Twilight Saga
Midnight Sun ตอนที่ 1 (รักนิรันดร์)
Midnight Sun (รักนิรันดร์)
เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เหมือนกับเล่มแรก(Twilight)
แต่เปลี่ยนคนเล่าเรื่องจาก Bella Swan เป็น Edward Cullen แทน
Chapter 1.First Sight (แรกพบ)
นี่เป็นช่วงเวลาในแต่ละวันที่ผมหวังว่าผมจะสามารถหลับไหลได้ มัธยมปลาย.....หรือจะพูดให้ถูก...สถานที่ที่ไว้ชดเชยความผิด และถ้ามีทางใดที่สามารถชำระบาปที่ผมได้ก่อ นี่ก็ควรนับเป็นหนึ่งในนั้น ความเบื่อหน่ายซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่คุ้นเคย... แต่ละวันผ่านไปโดยยากที่จะแตกต่างไปจากวันวานที่ผ่านมา
ผมคิดว่านี่คงแบบรูปแบบการนอนหลับของผม ถ้าการหลับใหลถูกนิยามจำกัดความว่าเป็นการที่ผมรู้สึกเบื่อหน่ายและเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้
ผมนั่งจ้องรอยร้าวที่วิ่งพาดผ่านบนผนังที่มุมไกลๆของโรงอาหาร กำลังจินตนาการรูปแบบของมันที่ไม่มีอยู่จริง นี่เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ผมสามารถดึงเสียงเจี้ยวจ๊าวเซ็งแซ่ที่ทะลักหลั่งพรูออกมาราวกับแม่น้ำให้ออกไปจากหัวของผม เสียงนับร้อยที่ผมเบื่อหน่ายที่จะรับฟัง
เมื่อพูดถึงจิตใจของมนุษย์... ผมเคยได้ยินมันมาเกือบหมดแล้ว เรื่องเดิมๆที่ผมได้ยินเกือบทุกวัน ทว่าบางครั้งอาจจะมีเรื่องแปลกใหม่ เฉกเช่นวันนี้ ทุกความคิดต่างมุ่งไปที่นักเรียนที่มาใหม่ มันใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยวเดียวที่จะนั่งอ่านใจของทุกคนที่นั่น ผมเห็นใบหน้าของนักเรียนใหม่ซ้ำไปซ้ำมาในทุกมุมมองของแต่ละความคิดของแต่ละคน ก็แค่มนุษย์ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งก็เท่านั้น... แต่ความตื่นเต้นเกี่ยวกับการมาของเธอนั้นเดาได้ไม่ยากนัก ก็เหมือนของเล่นชิ้นใหม่ที่ส่องประกายระยิบระยับที่ดูแสนเย้ายวลในสายตาของเด็กที่ปราถนาของเล่นชิ้นใหม่... เด็กชายเกือบครึ่งกำลังจินตนาการว่าได้ตกหลุมรักกับเธอไปแล้ ก็แค่เพราะเธอเป็นสิ่งแปลกใหม่ให้เชยชมก็เท่านั้น... ผมพยายามมากขึ้นเพื่อดึงเสียงเหล่านั้นออกไปจากหัว
มีเพียงแค่สี่เสียงเท่านั้นที่ผมพยายามจะปิดกั้นเพราะมารยาทมากกว่าความรังเกียจ ...ครอบครัวของผม...น้องชายสองคนและน้องสาวอีกสองคนของผม ซึ่งคุ้นเคยกับการถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวเมื่ออยู่กับผม ผมพยายามให้ความเป็นส่วนตัวกับพวกเขามากที่สุด ผมพยายามปิดกั้นไม่รับฟังให้มากที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยัง...ได้ยินและรับรู้ถึงมันอยู่ดี...
โรซารี่ กำลังคิดถึงตัวเองเฉกเช่นทุกครั้ง เธอจับภาพของตัวเองได้จากภาพสะท้อนจากแว่นตาของบางคน และกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบของตัวเธอเอง จิตใจของโรซารี่ก็เปรียบเสมือนสระน้ำตื้นเขินซึ่งอ่านได้ไม่ยากนัก แม้บางครั้งอาจมีสิ่งที่สามารถทำให้ประหลาดใจได้เป็นครั้งคราว...
