ลิขสิทธิ์ พรหมลิขิต ช่อง 3 จดละเอียด ตั้งแต่บุคลิกไปจนถึงคำพูด

จากความสำเร็จของละคร ‘บุพเพสันนิวาส' เมื่อ 5 ปีก่อนทำให้ละครภาคต่ออย่าง ‘พรหมลิขิต‘ เป็นที่พูดถึงและจับตามอง มองอย่างคาดหวังตั้งแต่ช่อง 3 และบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น ประกาศว่าจะสานต่อความฟินจากรุ่นพ่อ-แม่ อย่าง ‘คุณพี่หมื่น' กับ ‘แม่การะเกด' ไปจนถึงรุ่นลูก

ซึ่ง สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) บอกว่าเรื่องเหล่านี้คนทำอย่างพวกเขาก็รู้ดี และตั้งใจกันอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้บรรดาผู้รอคอยผิดหวัง

‘ผู้รอคอย' ที่มีทั้งผู้ชมไปจนถึงบรรดาเอเจนซี่โฆษณา ที่พากันจองซื้อเวลาโฆษณาแบบเนื่องแน่น

แน่นทั้งๆที่ "เราขายแพงกว่าราคาปกติ" เขาบอก

ทั้งยังให้รายละเอียดแบบยิ้มๆว่า "พรหมลิขิตจริงๆ แล้วเป็นการขายแบบใหม่ของช่อง 3"

นั่นคือทั่วๆไปแล้ว พอละครจะออนแอร์ คำสั่งซื้อจากบรรดาเอเจนซี่โฆษณาถึงจะมา

"แต่พรหมลิขิตนี่เขาสั่งซื้อ เขาจองกันมาตั้งแต่ไก่โห่"

และไม่ใช่แค่ซื้อ จ่ายเงิน แล้วรอคอยดูสปอตที่จะออกอากาศช่วงพักเบรกเท่านั้น แต่ "เขาไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาเยอะแยะเลย"

 

"จะมีว่าเขาขออยู่เบรก 1 นะ ขอทำวีทีอาร์อยู่ตรงนั้น ตรงนี้นะ แล้วลูกค้าก็สามารถเอาไปทำประโยชน์ออนไลน์ของตนเอง แล้วเดี๋ยวจะเห็น 2-3 อีเวนต์ ที่เขาจะมี"

ขณะที่ราคาค่าโฆษณาของเรื่องนี้ก็ยังได้มากกว่าละครเรื่องอื่น

"โดยรวมเราขายแพงกว่าราคาปกติ หมายความว่าปกติเคยให้ส่วนลดเท่านี้ แต่เรื่องนี้ให้ส่วนลดน้อยลง ก็แปลว่าเขาจ่ายเงินเยอะขึ้น"

สุรินทร์ยังบอกด้วยว่า ตอนนี้บริษัทยังได้มีการจดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับงานละคร ‘พรหมลิขิต' ไว้เรียบร้อยแล้ว

"พรหมลิขิตหรือบุพเพสันนิวาส อะไรทั้งหลายนี้มันจะเป็นการจดทะเบียนเป็นเจ้าของสิทธิ์ IP ที่เราเรียกว่า IP right ก็จะเป็นของกลุ่ม BEC World ทั้งหมด หมายความว่าปัจจุบันนี้เราไม่ได้ทำทีวีเพื่อที่จะทำละคร แล้วออกอากาศหน้าจออย่างเดียว แต่มันมีหลายอย่าง อย่างเวลาละครเราฮิตก็จะมีคนมาซื้อลิขสิทธิ์ ซื้อ IP เรา เพื่อที่จะไปทำภาพยนต์โฆษณา"

"ยกตัวอย่างว่าอาจจะมีคนมาเอานักแสดงพระนางของเรา โป๊ป (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ)-เบลล่า (ราณี แคมเปน) อยู่ในชุดที่คนคุ้นเคยในละคร อย่างนี้ก็เรียกว่าเสียค่าสิทธิ์ คือนอกจากคุณไปจ่ายค่าตัวดาราแล้ว คุณยังต้องเสียค่า IP หรือค่าลิขสิทธิ์ให้กับผมด้วย ค่าคาแร็กเตอร์ด้วย"

หรือถ้าจะมีใครคิดทำสินค้าที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับละครเรื่องนี้ ก็ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เช่นกัน

