ถอนคำสาบานทุกศาสนา ลุกซ์ น้อง ใบเตย น้ำตานอง ตัดสินใจไม่ปั๊มหัวใจแฟน
หน้าแรกTeeNee บันเทิงดารา ข่าวดารา, ข่าวบันเทิง ดาราไทย ถอนคำสาบานทุกศาสนา ลุกซ์ น้อง ใบเตย น้ำตานอง ตัดสินใจไม่ปั๊มหัวใจแฟน
มรสุมชีวิตลูกใหญ่ซัดมาในชีวิตแบบไม่ทันตั้งตัว สำหรับ "ลุกซ์ ชาญวิทย์ ทวีสิน" ที่นอกจากจะต้องเศร้าเรื่องพี่สาวและพี่เขย อย่าง "ใบเตย อาร์สยาม" สุธีวัน กุญชร และ "ดีเจแมน พัฒนพล มินทะขิน" ติดคุกในคดีโกงแชร์ Forex-3D แล้ว เธอยังสูญเสียแฟนหนุ่ม ที่คบหากันมานานถึง 12 ปี จากอุบัติเหตุรถเฉี่ยวแล้วศีรษะกระแทกพื้นอย่างรุนแรง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุถูกรถเฉี่ยวชน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566
โดยก่อนหน้านี้ ลุกซ์ได้เปิดใจครั้งแรกผ่านทางยูทูบ Bitoey Family ทั้งน้ำตาเป็นครั้งแรกหลังสูญเสียแฟนหนุ่ม ล่าสุด 4 มิ.ย. ลุกส์ ได้มาแชร์วิธีเยียวยาจิตใจของตัวเองให้ฟัง ในงานแถลงข่าว DM The Charity ครั้งที่14 โดยเจ้าตัวเล่าทั้งน้ำตาถึงช่วงเวลาอันยากลำบากที่เกิดขึ้น
บอกว่า "คือจริงๆ อยากจะมาให้กำลังใจทุกคน แต่ดูเหมือนว่าตัวเองก็จะต้องการกำลังใจมากกว่า"
ถามถึงเหตุการณ์ เราเจอแล้วเราก้าวผ่านตรงนั้นมันไปได้ยังไง?
"คือจะบอกว่าเหตุการณ์นี้เราก็ต้องยกว่ามันเป็นเคสอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันเลย คบกับแฟนมา 12 ปี เราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันเลย ก็ยอมรับว่าวันแรกเราไม่ได้เข้มแข็งเลย ทำใจยากมาก เพราะลุกซ์อยู่กับเขาตั้งแต่ไปเจอที่ห้องฉุกเฉินเลย ซึ่งวันนั้นน่ะเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน โรงพยาบาลเขาโทร.มาบอกว่าคุณแฟนเกิดอุบัติเหตุอยู่ที่โรงพยาบาลพระนั่งเก้าตอนเที่ยงคืน ตอนนั้นเราหลับไปแล้วก็ตื่นรับโทรศัพท์แล้วก็รีบไปหา ก็คือเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตอนที่ระหว่างเราขับรถไป เรายังคิดเลยว่ามิจฉาชีพหรือเปล่า มาหลอกเราหรือเปล่า แต่ตอนที่วางสายไปเราก็ขับรถไปทันทีเลยนะ ใช้เวลา 40 นาทีจากรามอินทราไปนนทบุรีก็คือเป็นเรื่องจริงเหรอ เขาเกิดอุบัติเหตุจริงๆ แล้วก็เขาโวยวายไม่มีสติพูดเรื่องงานแล้วไม่ได้ลืมตา