เอ็มเม็ตกำลังหัวเสียกับเรื่องที่เขาพ่ายแพ้ให้กับแจสเปอร์ในการแข่งขันงัดข้อเมื่อคืนที่ผ่านมา มันต้องใช้ความอดทนอดกลั้นของเขาทั้งหมดเพื่อให้ถึงเวลาเลิกเรียน และท้าแข่งขันกันอีกครั้ง ผมไม่เคยรู้สึกบุกรุกความคิดของเอ็มเม็ตแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่เคยคิดในสิ่งที่เขาจะไม่พูดโพล่งออกมาหรือจะไม่ลงมือกระทำมัน การที่ผมรู้สึกผิดในการอ่านใจของคนอื่นอาจเป็นเพราะว่าผมรู้ว่ามีบางอย่างที่พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะให้ผมได้รับรู้... ถ้าเปรียบจิตใจของโรซารี่ว่าเป็นดั่งสระที่ตื้นเขิน ก็คงพูดได้ว่าจิตใจของเอ็มเม็ตนั้นก็เปรียบได้กับทะเลสาปไร้เงา ซึ่งใสราวกับแก้ว
และแจสเปอร์...กำลังทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมา
“เอ็ดเวิร์ด” เสียงของอลิซเรียกชื่อผมในหัวของเธอ และทำให้ผมเบนความสนใจไปหาเธอทันที มันก็เหมือนกับการเปล่งเรียกชื่อของผมออกมาดังๆ ผมนึกดีใจที่ชื่อของผมออกจะล้าสมัยไปสักหน่อยสำหรับยุคสมัยนี้ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกรำคาญทุกครั้งถ้ามีความคิดใดนึกถึงชื่อ เอ็ดเวิร์ด ผมก็จะหันไปอย่างอัตโนมัติโดยทันที...
แต่คราวนี้ผมไม่ได้หันหน้าไปทางด้านที่อลิซเรียก อลิซและผมต่างเก่งในการสนทนาแบบส่วนตัวเช่นนี้เป็นอย่างดี มีโอกาสน้อยมากที่จะมีคนจับเราได้ สายตาของผมยังคงจับจ้องไปที่แผ่นเพดานเหมือนเดิม
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?”เธอถามขึ้น ผมขมวดคิ้ว พร้อมกับขยับที่มุมปากเล็กน้อย ซึ่งไม่มีใครสงสัยเนื่องจากผมมักทำแบบนี้บ่อยครั้งยามที่ผมรู้สึกเบื่อหน่ายนั่นเอง
จิตใจของอลิซได้เลื่อนลอยไปแล้ว และผมได้เห็นความคิดในใจของเธอ...เธอกำลังมองแจสเปอร์ในมโนภาพนั่นเอง ว่าจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ เธอค้นหาไว้ล่วงหน้าจากอนาคตอันใกล้ ค่อยๆกรองแต่ละภาพของความเบื่อหน่ายซึ่งเป็นที่มาของการที่ผมขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ผมหันหัวของผมไปทางซ้ายอย่างช้าๆ เหมือนกับว่าผมกำลังเหม่อมองไปยังก้อนอิฐบนกำแพง แล้วถอนหายใจ จากนั้นค่อยๆหันไปทางขวากลับไปยังรอยร้าวบนเพดาน มีแต่อลิซเท่านั้นที่รู้ว่าผมกำลังส่ายหัว... เธอผ่อนคลายขึ้น
“บอกให้ฉันรู้ด้วยนะ ถ้ามันเกิดแย่ขึ้นมาน่ะ” ผมกลอกตาขึ้นไปบนผนังข้างบนและกลอกกลับลงมา
“ขอบคุณนะสำหรับสิ่งที่เธอทำให้” ผมรู้สึกดีที่ไม่ต้องตอบเธอออกมา แล้วจะให้ผมพูดอะไร? “ด้วยความยินดี?” มันแทบจะไม่ใช่แบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ผมไม่ได้เพลิดเพลินกับการที่ต้องมารับฟัง แจสเปอร์ขณะที่เขากำลังดิ้นรนและต่อสู้กับตัวเองเลยสักนิด มันจำเป็นด้วยเหรอที่ต้องมาประสบกับประสบการณ์แบบนี้? มันจะไม่เป็นทางที่ปลอดภัยกว่าหรือ ถ้าแค่ยอมรับว่าเขาอาจจะไม่มีวันรับมือกับความกระหาย เหมือนกับพวกเราที่เหลือที่สามารถรับมือกับมันได้ โดยที่เขาไม่ต้องอดทนกับขีดจำกัดของตัวเอง ทำไมต้องโผเข้าหาหายนะแบบนี้?
