กาละแมร์ ยังหวัง สักวันเจอคนที่ใช่

สาวฝีปากกล้า “กาละแมร์-พัชรศรี เบญจมาศ” สาวสวยดำขำคนนี้เป็นที่รู้กันดีว่า เธอโด่งดังขึ้นมาจากรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ทางช่อง 3

ที่ทำให้เธอเกิดในวงการข่าวอย่างเต็มตัว แต่ด้วยความดังที่ฉุดไม่อยู่ เธอจึงเป็นสาวเนื้อหอมกับวงการบันเทิงหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นละคร คอน เสิร์ตหรือแม้แต่ภาพยนตร์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอกลายเป็นสาวสังคมขึ้นมา และแน่นอนว่าเมื่อเป็นคนสาธารณะ ย่อมถูกจับตามองโดยเฉพาะเรื่องความรัก ที่เรารู้กันว่าก่อนหน้านั้น เธอคบหาดูใจกับ “พีเค-ปิยวัฒน์ เข็มเพชร” และในวันนี้เมื่อต่างคนต่างเดิน เรื่องราวต่าง ๆ ก็ถูกถ่ายทอดลงหนังสือ ซึ่งหลายคนมองว่า กาละแมร์ กำลังแฉคนเคยรัก แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้น เราขอย้อนไปสู่อดีตวัยหวานของสาวปากดีคนนี้เสียหน่อย



เอาละเธอนั่งสวย รอพูดคุยกับเราอยู่แล้ว
 
“แมร์ เข้ามาทำงานในช่อง 3 เป็นเวลา 12 ปีแล้ว ตอนแรกที่เข้ามาก็มาจากนักศึกษาฝึกงาน ตอนนั้นฝึกฝ่ายข่าวด้วย ฝึกอยู่นาน 6 เดือน กว่าจะรู้ผล แล้วมันเหมือนเราฝันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่อยากจะอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้อยากอยู่เบื้องหน้า เด็ก ๆ ไม่รู้อยากเป็นอะไร แต่เด็ก ๆ ชอบดูทีวี ก็หาตัวเองเรื่อยมา จนพอเรียนนิเทศจุฬาฯ เขาก็ให้เราทุกอย่างเกี่ยวกับ ทีวี (ยกเว้นซ่อม) ก็เลยคิดว่าข่าวน่าจะเหมาะกับเรา แล้วมันเกิดเหตุตอนอยู่ ม.3 ตอนที่ไฟไหม้สยาม คนอื่นเขาวิ่งหนีแต่เรากลับวิ่งเข้าไปเห็นกล้องนักข่าว อยากรู้เขาทำอะไรกัน ถามหนูดิ หนูเห็นทุกอย่าง หนูอยู่ในเหตุการณ์ คือตอนนั้นเรารู้เลยว่าเราอยากเป็นอะไร

เข้ามาทำงานแล้ว พอมีชื่อเสียงเป็นไงมั่ง ?
 
“ไม่รู้สึกอะไรค่ะ คือทำงานมาเรื่อย ๆ ไม่รู้หรอกว่าตรงไหนมันจะเปลี่ยนอะไรมาก อย่างคนทักว่าทำไมสวยขึ้น เราไม่ได้คิดว่าเราสวยขึ้น เพราะเราอยู่กับตัวเองทุกวัน มันไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนในชีวิตของตัวเองหรอก เพราะเราชินของเราเอง แต่ชีวิตที่เปลี่ยนจริง ๆ ก็คือตอนที่เรามาทำรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ตอนนี้การเล่าข่าวมันเป็นกระแสและคนรู้จักเรามากขึ้นจากตรงนั้น คนรู้จักเราและสัมผัสเราจากรายการตรงนี้มาก”


แต่ดูเหมือนความดังฉุดไม่อยู่นะ เพราะมีทั้งงานหนัง งานละคร เข้ามาเยอะแยะ?
  
