อัปเดตชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยว ตุ๊ก ชนกวนันท์ เหตุใดมีแพลนจะขายบ้าน?
ลูก 16 กับ 13 โตเร็วมากๆ ลูกๆ ได้รางวัลกันเยอะมาก?
ตุ๊ก : เป็นเด็กทำกิจกรรมช้าเหมือนกัน แพรวทำกิจกรรมตอน 11 เรียนบัลเล่ต์ตอน 11 เรียนกับเด็ก 8-9 ขวบ เกรด 1 ก็ค่อยๆ มา แต่รางวัลเวลาเราแข่งอะไร ค่อนข้างได้รางวัลกันหลายท่านแหละ ไม่ใช่ว่าเราได้คนเดียว มีทั้งรางวัลของน้องแพรวและน้องภูมิ อย่างว่ายน้ำ ไอซ์สเก็ต เราภูมิใจที่เหมือนเขาเห็นทางตัวเอง รู้ว่าชอบอะไรแล้วมาขอ ให้ไม่ได้ก็ตื๊อ บางอย่างก็ให้เลย บางอย่างเขาตื๊อ อย่างบัลเล่ต์เห็นใจสุด เพราะเขาเริ่มตอน 11 ตัวแข็ง ก็ตะกายของเขาไปได้ จนถึงเกรด 6 แล้วรีบไม่ได้ด้วยนะ ร่างกายมันโกงไม่ได้ เราต้องรอจริงๆ จนตอนนี้เพื่อนที่เรียนในห้องอายุเท่ากันแล้ว จากที่เรียนกับเด็กน้อย
ได้ถ้วยรางวัลครั้งแรกจากอะไร?
ตุ๊ก : ขี่ม้า แต่ปีนึงมีการแข่งขันเยอะ มีทุกเดือน ต้องมีเดือนที่เป็นของเราบ้าง อันที่ไม่ได้ก็เยอะ
น้องแพรว : แข่งประเภทกระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ตอนนั้นอายุ 13
ตุ๊ก : พอไปเรียนจริงมีรายละเอียดเยอะ มีกระโดด มีขี่ม้าแบบสวยงาม เป๊ะ เป็นระเบียบ สวยงามข้ามเครื่อง 10 เครื่อง ซึ่งมันก็ยากต้องเรียน
น้องแพรว : ต้องมีเวลาด้วย
น้องแพรวอายุ 16 เป็นโค้ชแล้ว เป็นโค้ชอะไร?
น้องแพรว : ฟิกเกอร์ ไอซ์สเก็ตค่ะ
ได้เงินก้อนแรกจากการเป็นโค้ชมาแล้ว?
น้องแพรว : ได้ค่ะ แต่ไม่ค่อยเยอะหรือเปล่า
ตุ๊ก : นักเรียนมีสองคนถ้วน
น้องแพรว : นี่เป็นเงินที่เราทำขึ้นมาเอง รู้สึกดีใจค่ะ ได้เงินมาก็ให้ค่าขนมน้องด้วย
ตุ๊ก : เขาเพิ่งมีโทรศัพท์ ก็ใส่แอปฯ ธนาคาร ให้ลองโอนเลยมั้ยวันจันทร์จะเปิดเทอม แม่โอนให้เลยแล้วกันเงินรายอาทิตย์ น้องภูมิบอกแม่ไม่ต้องโอน พี่แพรวบอกว่าจะโอนให้หนู มีทวงด้วย
ทำไมไม่เก็บเงินก้อนแรกเอาไว้?
น้องแพรว : บ้านเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ก็อยากช่วย อยากรับผิดชอบในส่วนหนู และช่วยแม่นิดนึงในส่วนของน้องด้วย
พอรู้น้องภูมิรู้สึกยังไง?
น้องภูมิ : ดีใจ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะให้ พอเขาให้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ (หัวเราะ)
ไม่ใช่แค่น้องแพรว น้องภูมิก็ทำให้แม่ปลื้มปริ่มใจ?
