ดูเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงเหมือนกันนะ ?
“มีค่ะ แพนไม่ได้เปิดตัวเองมากขนาดนั้น ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน คือการที่เราเข้ามาทำงานในวงการนี้ เราได้เจอใครตั้งมากมาย รู้ว่าทุก ๆ คนไม่ได้มีความเป็นตัวเองที่สุดเหมือนกัน แต่เราทุกคนก็ต้องมีจุดหนึ่งที่เข้าหาคนอื่น แต่ก็มีอะไรที่กันตัวเองไว้ซะส่วนใหญ่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแพนจะไม่ค่อยสนิทกับใครที่เราไม่รู้จักเขาตั้งแต่แรก รู้สึกว่าทุกคนเจอกันได้แค่ผิวเผิน เพราะเราไม่รู้ว่าเบื้องหลังที่เขามาหาเรามันเป็นยังไง มันค่อนข้างยุ่งยาก อย่างเพื่อนในวงการแทบจะน้อยมากที่จะได้รู้จักจริง ๆ อย่าง พี่วิน-ธาวิน พี่เวียร์-ศุกลวัฒน์ พี่เบิ้ม-สมชาย และ พี่ร็อคกี้-สุรบดินทร์ สมบัติเจริญ ซึ่งมาคบลงตัวกันได้ยังไงไม่รู้ ทั้งที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ด้วยความที่มีอะไรที่เหมือนกัน ทุกคนมันส์ ๆ เหมือนกัน คุยกันรู้เรื่อง มีพื้นเพที่คล้าย ๆ กัน มันเลยจูนตรงกัน ส่วนนอกนั้นที่เหลือ แพนรู้สึกว่ามันเหมือนใส่อะไรไว้มากเกินไปกว่าที่จะมาเจอกันได้ เลยแบบว่าไม่ดีกว่าขออยู่แบบนี้ดีกว่า มีเพื่อนแค่นี้ดีแล้ว”
ตอนเด็ก ๆ เคยมีความฝันกับเขาบ้างไหม “มีนะ เมื่อก่อนเด็ก ๆ อยากเป็นแอร์โฮสเตส เวลาที่เราเห็นพี่ ๆ เขาเดินลากกระเป๋า ใส่ยูนิฟอร์ม แล้วต้องเปลี่ยนชุดบนเครื่องบิน ดูแล้วน่าสนใจดี แต่นั่นมันคือตอนเด็ก ๆ คิดแค่นั้น มันเป็นอะไรที่น่าทำ แต่พอเราโตขึ้น มีมุมมองที่ต่างไป ไม่ใช่อาชีพง่าย ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อีกอย่างแพนเป็นคนที่ไม่ชอบเจอคนเยอะ มันยิ่งแล้วใหญ่เพราะว่าต้องเจอคนตั้งเยอะตั้งแยะ ต้องสื่อสาร ต้องบริการ มันคงเป็นอะไรที่ลำบาก ไม่ใช่แค่แต่งตัวสวยขึ้นเครื่อง พอโตขึ้นมุมมองเราเปลี่ยนไปก็คิดว่าไม่เอาแล้วละขอเป็นผู้โดยสารบนเครื่องดีกว่า ทำในอาชีพที่เราทำ อยู่ดีแล้ว”
อาชีพนักแสดงคืออาชีพที่แพนชอบที่สุดแล้วใช่มั้ย ? “คิดว่าใช่ค่ะ พอเรามีโอกาสได้ทำถึงมันอาจจะเบื่อบ้างเจอคนเยอะแยะบ้าง มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีโอกาสได้ทำ แพนว่ามันก็เป็นอะไรที่มีความสุขดีและมันอยู่ในขอบเขตที่เราสามารถเลือกได้ด้วย และแพนว่าถ้าเราทำงานแล้วเรามีความสุขงานก็จะออกมาดีและแพนจะยิ่งรู้สึกดีถ้างานที่เราทำออกไปแล้วนั้นสร้างความสุขให้กับคนได้”
ก่อนนั้นได้ข่าวว่าอยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ ? “ใช่ค่ะ แพนเป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย คือตอนเด็ก ๆ ไม่ได้ตั้งเป้าอะไร คือแพนเรียนโรงเรียนสาธิต ซึ่งจะมีการแข่งกีฬาทั่วประเทศ ก็คิดว่าตัวเองมีความสามารถทางนี้เลยเลือกที่จะเป็นนักวิ่ง ก็กะว่าจะเอาดีทางเป็นนักกีฬา แม่เลยส่งให้ไปเรียนกับอาจารย์เรวดี (ศรีท้าว) วัฒนสิน ซึ่งเป็นอดีตนักวิ่งทีมชาติ คือแม่บอกว่าถ้าจะทำอะไรก็ต้องทำให้ถึงที่สุด แต่พอวันแรกไปซ้อมกับอาจารย์กลับบ้านร้องไห้เพราะมันเหนื่อยมาก เราต้องปรับตัว ต้องเปลี่ยนระบบร่างกายทุกอย่าง จนได้เป็นตัวจริงของโรงเรียน ตอนนั้นก็กะว่าจะวิ่งไปเรื่อย ๆ
มันเหมือนเป็นจังหวะพอดีมีงานทางนี้เข้ามา แต่แพนชอบฟีลของนักกีฬานะ เวลาที่เราไปแข่งกีฬามันดูยิ่งใหญ่ ขบวน นักกีฬาเดินเข้ามาในสนาม เสียงเพลง คนคอยเชียร์เวลาเราวิ่งรู้สึกว่ามันภูมิใจ แต่พอเรา เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง มันก็รู้สึกไม่ต่างกันเท่าไร เวลาที่ละครออกอากาศแล้วมีคนดู พอเจอแฟน ๆ ละครที่เข้ามาพูดคุยกับเรา คุยถึง ละครอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกภูมิใจเหมือนกันที่เราทำให้เขามีความสุข และสุดท้ายทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตแพนวันนี้ แพนก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทางช่อง 7 และผู้ใหญ่ทุก ๆ คนนะคะที่ให้โอกาสแพนได้ทำทุก ๆ อย่าง”
เส้นทางที่เธอเลือกเดินในวันนี้ จริง ๆ แล้วมันเพิ่งจะเริ่มต้น แต่เราเชื่อว่าเธอจะเดินไปได้อย่างสวยงาม เพราะเธอเข้ามาในวงการด้วยความสามารถและตั้งใจทำงานในทุก ๆ ชิ้น เชื่อแน่ว่าอนาคตชื่อ “แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์” จะต้องขึ้นทำเนียบนางเอกเบอร์หนึ่งของวงการบันเทิงไทยอีกคน.
คนกลาง / อมรรัตน์ สีม่วง
https://www.facebook.com/teeneedotcom