“อันนั้นงงนะ ในเรื่องของงานที่เข้ามากกว่า เริ่มมีหนังให้เล่น มีขึ้นคอน  เสิร์ต มีถ่ายแบบ มันก็เริ่มปรับตัวมาเรื่อย แต่ดีอย่างเวลาที่เราไปทำอะไรเราไปกับเพื่อน 4 คน มีอะไรก็มีคนปรึกษา    อยู่ด้วยกันตลอด บางงานถ้าไปทำคนเดียวมันก็เหงา ๆ เพราะฉะนั้นตอนถ่ายหนัง ตอนเล่นคอนเสิร์ตมันเป็นเวลาที่ดีที่สุด เรารู้สึกว่ามันเป็นโอกาสหนึ่งของชีวิตที่มีคนหยิบยื่นให้เรา แล้วมันเป็นเรื่องดี ๆ ที่สำคัญเจ้านายก็สนับสนุน

แล้วถึงวันนี้ คิดว่าตัวเองเป็น อะไร ?
 
“ดาราไม่ได้เป็นหรอก เราว่าเราเป็นคนอ่านข่าว เราเป็นพิธีกร เป็นคนเขียนหนังสือ นี่คืออาชีพหลักที่เราเลี้ยงตัวเองได้ แต่เรื่องการแสดงอันนั้นมันก็เป็นโอกาสดี ๆ ของชีวิตแต่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องทำตลอดไป”


ถามเรื่องความรักบ้าง มีรักครั้งแรกเมื่อไหร่?
 
“(หัวเราะ) ตอนนั้นอยู่ ม.1 เขาหน้าตาน่ารักดี ตอนนั้นชอบคนที่หน้าตานะ สมัยเด็ก โดยไม่ได้ประเมินค่าคน ตอนนั้นเราเป็นเด็กดำผอม ๆ โดยมีเทป นูโวเป็นสื่อรัก แต่มาจริงจังและเป็นเรื่องเป็นราวก็ตอนเรียน ปี 1 แต่มันก็ยังเป็นป๊อปปี้เลิฟ ก็เรื่อย ๆ มา มีอยู่เรื่อยสม่ำเสมอ คนมันสวย (หัวเราะเสียงดังมาก) แต่จริง ๆ น่ะคนชอบมองว่ากาละแมร์ไม่มีแฟน แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเด็กแก่แดดไง
 
แมร์เป็นคนประเภทที่แบบ มีความรักไม่รู้ตัว เขาถึงเรียกว่าตกหลุมรักไง จริง ๆ นะ เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจีบ เป็นคนโง่ในด้านนี้ เพราะเราคุยกันแบบเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นคนรู้จักกันมาหยอกล้อ คุยเล่นกัน แต่พอมารู้ตัวอีกที เอ๊า..ทำไมมันไม่เหมือนเดิมแล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัว มันไม่ค่อยมีแบบคนแปลกหน้าแล้วมาจีบเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนกันมาก่อน คุยกันสนิทใจมาก่อน คือแมร์เป็นคนรู้ตัวช้าในด้านนี้ คือเราไม่รู้ว่าอะไรมันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับคนสองคน แมร์เพิ่งรู้จริง ๆ เมื่ออายุ 30 กว่านี้เองว่ามันเป็นยังไง อีกอย่างเราไม่อยากคิดมากไง ไม่อยากได้ชื่อว่าคิดไปเอง แต่หลังเริ่มมีเซนส์ไวขึ้น รู้แล้วว่าถ้ามาอย่างนี้แล้วจะยังไง”



แล้วกับอดีตรักที่เป็นข่าวรักล่ะ คือหลายคนบอกว่า แมร์เอาเรื่องราวของคนเคยรักมาแฉ?
 