ตุ๊ก : ปีนี้เป็นเรื่องราวการเปลี่ยนโรงเรียน พี่สาวไปเรียนก่อน รับส่งสองโรงเรียนอยู่ประมาณ 3 ปี ก็โอ้โห กระอักนิดนึง เขาก็สนใจและชอบ มีโอเพ่นเฮ้าส์ ที่สาธิต ม.ธรรมศาสตร์ จริงๆ เป็นหลักสูตรที่ใหม่มาก แพรวเป็นปีที่ 5 ภูมิเป็นปีที่ 8 เขาไปดูโอเพ่นเฮ้าส์แล้วเขาชอบ เขามีวิธีสอบเข้าที่ไม่เหมือนที่ใด จะวัดความเป็นมนุษย์ในตัวเด็ก วัดแอดติจูด วัดนิสัย การเข้าสังคม เขาก็ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี เลยเข้าใจ เพราะลูกจะแข่งเยอะ มีถ้วยมีอะไร นักข่าวจะสัมภาษณ์บ่อย เราก็ภูมิใจและยินดีด้วยนะ แต่เราไม่ได้อินเพราะเราไม่ใช่สายกีฬา เราเป็นเด็กเนิร์ด พอเรื่องนี้เรารู้สึกว่า นี่แหละที่เราสร้างเขามาทั้งชีวิต ที่เราพยายามเลี้ยงเขามาทั้งชีวิต แล้วเขาเป็นเด็กที่โอเค โรงเรียนยอมรับว่าเป็นเด็กที่น่ารัก ก็ดีใจ
เห็นว่าร้องไห้เลย?
ตุ๊ก : ร้องไห้ตั้งแต่เช้ายันเย็น ร้องไม่เลิกอยู่คนเดียวแล้วโทรไปหาอากง อาม่า โทรบอกน้องเลขาที่เคยคลุกคลีกับน้อง
อยากเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่เข้าใจโลก อยู่อย่างมีความสุข ซึ่งสิ่งนี้วัดด้วยถ้วยรางวัลไม่ได้ ถ้วยรางวัลก็เป็นอีกแบบนึง แต่ระยะยาวๆ แล้ว อันนี้สำคัญมาก พี่ตุ๊กก็เป็นห่วงมาก?
ตุ๊ก : เป็นห่วงมาก เพราะสุดท้ายแล้วเขาจะอยู่เองโดยไม่มีเรา เราอาจหลงลูกคิดว่าเขาโอเค แต่พอมีคนช่วยบอกว่าโอเค ก็เหมือนช่วยคอนเฟิร์มว่าเราคิดไม่ผิด
น้องภูมิล่ะ รู้มั้ยคุณแม่ร้องไห้?
น้องภูมิ : ไม่รู้ แม่ไม่ได้บอก
รู้มั้ยแม่ร้องไห้เพราะภูมิใจในตัวเรา?
น้องภูมิ : รู้ครับ
ตุ๊ก : วันที่ทราบ เป็นวันที่เขาเรียนหนังสืออยู่ เป็นคนคิดมาก ก็ปรึกษาพี่โรส วริสรา ลูกโตเท่ากันทั้งคนโต คนเล็ก สอบเข้าด้วยกัน ก็ถามว่าจะบอกลูกได้แค่ไหนกลัวนางเหลิง แต่นางก็ควรได้รู้ว่าสิ่งที่นางทำอยู่มันดีมันน่ารัก เขาก็ช่วยไกด์ว่าถ้าเราบอกเขาอย่างจริงใจ หรือชมอย่างจริงใจมันก็โอเค เราภูมิใจเขาจริงๆ เขาก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกแล้ว
เวลาคนบอกเรื่องนี้กับเรา ว่าเราสอบได้คะแนนดีมากๆ ภูมิบอกคุณแม่ยังไง?