ตอนนั้นสิ่งที่ลุกซ์รู้สึกเลยก็คือรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เพราะปกติที่ผ่านมา 12 ปีเราคุยกันรู้เรื่อง แล้วถามตอบกันรู้เรื่อง เข้าใจกัน แต่วินาทีนั้นเขาไม่ได้คุยกับเราแล้วก็เลยทำใจเป็นระยะหนึ่งตั้งแต่วินาทีนั้นว่า นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แล้วเราก็เหมือนจะต้องรับให้ได้ เพราะ ณ วินาทีนั้น วันนั้นลุกซ์จะต้องเป็นคนที่ทำทุกอย่างต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตัดสินใจรักษา เพราะว่าอุบัติเหตุอ่ะ เขาจะไม่เริ่มรักษาเลยเพราะถ้าญาติหรือคนใกล้ชิดไม่ได้มาหา เราก็เหมือนต้องตัดสินใจหลายๆ อย่าง ซึ่งก็ต้องมีสติอันดับแรกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตรงนั้น
แล้วลุกซ์ก็อยู่ในความหวังในทุกๆ วัน ว่าเขาจะกลับมา เพราะว่าเรารู้ว่าคืนแรกอ่ะเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว แล้วคุณหมอก็แจ้งเรา พอหลังจากที่เขาออกมาจากห้องฉุกเฉินปุ๊บ อีกวันนึงเขาก็ได้รับการผ่าตัดสมองแล้วหมอก็ออกมาบอกเราทันทีว่าเขาจะมีโอกาสกลับมาแค่ 3% คือตอนนั้นน่ะเราอยู่คนเดียวพ่อแม่เขาอยู่อุตรดิตถ์ ไม่ได้มา เราก็เลยจะต้องแจ้งข่าวให้กับพ่อแม่เขา แล้วเราก็ใช้ชีวิตอยู่กับความหวังมากๆ ถึงแม้จะเป็น 3% ของหมอ แต่สำหรับเราอ่ะมันยังเป็น 100% ทุกวัน
แล้วเขาโดนผ่าตัดอีกรอบหนึ่ง เพราะว่าเลือดข้างในสมองค่อนข้างจะเยอะ แล้วผ่าตัดรอบที่สองก็ไม่ดีขึ้น คุณหมอก็พูดชัดเจนตรงไปตรงมา แล้วพอออกมาบอกว่าเขาอาจจะเป็นได้แค่เจ้าชายนิทรา ณ วันนั้นเลย เราก็เลยอยู่กับความผิดหวังมาเรื่อยๆ จนกระทั่งครบ 14 วันแกก็ไม่ได้อยู่กับเราต่อ"
นาทีที่จะต้องตัดสินใจว่าจะต้องปั๊มหัวใจหรือไม่ แชร์ให้ฟังได้ไหม?
"คือจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนั้นโดยคนเดียว เพราะว่ายังไงก็ตาม เขาจะต้องให้คุณพ่อคุณแม่หรือว่าญาติที่เป็นญาติจริงๆ มากกว่าแต่เราเป็นคนแรกที่พยาบาลมาคุยด้วยเรื่องนี้ว่าน่าจะเป็นวันนี้ จริงๆ ในใจ 100 เปอร์เซ็นต์ของลุกซ์ก็อยากให้เขาอยู่ เพราะเราก็รู้สึกว่าเขามีโอกาสที่ต้องได้ใช้ชีวิตต่อ แล้วเราก็จะไปพูดคำนั้นไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าเกิดเราพูดไปแล้วถ้าเกิดเขายังสู้อยู่เขายังอยากอยู่ เราที่เป็นคนอยู่เหมือนไปตัดโอกาสการใช้ชีวิตต่อของเขา
แต่ท้ายที่สุดแล้วอาการเขาแย่มาก ชั้นผิวหนังที่เราเห็นว่าเขาเป็นปกติ ลมหายใจที่เขาหายใจปกติ เขาหายใจแรงขึ้นพะงาบพะงาบ ผิวหนังเขาเริ่มเปลี่ยนสี เหมือนทุกอย่างก็บอกเราอย่างชัดเจนว่าเขาคงไม่ได้สู้ต่อ เพราะฉะนั้นเราก็เลยคุยกับที่บ้านเขาพ่อกับแม่เขาอีกทีนึงว่า พ่อกับแม่อยากจะเปลี่ยนการตัดสินใจไหม พ่อแม่เขาเลยเชื่อเรา แล้วเราก็ตัดสินใจที่จะยกเลิกใช้เครื่องปั๊มหัวใจ"
อยากให้แชร์ว่าพอเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้ว เราเยียวยาตัวเองยังไงได้บ้าง?
