็จะอยู่ตรงนี้ตลอดไป
น้องมาเช็กงานที่งานไว้อาลัยเองเลยจริงไหม?
ฮิปโป : จริงค่ะ
พุดเดิ้ล : จำได้ไหมที่น้องเขามาบอกเราว่าพี่โมอยู่ข้างล่าง
ฮิโป : มีน้องเห็นว่าพี่โมอยู่ข้างล่าง อย่างคืนสุดท้าย ก่อนที่จะเริ่มงาน งานของเราจะมีการเปลี่ยนดอกไม้ในทุกๆ วัน เพื่อความงดงาม วันสุดท้ายเขาได้ยินเสียงลิฟต์กดขึ้นมาชั้น 3 ได้ยินคนใส่ส้นสูง โมชอบเดินลากเท้าใส่ส้นสูง ป๊อกๆ คนที่นั่งจัดดอกไม้อยู่หันมามอง ก็ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น แล้วเขาก็มาจัดต่อ พอจัดต่อเสียงก็ดังเดินป๊อกๆ รอบงานเลย เขาก็เลยเดินออกมานั่งกินข้าวข้างนอก สงสัยมาเช็กงาน เพราะโมเป็นคนชอบดูรายละเอียด เขามีความละเอียดมากในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางคนก็จะได้กลิ่นตามมา ได้กลิ่นเป็นน้ำหอมของเขา บางคนได้กลิ่นเหมือนนิติเวช
https://www.facebook.com/teeneedotcom