“ไม่นะ ไม่มีการแฉ ไม่ได้พาดพิงถึงใครเลย แมร์ลา ก็คือลาไง ก็ลาอย่างนั้นแหละ คือหนังสือเล่มนี้อ่านแล้วจะรู้เลยว่าเราต้องการสื่อถึงอะไร คือถ้าวันหนึ่งเราจะต้องลาจากใครสักคนหนึ่ง แน่นอนเรื่องของการจากลาไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอก แต่ในเมื่อชีวิตเรามันต้องถึงทางแยกที่เราต้องเดินไปแล้วเนี่ย ขอให้เราได้เป็นคนเลือกและกำหนดชีวิตของตัวเองดีกว่าไหม แล้วเมื่อเราเลือกแล้วเนี่ย เราจะลุกขึ้นมาเดินและยืนด้วยขาของตัวเองอย่างไร นี่คือสิ่งที่ทำไมแมร์ถึงเขียนหนังสือเล่มนี้ แมร์คิดว่าประสบการณ์ของเรา มันน่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ก็ห้ามไม่ได้จริง ๆ ถ้าใครอ่านแล้วอาจจะว่าเป็นเรื่องคนนั้นคนนี้ ตรงนี้เราห้ามความคิดใครไม่ได้จริง ๆ
 
คือคนเราเลิกกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องเศร้า ทำงานไม่ได้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น แต่มันมีวิธีคิด วิธีการทำตัว จุดที่เริ่มจะคิดว่าอยู่ไม่อยู่ มันต้องคิด เมื่อคิดแล้วต้องทำยังไง ปฏิบัติตัวยังไงไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายซะทีเดียว และถ้าเอาไปปรับใช้ก็น่าจะได้ เพราะที่ผ่านมาชอบมาขอคำปรึกษา ตอบคนเหนื่อยก็เขียนเลยแล้วกัน และอีกอย่างสิ่งที่แมร์เขียนลงไปสอดแทรกธรรมะด้วยนะ ซึ่งแมร์เองไม่รู้ตัวนะว่าเขียนเรื่องธรรมะ จนคนอ่านบอกว่าเธอเขียนเรื่องธรรมะนี่ มันเป็นคำสอนของธรรมะ โดยที่เราไม่รู้ เช่นการมีสติกับความรัก แน่นอนเราเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เวลารักใคร รักด้วยหัวใจ รักแบบเมตตา ซึ่งเราเองเพิ่งจะมารู้หลัง ๆ ว่า เราก็รักแบบมีสติเหมือนกันนะ มีเมตตา กรุณา  มุทิตา อุเบกขา คือเราไม่อยากเห็นคนที่เรารักมีความทุกข์ ยินดีเมื่อเห็นเขาได้ดี แต่ถ้าเราทำอะไรไม่ได้จริง ๆ เราก็ต้องวางเฉย นี่คือสิ่งที่เรามีอยู่เสมอกับความรักของเรา”

แสดงว่าหนังสือเล่มนี้ แมร์เอาประสบการณ์ของตัวเองมาเขียนล้วน ๆ ?
 
“ของหลาย ๆ คน มีของเพื่อน แมร์โชคดีที่มีกัลยาณมิตร ที่เวลาเรามีทุกข์มีสุข เราก็มาแชร์ประสบ การณ์ซึ่งกันและกัน ให้กำลังใจ ช่วยเหลือกัน ซึ่งแมร์ว่าประสบการณ์ของคนนี่แหละมันมีค่าที่สุด โดยมัน ซื้อหาไม่ได้ เราก็ไม่อาจจะเจอเหมือนกับเขาได้ แล้วมีคนถามว่าถ้าเกิดย้อนเวลากลับไป แมร์อยากแก้อะไรไหม แมร์ไม่อยากแก้อะไรเลย แมร์อยากเจอคนแบบนี้แหละ รักกันแบบนี้ ได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ เพราะมันให้แง่คิดกับเรา มันสอนเรา และมันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เพราะฉะนั้นแมร์ถึงชอบว่า อุปสรรค มาเลย ปัญหาทุกอย่างมาเลย เจอกันเลย เพราะว่าเวลาเราเจอแต่ละครั้ง ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องความรักนะ เรื่องงานหรือว่าเรื่องส่วนตัวอะไรก็ตาม ทำให้เราเกิดวุฒิปัญญาขึ้น แต่ละครั้ง มันทำให้เราโตขึ้นแต่ละครั้ง เราจะแบบแค่นี้ผ่านมาแล้ว มันท้าทายไง”



