หน้าจอเห็นเฮฮาสดใส แต่หลังกล้องใครจะรู้ว่านักแสดงหนุ่ม
ปั้นจั่น ปรมะ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ล่าสุดเจ้าตัวได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show เปิดเรื่องราวในชีวิต
คุณแม่เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อปั้นจั่นมาก ซึ่งช่วงหนึ่งในชีวิตเราเป็นคนมีความรุนแรงของการแสดงออก มีต่อยหน้าตัวเองด้วยในบางครั้งถ้ามันไม่ได้ดั่งใจ อะไรที่พาเราไปสู่โหมดนั่น
ปั้นจั่น ปรมะ : ทุกครั้งที่ออกมาพูดในรายการเรื่องของการเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งหลายคนเป็นจะบอกว่าทุกครั้งที่คนที่เป็นโรคนี้ออกมาพูดไม่ได้ต้องการเรียกดราม่าและไม่ใช่ข้ออ้างแต่เราแค่อยากจะมาแชร์ แต่ว่าต้องบอกว่าความรุนแรงนี้ปั้นมานั่งวิเคราะห์พิจารณาแล้วมันเกิดจากการที่แบบ คือมีช่วงหนึ่งปั้นจะทำร้ายร่างกายตัวเองในการแก้ปัญหาทุกครั้งอะไรที่เราแก้ปัญหาไม่ได้แล้วเรารู้สึกอึดอัดเราจะโทษตัวเอง เราจะไม่ทำคนอื่นเพราะเรากลัวคนอื่นเจ็บส่งผลกระทบแบบนี้ เราจะกลับเข้าห้องเราจะแก้ปัญหาแบบนี้ชกหน้าตัวเองบ้าง ต่อยตู้บ้าง เอาหัวโขกตู้บ้าง ต่อยกระจกรถบ้าง ผมว่าถ้าให้ผมแชร์ประสบการณ์ผมว่าตอนเด็กๆ ครอบครัวมีส่วนสำคัญสมัยเด็กคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันอันนี้ไม่ได้โทษคุณพ่อคุณแม่นะครับ (เหมือนเราได้เห็น) ก็มีส่วนนิดหน่อย แต่ว่าตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่ทะเลาะกันเราบอกว่าอย่าทะเลาะกันเราพยายามจะใช้เหตุผลให้เขาประนีประนอมสิ่งแรกที่คุณพ่อแม่พูดมาคือเรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่ามายุ่ง ณ ตอนนั้นเนี่ยเราอาจจะเด็กก็จริง แต่เราก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในมุมหนึ่งที่ผู้ใหญ่สองคนเขาขาดสติแล้วทะเลาะกัน ผมว่าเด็กอาจจะเห็นมุมมองอะไรที่มันมีเหตุผลมากกว่าสองคนนั้น ผมก็อยากให้เขาพูดกันดีดีใจเย็นๆ แล้วค่อยมาคุยกันตอนนั้นเขาทะเลาะกันหนักมากข้าวของคือแบบปิดประตูปึงปังผมไม่ชอบความรู้สึกนั้นเขาไม่ฟังสิ่งที่เราพูดเลย เราตะโกนเท่าไหร่เขาก็ไม่ฟังเขาก็ยังตะเบ็งเสียงใส่กันผมก็ใช้วิธีการไม่หยุดใช่ไหมไม่หยุดผมก็ต่อยตัวเอง ใครเห็นก็ต้องตกใจแหละ เราต่อยตัวเองหนักมากต่อยจนเลือดกลบปากตอนนั้นผมอายุประมาณ 16-17 ปีครับ ตอนนั้นเคยคิดว่าจะวิ่งไปห้องคุณตาไปเอาปืนจะมายิงขาตัวเองเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่หยุดทะเลาะกัน แต่ที่เราต่อยตัวเองปรากฏว่าเขาหยุดพี่ผลลัพธ์คือเขาหยุดผมเลยรู้สึกว่าการทำแบบนี้คือการแก้ปัญหาได้หยุดทุกคนในครอบครัวได้ ยิ่งเขามาแรงเราต้องแรงมากกว่า (เพื่อทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างใจของเรา) ใช่ นั่นคือการแก้ปัญหาพอผมโตขึ้นมันก็ติดอันนี้มาเรื่อยๆ คราวนี้ไม่ได้มีปัญหากับครอบครัวมีปัญหากับตัวเอง ข่าวดราม่าถ้าทุกวันนี้หลายคนจะออกมาแก้ต่างกับตัวเองความคิดฉันไม่ใช่แบบนั้นนะ ไม่ใช่แบบนี้นะ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าการเงียบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ตอบโต้แต่สุดท้ายแล้วมันเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจผิดในสิ่งที่เราสื่อออกไป ซึ่งนั่นเป็นทริกเกอร์อย่างหนึ่งในการที่ทำให้ผมดาวน์ลงเป็นซึมเศร้าอย่างสมบูรณ์แบบ ไปที่ไหนก็รู้สึกว่ามีคนมองเราในแบบที่เราไม่ได้เป็นมันทำให้เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก ที่จริงเราโตมาแบบชีวิตไม่ได้เรียบง่ายทุกคนอาจจะคิดว่าผมแบบเป็นดาราแล้วดูทุกอย่างสบายแล้วผมก็ถึงออกมาพูดที่จริงผมอยากจะเรียกร้องสิ่งที่ดีขึ้นให้ทุกคนเหมือนกัน แต่มันอาจจะเป็นการสื่อสารทึ่ผิดหลังจากนั้นผมก็เริ่มเก็บตัวหมดแรงไม่อยากออกไปไหน รู้สึกว่าการหลับเป็นการที่ปิดสวิตช์แล้วไม่นึกอะไรที่ดีที่สุดทุกครั้งที่ปิดไฟก็นึกภาวนาว่าขออย่าให้ตื่นอีกเลยพี่ฝนผู้จัดการ คุณแม่ต้องแบบนั่งคุยกันว่าอย่าให้ล็อคห้องผมพูดตรงๆ ผมขี้ขลาดไม่กล้าฆ่าตัวตายหรอก แต่ผมคิดอยู่ตลอดเรื่องฆ่าตัวตายนะ ผมคิดแม้ตอนที่ผมขับรถอยู่ผมอยากจะหักจากทางด่วนอยากพุ่งชนเสาอยากให้มันเกิดอุบัติเหตุอะไรกับผมก็ได้ ผมไปดื่มจนถึงตีสองไม่อยากกลับบ้านจอดรถปิดกระจกขอให้มันตายเถอะแล้วก็ตื่นมา 10 โมง อ้าว .. ไม่ตายก็กลับบ้านจนวันหนึ่งผมคิดๆ มันล่องจนกระทั่งมันตกใจตัวเองเพราะว่าเหมือนเราเติมความรู้สึกนี้เข้าไปทุกวัน จนเรารู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งมันเต็มแล้วอยู่ดีๆ เรากล้าขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็แค่นิดเดียว
https://www.facebook.com/teeneedotcom