มันผ่านมาแล้วสองอาทิตย์หลังจากการออกล่าครั้งล่าสุดของพวกเรา มันไม่ได้ยากเย็นสำหรับพวกเรานัก แต่จะรู้สึกค่อนข้างอึดอัดถ้าพวกมนุษย์เดินเฉียดเข้ามาใกล้กับพวกเรามากเกินไป หรือ ถ้าลมพัดผ่านมาผิดทิศผิดทาง แต่น้อยนักที่พวกมนุษย์จะเดินเฉียดเข้ามาใกล้พวกเรามากเกินไป สัญชาตญาณของพวกเขาคอยพร่ำบอกในจิตใต้สำนึกของพวกเขาอย่างที่พวกเขาไม่มีวันเข้าใจว่า พวกเรานั้นอันตรายมากแค่ไหน...ซึ่งในตอนนี้แจสเปอร์นั้นเป็นอันตรายมากๆ และในตอนนั้นเอง เด็กสาวร่างเล็กหยุดอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆกับโต๊ะของพวกเราเพื่อหยุดพูดคุยกับเพื่อนของเธอ เธอใช้นิ้วของเธอสยายผมสั้นๆสีทรายของเธอ...
ลมจากเครื่องทำความร้อนเป่ากลิ่นของเธอให้ล่องลอยมายังทิศที่พวกผมอยู่ ผมคุ้นเคยกับความรู้สึกแบบนี้เมื่อผมได้กลิ่น ลำคอที่แห้งผาก ความอยากและกระหายในท้องที่กลวงโบ๋ การเกรงของกล้ามเนื้อที่เป็นไปอย่างอัตโนมัติ รวมไปถึงพิษที่ไหลเวียนอยู่ในปากของผม...
ซึ่งง่ายกับการเพิกเฉยโดยปรกติแล้ว แต่ตอนนี้กลับยากขึ้นเมื่อรู้สึกถึงความรู้สึกที่แรงกล้าเป็นสองเท่า เมื่อผมรับรู้ได้ถึงปฏิกริยาของแจสเปอร์ ความรู้สึกกระหายเป็นสองเท่าซึ่งไม่ได้มาจากผมแค่คนเดียว...
แจสเปอร์กำลังปล่อยจินตนาการของเขาให้ล่องลอย เขากำลังวาดภาพ...กำลังวาดภาพว่าเขาลุกขึ้นจากที่นั่งข้างอลิซ แล้วไปยืนอยู่ข้างๆเด็กสาวคนนั้น แล้วค่อยๆก้มตัวลงไปหาเธอ ราวกับว่าเขากำลังกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูของเธอ แล้วค่อยๆปล่อยให้ริมฝีปากของเขาแตะและฝังลงไปที่คอของเธอ เขากำลังจินตนาการว่าชีพจรที่เต้นพลุ่งพล่านและเลือดสดๆที่ไหล่ผ่านอยู่ใต้ผิวหนังที่แสนงดงาม จะรู้สึกดีแค่ไหนเมื่อเขาได้ลิ้มรสสิ่งเหล่านั้นในปากของเขา...ผมเตะเก้าอี้ของเขา และเขาหันมาสบตากับผมเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะก้มหน้าลง ผมสัมผัสได้ถึงความละอายใจและการต่อสู้ขัดขืนในหัวของเขา
“ขอโทษ...”แจสเปอร์พึมพำ ผมจึงยักไหล่ให้
“เธอจะไม่ทำอะไรหรอก”อลิซเอ่ยพึมพำกับเขา ซึ่งช่วยบรรเทาความอับอายและผิดหวังของเขา
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น” ผมพยายามตีสีหน้าปรกติเพื่อไม่ให้คำโกหกของเธอเผยออกมา เราต้องอยู่เคียงข้างกัน อลิซกับผม...มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อเราสามารถได้ยินเสียงต่างๆหรือ เห็นอนาคต ตัวประหลาดทั้งสองที่อยู่ในกลุ่มของคนที่เป็นตัวประหลาดอยู่แล้ว เราต่างฝ่ายต่างคอยปกป้องความลับของกันและกัน
“มันจะง่ายขึ้นบ้าง ถ้าเธอคิดว่าพวกนั้นเป็นคน” อลิซเสนอแนะขึ้น เสียงเล็กสูงซึ่งไพเราะราวกับเสียงดนตรีที่เธอเอ่ยออกมานั้นเร็วเกินกว่าที่หูของมนุษย์จะจับความให้เข้าใจได้ ถ้าเผื่อมีมนุษย์คนไหนอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินเธอพูด
“เธอชื่อ วิธนี่ เธอมีน้องสาวตัวน้อยอีกหนึ่งคน ซึ่งเธอรักมาก แม่ของเธอก็เคยเชิญเอสเม่ไปร่วมงานเลี้ยงด้วย เธอจำได้ไหม?”
