เอส กันตพงศ์ เปิดชีวิตบวชนานนับเดือน ต้องเจอเรื่องเสียน้ำตาก่อนสึก
เอส : อันนี้ก็งงเหมือนกันทุกคนทักตลอดเลย จนไปหาคำตอบ เพราะตอนเป็นพระไม่อยากใช้มือถือ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการที่ทำสมาธิทำให้สมองหลั่งสารเอนโดรฟินทำให้หน้าดูอ่อนวัยและหน้าดูผ่องใส
ไปบวชทั้งหมดกี่วัน เห็นตอนแรกบอกว่า 15 วัน ?
เอส : สุดท้ายก็ 24 วัน
จริงๆแล้วการบวชเป็นความฝันที่พี่เอสอยากทำมานานมากแล้ว ตอนนี้ได้ทำสิ่งที่ตัวเองคาดฝันและอยากทำ รู้สึกยังไงบ้าง ?
เอส : เรียกว่าปลื้มปิติ จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่มันมากกว่าสุข เหมือนที่เคยให้สัมภาษณ์ไปหลายที่ว่าอยากบวชแต่เด็กแล้ว อันนั้นเป็นวัยเรียนเข้าใจได้ว่ายังไม่ได้บวช พอโตขึ้นมาก็ยังทำงานอยู่จนกระทั่งที่จะไปอินเดียก็เข้าโรงพยาบาลก่อนที่จะไปอินเดียไม่เท่าไหร่เอง จ่ายเงินจองตั๋วเครื่องบินอะไรทุกอย่าง สุดท้ายก็ไปไม่ได้จนต้องมาเลือกที่วัดธรรมมงคลก็เป็นเหตุผลยังเอิญอีกเหมือนกัน ตอนที่หายป่วยกลับไปที่วัดแล้วไปเจอพี่นุ้ย(นุ้ย เกศริน) เป็นพี่ที่เคารพ พี่นุ้ยถามว่าเอสเคบปวารณาตนไว้ว่าจะเป็นโยมอุปฏฐากวัดธรรมมงคล พี่นุ้ยเลยส่งรูปมาให้ที่ก่อนป่วยนานๆเลยไปทำกิจกรรมที่วัดเยอะมาก เลยรู้สึกว่าการบวชที่วัดนี้ไม่ใช่ความบังเอิญหรือเปล่าเพราะว่าจะไปอินเดียจะบวชก็ไม่ได้บวช ป่วยเข้าโรงพยาบาลเสียก่อน เล่าข้ามไปตอนเข้าโรงพยาบาลไม่ได้ไปอินเดียก็เลยไปกับพี่ส้มเจ้าของรายการของเรา พี่ส้มพาไปดูที่เชียงใหม่ ก็เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ ตั้งแต่หายป่วยเข้าโรงพยาบาลไป 2 รอบแล้ว เชียงใหม่ก็ไม่ได้ไป ก็ไปวัดธรรมมงคลเลย
เอส : กังวลเรื่องเครื่อง เพราะเครื่องมันอยูตรงด้านหลัง ตรงกลางๆไหลไปทางหลังนิดนึง กังวลว่าไม่ได้นอนเหมือนเตียงฆราวาสทั่วไปไม่ได้นุ่มจะมีความแข็ง กลัวว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า สุดท้ายนอนสบายกว่าอยู่บ้านตัวเอง อันนี้เรื่องจริง ทำไมไม่เคยนอนหลับยาววันละ 8-9 ชั่วโมง ทำไม่ได้เลย
สิ่งที่ปรับมากคือการแต่งกาย แต่งละวันจะออกจากห้องได้แทบจะบิณฑบาตไม่ทัน ?