"ลุกซ์ก็บอกตัวเองอย่างเดียวเลยว่า เราคือคนที่ได้ใช้ชีวิตต่อ เราต้องใช้ชีวิตของเขาให้เป็นประโยชน์ที่สุดในทุกๆ วัน เพราะว่าเราต้องบอกตัวเองให้ได้ว่า เป็นเราที่อยู่ตรงนี้ดีกว่าเป็นเขา เพราะเราจะไม่เป็นอะไรเราจะไหวในทุกๆ วัน เรายังมีแรงที่จะได้เห็นเขาทำในสิ่งที่เขายังอยากสู้อยู่ แล้วเราคิดว่าลุกซ์ก็เจ็บกว่าเขาเยอะนะในส่วนของคนที่อยู่ ไม่ได้พูดถึงเรื่องอาการนะ ในทุกๆ วันที่ไปตรงนั้น มันแย่มาก แต่ก็คิดในแง่ดีว่าเป็นเราเนี่ยจะต้องเข้มแข็งแล้วก็ทำได้ดีกว่าเขา
ก็เลยรู้สึกว่า ในทุกๆ วันที่ผ่านมานั้นลุกซ์ทำใจอยู่ทุกวันว่าจะต้องเป็นวันนี้แน่ๆ อาจจะเป็นวันนี้แน่ๆ หมอจะต้องบอกวันนี้แน่ๆ เหมือนเราสร้างเกราะป้องกันให้กับตัวเองได้ในทุกๆ วัน ซึ่งเราเชื่อว่าลุกซ์จะทำได้ดีกว่าเขา เราก็ไม่อยากจะให้เขาเห็นลุกซ์เป็นแบบนั้น เพราะว่ารู้สึกว่าคนตรงนี้ก็เจ็บไม่แพ้กัน เหมือนเราเจ็บด้วยกันทั้งคู่ คือการใช้ชีวิตต่อมันเหนื่อยกว่ามากๆ เพราะเขาบอกเราอยู่แล้วด้วยอาการเขาว่าไม่ไหว เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่ฝืน ด้วยการไม่ปล่อยเขาทรมาน เรายอมเจ็บใจวันนี้ดีกว่า ยอมให้เขาไปสบาย"
"เอาจริงๆ อ่ะ ลุกซ์ทำเหมือนทุกๆ คนเลยนะ ในช่วงอุบัติเหตุอ่ะ ที่ไหนบอกว่าดีก็ไปหมด ไปทำเกือบทุกศาสนาเลย ไปทุกที่หลังจากหมดเยี่ยมปุ๊บ เข้าวัด ไปโบสถ์ ไปทุกศาสนาที่เขาจะทำได้ที่บอกว่าดี แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่ลุกซ์รู้สึกว่ามันคือเรื่องจริงก็คืออาการของเขานั่นแหละ เรื่องความเชื่อและสิ่งแรกที่เราจะต้องเชื่อก็คือเราต้องเชื่ออาการเขา เราต้องดูและฟังสิ่งที่หมอบอกแล้วก็พิจารณาจากสายตาตัวเอง เราอยู่กับเขามา 12 ปีเรารู้ว่าเขาทรมานและเจ็บแค่ไหน
คือลุกซ์นั่งจับมือเขาตั้งแต่ตัวเลขตั้งแต่หัวใจเต้นอยู่ 130 กว่า จนวินาทีสุดท้าย สิ่งที่ได้ถามว่าตอนนั้นลุกซ์รู้สึกว่าเขาไปอย่างสงบมากๆ จริงๆ ค่ะ ที่ลุกซ์ไปทำมาทั้งหมดลุกซ์ถอนหมดเลย ลุกซ์ถอนคำบนบานสานกล่าวทุกที่ออกหมดเลย เพราะว่าลุกซ์รู้สึกว่า การรั้งเขาไว้มันไม่ได้เป็นผลดีกับเขาเลย สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับตรงนั้นก็คือเราทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้เราสบายใจ แต่เขาไม่ได้สบายกายที่จะอยู่ วันนั้นลุกซ์ก็ได้สวดชินบัญชรจนเกือบจบ อีกแค่ไม่กี่ประโยค แต่เขาไปก่อน แต่ว่าลุกซ์ไม่ได้เห็นว่าเขาไป แต่ว่าได้ยินเสียงเหมือนที่ทุกคนได้เห็นในละคร เขาก็ไปแบบสงบมากๆ จริงๆ ไม่ได้มีกระชากกระตุกอะไรเลย"
"คืออยากจะบอกว่าความคิดถึงมันมีอยู่แล้ว ทุกวันมันคือความคิดถึง คือความเสียใจ แต่พลังงานแบบนั้นมันเอามาใช้ในชีวิต ในการมูฟออนไปข้างหน้าไม่ได้ มันอาจจะไม่มีหรอกกำลังใจหรือเทคนิคที่จะมาให้ สิ่งเดียวที่บอกได้ก็คือต้องอยู่กับความเป็นจริงแล้วก็อยู่กับมันให้ได้ เพราะว่าชีวิตที่เราดำเนินต่อไปเราเป็นคนกำหนดเอง เพราะเราไปเสียใจกับมันนานเวลาที่เขาให้เราอยู่ต่อมันก็เสียเวลาเช่นเดียวกัน เอาเวลาของเขาที่เขาไม่ได้อยู่กับเราแล้วมาเติมต่อเวลาให้กับเรา และทำในสิ่งดีๆ คิดแต่สิ่งดีๆ แล้วก็ให้ประโยชน์กับคนอื่นมากที่สุด เราก็จะเข้มแข็งแล้วก็ให้กำลังใจทุกคนได้ดังเช่นวันนี้เหมือนกัน"
https://www.facebook.com/teeneedotcom