“ผมรู้ว่าเธอคือใคร”แจสเปอร์เอ่ยห้วนๆ จากนั้นก็หันหนีมองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็กๆบานหนึ่ง น้ำเสียงของเขาทำให้บทสนทนาจบลง เขาคงต้องออกล่าคืนนี้... มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่จะเสี่ยงกับเรื่องอะไรแบบนี้ พยายามทดสอบกำลังของตัวเอง เพื่อสร้างความอดทนอดกลั้น แจสเปอร์น่าจะยอมรับกับขีดจำกัดของตัวเอง กิจวัตรแต่ก่อนของเขาไม่ช่วยเขาในการมาอยู่ในเส้นทางชีวิตที่พวกผมเลือกเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ควรที่จะผลักไสตัวเองให้มาทางนี้เสียเลย...
อลิซได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับลุกขึ้น ถือถาดอาหารของเธอและอุปกรณ์ต่างๆไปกับเธอ และปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง เธอรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาได้รับกำลังใจจากเธอมากพอแล้ว ถึงแม้ความสัมพันธ์ของโรซารี่และเอ็มเม็ตจะดูชัดเจนกว่ามาก แต่เป็นอลิซและแจสเปอร์ ที่รู้ถึงความรู้สึกและอารมณ์ของแต่ละฝ่ายราวกับว่าเป็นคนตนเอง ราวกับว่าพวกเขาต่างอ่านใจกันออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เอ็ดเวิร์ด คัลเลน”
ปฎิกริยาตอบสนองนั้นเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ผมหันไปยังเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อของผมขึ้น ถึงแม้มันจะเป็นแค่ความคิดไม่ใช่เสียงพูดก็ตาม แล้วตาของผมมาหยุดตรงกับดวงตาคู่หนึ่งที่กำลังเบิกกว้าง นัยน์ตาสีชอคโกแลตที่อยู่บนใบหน้ารูปหัวใจที่มีสีออกจะซีดจาง ผู้รู้จักใบหน้านั้น...ถึงแม้ผมจะไม่เคยเห็นมันมาก่อนก็ตาม จนถึงบัดนี้ ซึ่งมันเป็นหัวข้อของนักเรียนที่นี่ทุกคนในวันนี้ นั่นก็คือนักเรียนใหม่ อิซาเบลล่า สวอนน์ นั่นเอง ลูกสาวของหัวหน้าสารวัตรตำรวจของเมืองนี้ คงถูกพามาที่นี่ด้วยเหตุผลเรื่องสิทธิการเลี้ยงดูหรืออะไรสักอย่าง “เบลล่า” เธอจะแก้ไขชื่อของเธอทุกครั้ง เมื่อมีใครเรียกเธอด้วยชื่อ เต็ม ของเธอเอง...ผมเบือนหน้าหนี เบื่อหน่าย และมันใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีที่ผมได้รู้ว่า เธอไม่ใช่คนที่นึกถึงชื่อของผม...
“แน่นอน เธอต้องแอบปิ๊งพวกคัลเลนแล้วแน่ๆ” ผมได้ยินเจ้าของความคิดแรก อีกครั้ง ตอนนี้ผมจำ “เสียง”นี้ได้แล้ว...เจสสิก้า สแตนลี่ย์นั่นเอง...เธอไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับผมโดยการพูดพล่ามอยู่ในใจของเธอเป็นเวลาพักใหญ่แล้ว และผมก็แสนที่จะรู้สึกโล่งอกเมื่อเธอหยุดเรื่องความหลงใหลและลุ่มหลงของเธอ ซึ่งเมื่อก่อนมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะหนีไปจากความเพ้อฝันที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในหัวของเธอ บางครั้งผมก็ปรารถนา ว่า ผมสามารถอธิบายให้เธอรู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้าริมฝีปากและฟันที่อยู่เบื้องหลังของผมนั้นได้ไปอยู่ใกล้ๆกับเธอ มันคงจะช่วยทำให้ความฝันเฟื่องที่แสนจะน่ารำคาญนั้นเงียบลงได้ ปฎิกริยากับความคิดของเธอแทบจะทำให้ผมยิ้มออกมา....
https://www.facebook.com/teeneedotcom