ลูกเปลี่ยนชีวิตนางแบบสาว เคยแคร์คนอื่นมากจนไม่เป็นตัวเอง
ซินดี้ สิรินยา : มันจะนำไปสู่พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำเพื่อที่จะได้คำชมจากคนอื่น เช่นเป็นคนที่ใครให้ทำอะไรก็ทำ บางทีมันก็เป็นพฤติกรรมที่มันไม่ได้ Healthy เท่าไหร่ แบบไม่ได้ดูแลตัวเอง ให้ทุกคนเป็นคนที่สำคัญมากกว่าเรา
เริ่มเห็นคุณค่าของตัวเองจากอะไร ?
ซินดี้ สิรินยา : ซินดี้ว่าสิ่งที่เปลี่ยนที่สุดก็คือตอนมีลูก เราต้องเป็นคนที่เทคแคร์แล้วก็เป็นแบบอย่างให้กับคนอื่น ก็เลยรู้ว่างั้นเราก็ต้องทำอะไรสักอย่าง (หัวเราะ) ที่ฉันจะได้ใช้ชีวิต เพราะว่าเราไม่อยากให้ทั้งลูกสาวและลูกชายต้องเจอในสิ่งที่ หรือไม่รู้ว่าคุณค่าของเขาอยู่ตรงไหน ก็เลยเริ่มเปลี่ยน หันมาอ่านหนังสือมากขึ้น เริ่มค้นหาว่าตัวตนที่แท้จริงของซินดี้คือใคร ไม่ใช่กับสิ่งที่คนอื่นเขาได้ตั้งเอาไว้ เราอยู่ในวงการตั้งแต่ 17 อาจจะเด็กกว่านั้น เราเลยโตมากับความที่เป็นคนบันเทิง เป็นคนของประชาชนแต่ยังไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง คิดว่ามันก็เริ่มจากตอนมีลูก แล้วก็พอเราเริ่มมาทำสิ่งที่มันมากกว่าแค่งานในวงการ เช่น Don't Tell Me How To Dress เริ่มมาศึกษา เราทำอื่นๆ สิ่งที่รู้สึกว่ามีความหมายมากขึ้น
ซินดี้ สิรินยา : เราเหมือนไหลลงไปในหลุม ซึ่งจะบอกว่ามันเป็นหนึ่งเหตุการณ์อะไรที่ชัดเจน เกิดอะไรขึ้น ฉันไม่สามารถที่จะบอกได้ มันมาจากหลายๆอย่าง น่าจะเป็นช่วงที่ทำแคมเปญแต่ก็ไม่ได้มาจากความเครียดกดดันอะไร แต่ว่าด้วยความที่เราเอาตัวเองเข้าไปใส่งานเยอะมาก อยากจะทำให้ออกมาดีที่สุด ต้องการให้คนเข้าใจในสิ่งที่ทำ บวกกับลูก 2 คน แล้วน่าจะช่วงโควิดด้วย เลยแบบหลายสิ่ง แล้วอาการของซินดี้คือเหมือนแบบปิดสวิตช์สมองไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ามันย้ำคิดย้ำทำตลอดเวลา เหนื่อยมาก ขนาดอาบน้ำยังแบบไม่รู้จะหยุดมันยังไง คิดโน้นนี่แล้วมันมาหลากหลายมาก สิ่งแรกที่คิดทุกเช้าคือฉันต้องทำอะไรวันนี้ แต่บางทีเกิดขึ้นเร็วมาก มันไม่มั่นคง แล้วก็ไม่ได้โอเค แล้วก็ไม่ดีต่อที่จะเปิดอยู่ตลอดเวลา
อยู่ในโหมดที่เหมือนจะ Panic ตลอดเวลาส่งผลอะไรให้กับตัวเอง ?
ซินดี้ สิรินยา : ไม่คิดก่อน หลายครั้งถ้าเราอยู่ในโหมดนั้น ถ้าสมมุติลูกเข้ามาปุ๊บ! เราก็จะตอบไป จะรีแอคโดยที่เรายังไม่ได้ฟังเลยว่าต้องการอะไร บางครั้งเขาไม่ได้ต้องการให้เราช่วย เขาแค่อยากจะบ่นให้ฟัง แต่ด้วยเราอยู่ในโหมดที่แบบจัดการทุกสิ่งอย่าง เราก็จะกลายเป็นคุณแม่หรือภรรยาที่เจ้ากี้เจ้าการ หรือว่าเจ้านายที่สั่งๆๆ ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น แต่พอเราไม่ได้ดูแลตัวเอง ไม่มีสติ ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน มันเลยกลายเป็นแบบรีแอค ซึ่งเราไม่ควรตอบสนองแบบนั้น ก็เลยรู้ ตอนนั้นถึงขั้นคิดว่าจะต้องไปปรึกษาแพทย์ แต่เราก็เป็นคนที่กลัวหมออีก กลัวว่าจะโดนวินิจฉัยในสิ่งที่มันอาจจะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แล้วก็กลัวที่จะต้องกินยา ก็เลยขอลองหาวิธีให้กับตัวเองก่อน แต่รู้แล้วว่าตอนนี้ไม่ปกติแล้ว พยายามหาข้อมูล อ่านหนังสือก็ค้นพบหลากหลาย ที่มันก็ช่วยเราได้ แต่ไม่ใช่ว่าทำแล้วจบหายไป ทุกวันนี้ก็ต้องทำเรื่อยๆ
https://www.facebook.com/teeneedotcom