เอส : เรื่องจริง ตอนแรกคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดน่าจะถือศีล ทำไปทำมาก่ารนุ่งจีวรยากสุด ชุดของพระเราไม่เคยสัมผัสเห็นด้วยตา เหมือนว่าผ้าห่มหรือผ้าเช็ดตัวเอามาทำเป็นชุดต้องมาหาวิธีใส่ยังไงให้เป็นชุด ใส่ยังไงที่นั่งสมาธิแล้วชุดจะไม่หลุด เคยมีชุดเกือบหลุด มันยากมากสำหรับผมหรือเปล่า ถามเพราะท่านอื่นท่านก็บอกว่าไม่แปลกท่านก็ 15 วันกว่าจะใส่ได้
อีก 1 อย่างที่อาจจะเป็นปัญหากับพระพี่เลี้ยงและพระที่บวชด้วย ทุกคนในวัดต้องตามหา การหายตัวปลีกวิเวกจนคนอื่นต้องตามหามันยังไง ?
เอส : ย้อนไปคนอาจจะไม่ทราบว่าทำไมเลือกอินเดีย นอกจากอยากไป 4 สังเวชนียสถานแล้ว ไปอืนเดียไม่มีคนรู้จักก็วิเวกได้ เชียงใหม่ก็ไกลจากผู้คนไกลจากญาติก็ไม่มีใครจะไปหาได้ พอมาวัดธรรมมงคลโชคดีมากเหมือนไปเชียงใหม่โดยที่ไม่ต้องไปเชียงใหม่เหมือนไปต่างจังหวัดที่มีธรรมชาติแต่อยู๋กรุงเทพฯ ชอบไปปลีกวิเวกเพื่อหาความสงบ เดินทั่ววัดเลยจำไม่ได้จริงๆว่าไปไหนบ้างเพราะว่าเดินทั่ววัดเลย หาที่สงบที่สุดในแต่ละวัน โยมแม่ก็จะเป็นห่วงเป็นปกติ โทรตามหาว่าพระเอสอยู่ไหน พระท่านก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน มีวันหนึ่งเห็น 3 รูปตามหา แล้วอาตมาเป็นคนเห็นก่อนแล้วก็ทักท่าน ท่านก็ถามไปไหนมา
เอส : คำตอบก็ยังเหมือนเดิมว่าจะรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่ได้ไปในชุดพระภิกษุ เพราะยังไงชีวิตนี้ก็ต้องไป ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปอยู่แล้ว ไปเมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยแล้วยิ่งเป็นเคสของผมทุกคนจะทราบได้ดีไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปลื่มปิติด้วยซ้ำถ้าจะไปในชุดพระภิกษุก็เลยไม่กังวล
คิดว่าจะบวชอีกมั้ย ?
เอส : ถ้าเคลียร์ทุกอย่างในทางโลกเสร็จก็น่าจะบวช อีกคำถามที่เคยถามพระท่าน ท่านถามย้อนมาให้ได้ตระหนักหรือเป็นสิ่งที่ลืมตระหนัก ท่านบอกว่าบวชมาแล้วสุข แล้วคนอื่นสุขด้วยหรือเปล่า มีอะไรที่ยังแบกไว้ในใจมั้ย มีอะไรที่เป็นห่วงมั้ยในทางโลก ก็บอกว่ามีจริงแล้วก็ยังแบกไว้พอสมควร ท่านบอกว่าแล้วจะสุขหรอถ้าบวช ไม่เคยถามตัวเองว่าถ้าอย่างนั้นถ้ายังมีเรื่องที่ทางโลกยังเป็นห่วงเขาหรือเป็นห่วงอยู่มันสุขส่วนหนึ่งแล้วซักพักต้องไปทุกข์ไปกังวลกับเขา ท่านบอกว่าถ้าอย่างงั้นก็ต้องไปจัดการเรื่องทางโลกให้เสร็จก่อน เสร็จแบบไม่ค้างคาอะไร แล้วเราจะบวชได้อย่างบริสุทธิ์ หลายคนอาจจะงงว่าอยากบวชทำไมถึงสึกออกมาแล้ว เราอยากบวชก็จริงแต่ลืมตระหนักเลยว่ายังมีทุกข์หลายๆอย่างที่แบกไปด้วยในเพศฆราวาสที่แบกไปกับเพศพระภิกษุก็ไม่เหมาะ มันจะเป็นการขัดขวางการปฎิบัติ
มีเหตุการณ์ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นตอนนั่งวิปัสสนา ?