น้องภูมิ : แม่บอกว่าสอบได้คะแนนดี ก็ดีใจ
แม่ได้บอกมั้ยว่าตอนไปสอบต้องเตรียมตัวอะไรมั้ย?
น้องภูมิ : แม่ไม่ได้บอกให้เตรียมตัว
ตุ๊ก : คนถามเยอะเหมือนกัน ก็จะบอก่วาไม่ต้องถาม ที่นี่เปลี่ยนวิธีสอบทุกปี อย่างปีภูมิเป็นปีแรกที่เด็กต้องเขียน Portfolio ด้วยมือเขียน ไม่ใช่พิมพ์ ก็จะช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย มี 5 คำถามก็เขียนไปในความเข้าใจในคำตอบ แล้ววันที่ไปโรงเรียนวัดเป็นกระบวนการเดี่ยว กระบวนการกลุ่มเขาก็จะมีอะไรให้เด็กทำ เขาก็จะดู ประมาณนี้ ดูวิธีเข้าสังคม
น้องภูมิภูมิใจในตัวเองมั้ย?
น้องภูมิ : นิดนึง
ตุ๊ก : คิดถึงตัวเอง วิ่งก็หกล้มแล้ว เป็นคนตัวสูง ผู้ปกครองจะมีการแข่งแชร์บอลที่โรงเรียน เขาบอกว่าความสูงเสียชาติเกิดมาก (หัวเราะ) เหมือนความสูงไม่ได้ช่วยอะไร ไม่มีทักษะกีฬาเลย อันนี้น่าจะได้จากคุณพ่อ
ทำไมชอบเล่นฮอกกี้?
น้องภูมิ : มันสนุก ก็ยากเท่าๆ กันทุกอย่าง แต่ชอบอันนี้มากที่สุด เคยได้รางวัล มีแข่งหลายเทอนาเมนต์ แล้วแต่เทอนาเมนต์ว่าได้ที่เท่าไหร่ ก็จะมีเป็นถ้วยเป็นเหรียญ ได้หลายอย่าง
ตุ๊ก : ได้เหรียญกีฬาเยาวชนแห่งชาติปีล่าสุด ราชบุรีเกมส์
เด็กๆ มีความฝันเหมือนกัน ภูมิอยากเป็นอะไร?
น้องภูมิ : อยากเป็นนักกีฬาฮอกกี้เหมือนกัน
น้องแพรวล่ะ?
น้องแพรว : อยากเป็นนักกีฬาฮอกกี้เหมือนกัน
ตุ๊ก : ปีที่แล้วมีเยาวชนทีมชาติ ปีนี้ก็เริ่มคัดทีมชาติกันแล้วด้วยอายุ เริ่มเข้าสู่การคัดปีนี้
พี่ตุ๊กดันเต็มที่?
ตุ๊ก : เราก็ซัปพอร์ตเนอะ เมื่อก่อนก็ประมาณคนขับรถ (หัวเราะ) คนจ่ายตังค์ แต่จ่ริงๆ แล้วหลายอย่าง การซัปพอร์ตจิตใจ มันก็ยากนะ ต้องสร้างพลังในการสู้ด้วย จริงๆ แล้วก็เป็นหน้าที่โค้ชไม่ใช่หน้าที่ผู้ปกครองหรอก ผู้ปกครองมีหน้าที่ซัปพอร์ต จะดูว่าเขายังคงเฮลท์ตี้อยู่หรือเปล่า
น้องภูมิ : อยากไปเล่นฮอกกี้ที่ต่างประเทศ อยากไปแคนาดา