สรุปกับ พีเค มีสิทธิที่จะกลับไปคืนดีกันไหม?
 
“เรื่องบางเรื่องมันพูดยากจริง ๆ ในการที่จะบอกคนอื่นในที่สาธารณะเนี่ย คนสองคนรักกันมันก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย และแมร์เอง  ก็ยังเก็บความรู้สึกดี ๆ นั้นไว้ แต่ถามว่าเสียใจไหม ก็เสียใจในแง่ที่ว่า ในที่สุดคนนี้ยังไม่ใช่เหรอ แต่ไม่ได้เสียใจหรือว่าเสียดายในเวลาที่คบหากันเลย เพราะถ้าเสียดายเราต้องรู้สึกว่าทำไมวันนั้นเราไม่ทำยังงี้ให้เขา แต่พอดีว่าที่ผ่านมาเราได้ทำอย่างเต็มที่ที่เราพอจะทำได้แล้ว ถ้าคนที่รู้จักแมร์ดีหรือว่าคนที่คบกับแมร์ จะรู้ว่าใจเท่านั้นที่เราคบกัน หรือว่าสื่อถึงใจกันเท่านั้น แมร์ว่าที่ผ่านมา แมร์ทำดีที่สุดแล้ว จะไม่เสียใจและเสียดายกับสิ่งที่ผ่านมา เพราะมันมีช่วงเวลาที่ดีเยอะแยะมากมายให้เราจดจำ แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดอะไรขึ้น แล้วเราได้กลับมาถามใจตัวเอง ว่าถ้าเราไม่สามารถคบหากันแบบแฟนได้แล้ว เราควรจะเป็นเพื่อนกันมากกว่า เพื่อที่จะได้มีความรู้สึกดี ๆ เก็บไว้ และเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือนกี่ปี แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เสมอ แต่ถ้าจะให้กลับมาแบบเดิมไม่มีแล้ว เพราะแมร์เป็นคนหมดแล้วหมดเลย

มุมมองความรักตอนนี้เป็นยังไง เปลี่ยนไปไหม?
 
“มันก็ตามประสบการณ์ที่เราเจอมา แน่นอนว่ามันต้องมีการเติบโต ในโลกนี้มีผู้ชายหลากหลายนะ ไม่ใช่ว่าดีไปเสียหมด และไม่ใช่ว่าเลวไปเสียหมด แมร์ก็ยังหวังว่าแมร์จะเจอคนนั้นของเรา คนที่ใช่สำหรับเรา ไม่ได้บอกว่าแมร์รอผู้ชายที่เพอร์เฟกต์ แต่แมร์จะรอคนที่เป็นของเรา เขาอาจจะไม่ดีพร้อมทุกอย่าง แต่ขอเราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข คุยกันแล้วเข้าใจและใช้ชีวิตไปกันได้ ปัญญาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน ความดีเสมอกัน เราไม่ได้บอกว่าเราดีเลิศ แต่บอกว่าถ้าเราไปทำดีกันก็ไปด้วยกันได้”
 
นี่แหละ กาละแมร์ สาวปากกล้า แต่ก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการใครสักคนดูแล เข้าใจ ถึงแม้วันนี้เธอจะยังไม่เจอคนที่ใช่ แต่เมื่อถึงเวลาที่พร้อม เราเชื่อว่าเขาคนนั้นจะมาเจอเธอแน่นอน.



เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์