ดาราสาวเปิดใจเลิกแฟนหนุ่ม ร้องไห้ซ้ำๆ ทำอะไรก็ดราม่าทัวร์ลงไม่หยุด
ก้อย : ใช่ค่ะ เหมือนรอเวลาแป๊บนึง เหมือนเราชาๆ นิ่งๆ อยู่กับตัวเองสักพักหนึ่ง จนสะระตะได้แต่คือวันเดียวกันนะคะ ก็เลยค่อยๆ พิมว่า เลิกนะ เพื่อนก็เป็นห่วงแต่แบบเราสไตล์เดียวกันคือเรารับรู้ว่าเขาอยู่ข้างๆ ไม่ได้แบบว่าแกเป็นอะไรไหมมันไม่ใช่แบบนั้น ..
เอาจริงๆ ทั้งสองคนรู้ว่าจริงแล้ววันนี้ต้องมาถึงอยู่แล้วไหม
นัตตี้ : ก็ไม่ถึงกับเซอร์ไพรส์แต่ก็ตกใจที่เป็นตอนนี้นะคะ สำหรับ นัตตี้ ไม่ได้คิดว่า ก้อย จะทำมันตอนนี้เพราะเรารู้สึกว่า ก้อย มีความรักอยู่เยอะมากแล้วยังบอกอยู่เลยว่าถ้า ก้อย สู้ต่อไปได้ก็ลองดูมันอาจจะดี แต่ไม่คิดว่าจะพอแล้ว ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
ก้อย : เป็นที่ตัวก้อยด้วยที่สื่อสารน้อย แล้วก็ใช้คำนั้นแหละเวลาเจอปัญหาอะไรก็ตาม ก้อย มักจะพูดกับตัวเองตลอดไม่เป็นไรหรอก ช่างมัน เหมือนบางทีเราเลือกที่จะข้ามทั้งๆ ที่เห็นกันจะๆ เลยนะคะ ว่านี่คือปัญหา แต่เหมือนเรามองว่ามันไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นหรอกแล้วเราก็ข้ามได้ แล้วก้อยก็คิดว่าข้ามได้จริงๆ
นัตตี้ : เราก็เชื่อว่าก้อยข้ามได้ เรายังคิดเลยก้อยข้ามได้อย่างไร
ก้อย : ก้อย ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นคือ ณ วันนั้นเราเหนื่อยมาก ก้อย ทำงานหนักมากเมื่อพอเราเหนื่อยจน มันเหนื่อยจากเรื่องอื่น ปกติถ้าเราโฟกัสกับเรื่องความรักอย่างเดียวแล้วเราเหนื่อยเรายังมีแรงมากพอที่เราจะข้ามอะไรหลายๆอย่างไป แต่พอเราเหนื่อยจากเรื่องอื่นมันอาจจะเจอบางเรื่อง หรือ อะไรหลายๆ อย่างที่คุยกันไม่รู้เรื่องมันเหมือนร่างกายมันแบบมัน ก็เลยรู้สึกว่าพอเถอะ
เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเรื่องใดๆ ก็ตาม ที่เราคิดว่าทิ้งมันได้ ตัดมันได้ข้ามมันได้ จริงๆ แล้วมันเหมือนเรากวาดมันกองไว้ใต้พรมเหมือนอย่างที่เขาบอกว่ามันสะสมๆ มันถึงได้มาถึงวันนึงมันถึงได้แบบไม่ไหวแล้ว
ก้อย : ก้อย ว่าก็ด้วยค่ะ ก้อย ว่าถ้าปัญหาชีวิตทั่วไป ก้อยว่าเราคุยและจัดการมันได้ประมาณหนึ่ง แต่กับความรักเราคิดว่ามันมีสิทธิ์เป็นแบบนั้น เพราะเราเลือกที่จะไม่อยากปะทะเพราะเรารู้สึกว่าไม่เป็นไรหรอกอะไรอย่างนี้ มันก็เลยไปกองรวมกันนั่นแหละค่ะ แล้วเราก็พูดจริงๆ ว่าเราจริงจังนะ หมายถึงว่าเราใช้ชีวิตเหมือนคนแต่งงานเลย พูดตรงๆ เราใช้ชีวิตเหมือนคนแบบใช้ชีวิตจริงๆ และก้อย ก็รู้สึกว่าวันที่เราเลิกกันมันคือเรา และการได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ทัศนคติ สังคมอะไรหลายๆอย่างมันคือเราสองคนจริงๆ
ก้อย : ตั้งแต่ก่อน ตั้งแต่ดราม่า จนเลิก ก็มาเรื่อยๆค่ะ ทัวร์ก็ค่อยๆมาขับๆกันมาจอดๆ แต่ก้อยก็คิดว่าก้อยจัดการได้ดีขึ้นเยอะ ช่วงแรกๆที่แบบว่า รถขับแวะมาทัวร์เรา เราก็จะเหมือนแบบต้อนรับเขาจัดเต็ม เราก็น่วมเลย แต่พอเริ่มโตขึ้นแล้วเรารู้สึกว่า รถทัวร์มาจอดหน้าบ้านเดี๋ยวก็ผ่านไป
แล้วตอนเลิกกันโดนด่าเรื่องอะไร ?