ตุ๊ก : ก็ต้องดูไปก่อน ยังไงเขาคงไม่ได้ไปตอนนี้ การไปก็คงไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายที่น้อย ต้องดูว่าถ้าไม่ไหวก็อาจไม่ได้ไปนะ ไปหรือไม่ไปก็ไม่ได้แปลว่าทั้งหมด มีหลายทางให้ทำ ก็ดูปีต่อปี ไม่ถึงกับฟันธง คิดว่าถ้ารู้สึกว่าสบายใจให้เขาไปคงสัก 16 เป็นต้นไป โตกว่านี้ ถ้าเรื่องรับผิดชอบตัวเองก็ไม่ห่วงนะ สไตล์เขา แต่เหมือนพัฒนาการความอบอุ่น คิดว่าอยู่ด้วยกันอีกแป๊บก็น่าจะดี เพราะส่วนใหญ่เพื่อนเขาที่เริ่มไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่เขาก็ต้องไปอยู่ที่โน่นด้วย มันแพง
ตุ๊ก : เคยเหมือนดูหมอเล่นๆ กับเพื่อน เขามีเซ้นส์ เปิดไพ่เขาบอกว่าวันๆ คิดแต่เรื่องเงินเหรอ (หัวเราะ) จริงๆ วัยเราไม่มีเรื่องความรักอะไรแล้ว เพื่อนก็ไม่ได้เครียดอะไรขนาดนั้น ทุกคนก็ปล่อยวาง ถ้าเรามีกำลัง หรือสตางค์ซัปพอร์ตตามความฝันของเขาแบบเหลือๆ ถ้ากองอยู่ก็ไม่มีอะไรเลย ตื่นเช้ามาอาบน้ำกินข้าวส่งลูก แต่เข้าใจว่าชีวิตมนุษย์ก็คงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เราก็ต้องดูเอา แต่เราไม่ถึงขั้นไม่มีกิน มันก็ดีแล้ว เราก็วางแผนว่าเรามีเท่านี้ เราวางแผนอะไรที่สำคัญ และใช้อะไรได้บ้าง บางอย่างไม่ได้ดั่งใจเขาหมดทุกอย่าง
ทางออกสุดท้ายคืออะไร?
ตุ๊ก : ก็ในหลายๆ ทางที่เขาทำ อย่างขี่ม้าก็หยุดไปแล้ว เหตุผลหลักที่หยุดก็คือเรื่องค่าใช้จ่าย มันแพงจริงๆ แต่ละเดือน ฉะนั้นก็ให้ขี่สัก 2 ปีนะ หนูขี่เป็นแล้วถ้ามีโอกาสก็มาขี่ใหม่ หรือหนูโตไปทำงานได้ก็มาขี่เอง กับบางอย่างต้องหยุด อย่างฟิกเกอร์แม่จะหืดขึ้นคอให้ถึงเลเวล 7 ให้ จริงๆ ต้องหยุดตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ หมุนให้มันทันและให้เขาอยู่ได้ถึงเลเวล 7 จะคุยกับโค้ชเขาก่อนเลย เขาก็จะทราบดีว่าคุยกันได้ บางอย่างไม่ไหวเราก็อาจหยุด
ถ้าจะไปขนาดนั้นอาจต้องขายบ้าน?
ตุ๊ก : ก็เป็นอีกอย่างนึงที่คิดว่าถ้าไม่หยุดเราก็ต้องหาเงินมาเพิ่ม ทีนี้บ้านเราพอมีมูลค่า แล้วเราอยู่เล็กลง เพราะเราอยู่สามคนเอง ทำความสะอาดมันก็เหนื่อย เราต้องมีผู้ช่วยมีคุณแม่บ้าน อยู่บ้านไซส์เล็กลงได้อยู่แล้ว แต่ว่าเป็นวัตถุไง ถ้าจะเปลี่ยนต้องมีขั้นตอน ไม่เหมือนทองที่เดินไปขายได้เลย ถ้าอันนั้นเปลี่ยนไซส์แล้วเหลือสตางค์เอาไปใช้จ่ายได้ ก็เป็นความคิดแรกๆ เหมือนกัน
ลูกๆ รู้มั้ยเรื่องนี้?