"พวกสินค้าก็จะมีเยอะ ซึ่งตอนนี้ก็มีคนติดต่อเข้ามาขอซื้อ เพื่อจะเอาไปทำหมวก ทำหมอน ทำอะไรแล้วแต่ เพราะว่าถึงเวลาคนดู ดูเรื่องนี้ พ่อค้าก็จะดูว่ามันฟินตรงไหนบ้าง จับตรงไหนเอาไปทำอะไรมั่งที่เป็นโปรดักส์ เราก็จะไปจดเป็นทรัพสิทย์ทางปัญญาไว้หมดเลย"

"บริษัทเอเจนซี่โฆษณาซึ่งสามารถขโมยซีนใดซีนหนึ่งที่เขารู้เลยว่ามันปัง เพื่อที่จะเอาไปก็อป เอาไปเป็นโฆษณา เพราะโผล่มาแป๊บเดียวคนก็มีแบรนด์รีคอลแล้ว ว่าเฮ้ย...นี่ใช่นี่หว่า" นั่นก็ด้วย

ต่างๆนานาเหล่านี้ สุรินทร์บอกว่าจะเป็นที่มาของรายได้ จากแหล่งซึ่งแตกต่างจากในอดีต ซึ่งละครเรื่อง ‘พรหมลิขิต' จะเป็นเรื่องแรกซึ่งมีการจดลิขสิทธิ์ที่ครอบคลุมทุกอย่าง

"สมัยก่อนเวลาธุรกิจดีมาก เราไม่มองพวกนี้เลย มันเหมือนเป็นเงินเล็ก แต่ว่าตอนนี้เราเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าเราบริหารทรัพย์สินของเราให้เป็นประโยชน์ เราก็อาจจะบาดเจ็บน้อยกว่าคนอื่น"

"ก็ถือว่าเป็นโบนัส"

ส่วนการจดลิขสิทธิ์จะครอบคลุมไปถึงไหน และจะกระทบกับผู้ชมที่อยากจะแต่งตัวตาม ‘ออเจ้า' ในเรื่องหรือไม่ สุรินทร์ให้รายละเอียดว่า

"ครอบคลุมตั้งแต่ตัวคาแร็กเตอร์ คอสตูม เอาง่ายๆ แค่คุณแต่งตัวให้คนคิดว่านั่นคือ ‘แม่การะเกด' หรือ ‘หมื่นสุนทรเทวา' แค่นี้ผมก็สามารถที่จะเอาเรื่องได้แล้ว เพราะผมไปจดทะเบียนเอาไว้แล้วว่าคาแร็กเตอร์แบบนี้ แต่งตัวลักษณะนี้"

"รวมถึงประโยคในเรื่อง ที่ก็จะมีประโยคเด็ด พวกนี้ก็เป็นเรื่องของลิขสิทธิ์ ซึ่งเราสามารถจดไว้ได้ทั้งหมด"

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลสุรินทร์บอกว่าก็อยู่ที่เจตนา

"คือถ้าบางคนเอาไปทำแล้วมันเล็กๆ น้อยๆ เราก็คงไม่ใส่ใจไปฟ้องหรอก"

แต่ถ้าทำเป็นเรื่องเป็นราว ทำเป็นธุรกิจ นั่นก็อีกเรื่อง

"ซึ่งปกติแล้วบริษัทใหญ่ๆ เขาไม่เสี่ยงหรอก ยังไงเขาก็จะมาติดต่อกับคนที่เป็นเจ้าของสิทธิ์ ไม่มีใครอยากโดนเจ้าของลิขสิทธิ์ฟ้องหรอก ถ้าใช้ในเชิงพาณิชย์ถูกไหม"

"แต่กับคนปกติที่เขาแต่งตัวกัน เราก็คงไปเคลมไม่ได้ มันอยู่ที่เจตนา ทุกอย่างคือจบ ถ้ามาคุยกัน คนทั่วไปแต่งตัวย้อนยุค ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้แบบคิดเล็กคิดน้อย ไม่ขนาดนั้น"

ทั้งนี้นอกจากประเทศไทยที่พรหมลิขิตได้เริ่มออกอากาศแล้ว ยังมีผู้ชมในอีก 10 ประเทศ อาทิ พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา เกาหลี จีน ฯลฯ ที่ได้ดูไปพร้อมๆกัน