ก้อย : เยอะมากเลยค่ะ แต่มันมีประเด็นนี้ค่ะ คือมีน้องหมาที่เลี้ยงด้วยกัน ซึ่ง ก้อย ก็เลี้ยงเขาเหมือนลูกแล้วก็ผูกพัน แต่จริงๆแล้วเป็นน้องหมาของพี่เขา เป็นน้องหมาที่พี่เขาเลี้ยงมาประมาณนี้ค่ะ เราก็รู้สึกว่าน้องหมาตัวนี้ เราเลี้ยงเขามา เรารู้สึกว่าเราช่วยกันเลี้ยงดีกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทั้งสองคนคุยกัน แต่หลายๆคนก็จะรู้สึกว่ากั๊ก มาของเขาก็คืนเขาไปสิ ไม่มีจิตสำนึกอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็คือด่าเราเรื่องการที่เราเอาน้องหมามาเลี้ยง ถามว่าจริงๆเราต้องอธิบายไหม จริงๆก็ไม่ต้องอธิบายหรอกแต่ว่า ก็มันจะมีจุดโดนจุดเขาเรียกว่าอะไรนะ เราเป็นคนองค์ลงง่าย คือถ้าสมมติว่ามันมาประจวบเหมาะ ช่วงเวลาอันอะไรก็ไม่รู้
ก้อย : และสำหรับความรักครั้งต่อไปจะรู้สึกว่าไม่รีบ เพราะรู้สึกว่าด้วยวัยด้วย เพราะเรารู้สึกว่าปกติเรารู้สึกว่าความรักมันต้องพยายามอยู่เยอะในนั้นเหมือนกับ ต้องพยายามสิ มีความสุขสิ แต่ ก้อย รู้สึกว่าในครั้งถัดๆ ไปก็คือ ไม่เข็ดแต่ก็อยากให้มันสบายๆ แล้วก็เหมือนเป็นพื้นที่ปลอดภัยของเรา
ก้อย : ก็ไม่ได้ปิด แต่ก็อยู่ที่คุยกัน เรารับรู้ได้ไหม คุยกันรู้เรื่องไหม
เวลาปกติจะเห็นก้อยเป็นคนที่สดใสรื่นเริงมากๆตอนร้องไห้เสียงดังๆใครๆฟังหนูบ้างไหม
ก้อย : ถ้าดังสุดก็คงตัวเองแต่กับเพื่อนก็มีบ้าง
คุณแม่ได้เห็นมุมอ่อนแอของ ก้อย ไหม
ก้อย : ไม่ค่อยเลยค่ะ เพราะว่าแม่ชอบเห็นในรายการ หรือมีใครถามเราจี้จุดแล้วแม่นั่งอยู่ตรงนั้นพอดี แต่ถ้าชีวิตจริงร้องไห้ให้แม่เห็นไม่ค่อย เพราะเขาคือคนที่เรารู้สึกว่าเราเป็นห่วงแล้วเรารู้สึกว่าถ้าเราร้องไห้มากกว่าเราเจ็บ แม่เจ็บกว่าแน่นอน เราเลยเหมือนไม่ค่อยอยากให้แม่เห็นเราร้องไห้ แสดงด้านนั้นออกมาให้เขาเห็น
https://www.facebook.com/teeneedotcom