น้องแพรว : แม่เคยถามว่าถ้าย้ายบ้านจะโอเคมั้ย หนูก็โอเค
ตุ๊ก : มันก็มีมูลค่าให้เราเปลี่ยนเป็นสตางค์มาใช้จ่าย อยู่หลังเล็กลงได้
น้องภูมิ : เราก็ต้องช่วยแม่เรื่องเงิน และเรื่องเรียน
แสดงว่าพวกหนูก็ต้องตั้งใจเต็มที่ ไม่งั้นแม่ไม่ขายบ้าน เป็นสิ่งสุดท้ายเลยนะเรื่องขายบ้าน?
ตุ๊ก : เรื่องอื่นมันเทิร์นง่ายกว่า อันนี้ผ่านการคุยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ถามเขาเบาๆ ว่าอยากอยู่ที่นี่หรืออะไร คำแรกจะตอบว่าอยากอยู่ที่นี่ก่อน แต่ก็ต้องคุยเหตุผลให้เขาเข้าใจ เพราะเด็กเขาจะตอบด้วยองค์ความคิดเขาแค่ตอนนั้น
ตุ๊ก : เรามีกรอบใหญ่ๆ แค่ผิดชอบชั่วดี และไม่ยุ่ง ไม่ยุ่งคือเป็นเรื่องเขาด้วยหนึ่ง และสนุกกับการเฝ้าดูว่าเอ็งจะไปทางไหน จะใช้วิธีไหนแต่ละอย่าง ทั้งเรื่องเรียนด้วย และทั้งหมด เป็นแม่ที่ดุ แต่เรื่องสไตล์ เรื่องการเลือก การใช้ชีวิตไม่แตะถ้ายังไม่เกิน ไม่เดือดร้อนคนอื่น ไม่เดือดร้อนสิ่งแวดล้อม ไม่ยุ่ง อยากดูด้วยว่าเขาจะใช้วิธีอะไร ไปแนวไหน เพราะมันได้ล้านวิธีเลย อย่างช่วงนึงเขาอยากต่อขนตา แต่ต่อแล้วก็ไม่ชอบเหมือนกัน อยากลองก็ลอง
แม่ดุมั้ย?
น้องภูมิ : เคยดุ บางทีก็ใจดี บางทีเก็บของไม่เรียบร้อย
น้องแพรว : จะพูดเหมือนกันเลย (หัวเราะ)
ตุ๊ก : มีเรื่องเดียว แล้วตีกันได้ทุกวัน
น้องแพรว : บางทีหนูพูดรัวๆ ฟังไม่รู้เรื่อง แม่พูดเร็วแต่แม่พูดชัด แต่หนูไม่รู้เรื่อง
ตุ๊ก : (หัวเราะ) ก็เลยบ่นว่าพูดให้รู้เรื่องหน่อย ทะเลาะกันเยอะนะ แต่เรื่องมีแค่นี้ จนบางทีคิดว่าตัวเองเป็นบ้า ก็ไปปรึกษาเพื่อนที่โรงเรียนทุกวัน เพื่อนก็บอกว่าแกไปหาหมอมั้ย (หัวเราะ) จะเอาอะไรอีก เขาก็พูดให้สติเราแหละ เพื่อนมองบน มองล่าง ส่ายหัว
เลี้ยงลูกสบายๆ ชิลๆ ให้ลูกตัดสินใจเอง รอดูผลว่าเขาจะแก้ยังไง?
ตุ๊ก : บางเด็กชอบอะไรก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยลอง ถูกป้อนข้อมูล แต่เข้าใจว่าที่คิดให้ ส่วนใหญ่มาจากความห่วงและความกลัวแหละ เขาอาบน้ำร้อนมาก่อนไม่อยากให้พลาดเหมือนเขา แต่บางทีการพลาดหรือการหกล้ม การเสียหลัก ก็เป็นบทเรียนที่ดี เด็กที่ทำจานแตกก็จะได้รู้ว่าถือยังไงไม่ให้แตกในรอบต่อไป เขาก็จะได้ไอเดีย
https://www.facebook.com/teeneedotcom