เอส : เรื่องที่คิดว่าลืมหมดแล้วตอนเด็กๆกลับมาหมดเลย สมมติว่าถ้าคิดว่าตอนเด็กทุกข์นั้น 100% แล้วนึกว่าเรากำจัดไปได้แล้วเคยเล่าว่าตอนเด็กๆเป็นไมเกรน อายุเท่านี้ยังอยู่อีกหรอเนี่ย ที่งงคือเพราะการใช้ชีวิตปกติจำไม่ได้ด้วยเรื่องพวกนั้น แต่พอนั่งสมาธิทำไมหน้าคนนี้กลับมา เหตุการณ์ในวันนั้นทำไมกลับมา
เอส : เพราะมันหายไปแล้ว เราก็นึกว่ามันหายไป ตัดทุกข์ได้นึกว่าหายแต่ยังอยู่ เหตุการณ์ใบหน้าของคนที่ทำให้เกิดความทุกข์นั้นกลับมาซะชัดเลย นี่แสดงว่าเรายังไม่ได้ละได้นี่หน่า แสดงว่าก็ยังอยู่และบางเรื่องกับเขาก็มีอาจจะน้อยกว่าเยอะ แต่เรื่องที่กลับมาคือบางเรื่องที่เราไม่ได้รู้ด้วยซ้ำเรื่องนี้เราทำกับเขาดีมากเลยแต่ดันกลับมา ก็เลยสงสัยว่าสุดท้ายที่เราคิดว่าเราทำดีกับเขาเราทำให้เขาทุกข์โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ก็งงว่าเรื่องเหล่านั้นยังฝังในใจ เปลี่ยนหน้ากันมาเรื่อยๆ ก่อนสึกไม่กี่วันก็ไม่มี
การไปบวชคือความสุขแต่อะไรที่ทำให้เสียน้ำตาก่อนจะสึก ?
เอส : แต่ไม่อาจกับถึงเสียน้ำตาแต่เสียใจมาก จำได้ว่าตอนสึกออกมาหลับตาตอนที่จะขึ้นรถกลับบ้าน ไม่อยากเห็นภาพอะไรในทางโลกเลย ก่อนที่จะหลับตามองแล้วเห็นรถติดแล้วเขาสุขกันหรอ บ้านใหญ่เขาต้องผ่อนไม่รู้เท่าไหร่ ความสุขเขาคืออะไร พนักงานตอนเช้าเราบิณฑบาตรจะเห็นทุกเช้า ตี 5 6 โมงรีบวิ่งคนมีรถก็ขับรถ รถก็ติด คนไม่มีรถต้องเรียกรถประจำทางหรืออะไรก็แล้วแต่ สุขของพวกเขาคืออะไร สุขคือที่พวกเขาต้องดิ้นรนหาเงิน ดิ้นรนหาทางรอดในชีวิตแล้วสุขทางโลกคืออะไร เพิ่งเข้าใจว่าพระเขาจะมองที่พื้นอย่างเดียวเลยทำให้อยู่แค่นี้อยู่กับกายกับใจ เช่นกันพอสึกมาพอเริ่มรู้สึกอย่างนั้นพอมองเรื่องทางโลกก็เลยหลับตาดีกว่า แล้วทำสมาธิดีกว่า จะเรียกว่าเสียใจก็ไม่ใช่ เรียกว่าได้ตระหนักถึงความที่จะเสียใจในฐานะฆราวาส
https://www.facebook.com/teeneedotcom