เป็นยังไงบ้างหลังจากเหตุการณ์ร้ายๆ ผ่านไปแล้ว?
โฟร์ : ก็พยายามไม่คิดค่ะ อย่างน้อยก็ได้กำลังใจมาจากคนในครอบครัวก่อน สองก็คือพี่ๆ ที่บริษัท สามคือ แฟนคลับ ประชาชนทุกคน คือเวลาโฟร์ออกไปข้างนอก ทุกคนก็จะเดินเข้ามาบอกว่าเป็นกำลังใจให้นะ ก็ทำให้เรารู้ว่ามีคนรักเราเยอะ เหมือนเราไม่เคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน และไม่เคยคิดด้วยว่าจะเกิดกับตัวเอง มันเลยรู้สึกแย่ตรงที่ว่าเราก็ว่าเราทำตัวดีนะ ทำไมต้องมาเกิดขึ้นกับเรา
มด : ก็ได้กำลังใจจากทุกคนเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ หรือว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่ คนใกล้ชิด แฟนคลับ พี่ๆ นักข่าว พี่ๆ ทีมงานที่อาร์เอส ก็ต้องขอขอบคุณด้วยแล้วกันที่เป็นกำลังใจให้ มันก็เป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึงด้วยว่ามันจะเกิดขึ้น
พอมาถึงเรื่องงานก็ยังไม่วายมีคนเอากระแสเรื่องคลิปมาโยงหาว่าโปรโมต?
โฟร์ : รู้สึกแย่มาก คิดได้ยังไงว่าจะเป็นการโปรโมตอัลบั้ม เรื่องแบบนี้มันไม่น่าคิดกันได้ เราเจอเหตุการณ์ร้ายขนาดนี้ ยังจะมาให้ร้ายอีก คนที่ไม่ชอบเราก็มี แต่คนที่ชอบเราก็ยังมี เราก็คิดว่ามีคนที่ชอบเราเยอะกว่าคนที่ไม่ชอบ
มด : เสียใจมาก การทำงานนี้เราตั้งใจมาก เราไม่ใช่ใครที่ไหนที่จะมารู้เรื่องของอนาคตได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น อย่างงานอัลบั้มนี้เราเตรียมงานกันมานานมากแล้ว พอมาเกิดเรื่องแบบนี้แล้วยังโดนหาว่าสร้างกระแสเพื่อที่จะให้อัลบั้มดัง มดคิดว่าทางอาร์เอสเขาน่าจะมีวิธีการโปรโมตที่ดีกว่านี้ ถ้าทำอย่างนี้มันเหมือนกับฆ่าตัวเองมากกว่า
งานเพลงชุดนี้มีอะไรที่มันแตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มาบ้าง
โฟร์ : คงจะเป็นเรื่องกลิ่นของดนตรีที่จะมีทั้ง ซัลซ่า เร็กเก้ อคูสติก ร็อก ก็มี แต่ก็ยังเป็นฉบับ โฟร์-มด คงไม่ได้ร็อกจ๋า แต่ก็อยากทำอะไรที่ในอัลบั้มก่อนๆ เราไม่มีโอกาสได้ทำ คืออัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มพิเศษ เป็นสิ่งที่เราอยากทำเฉยๆ การร้องก็ไม่ยาก เพราะเราอยากร้องเอง เราก็ต้องชอบและก็ต้องฟังเพลงอะไรแบบนี้เยอะอยู่แล้ว พอมาร้องก็สนุกมากกว่า เพราะว่าอยากทำ เป็นการนำเพลงเก่าในสมัยก่อนของอาร์เอสที่ดังมากมาคัฟเวอร์ใหม่
เวลามีปัญหากันให้กำลังใจซึ่งกันและกันยังไงบ้าง?
โฟร์ : โฟร์คิดว่าเราไม่ต้องพูดอะไร เพราะว่ามันเหมือนกับเราอยู่กันทุกวัน ถ้าเกิดไปพูด มันก็จะเหมือนว่า พูดทำไมก็อยู่ด้วยกันทุกวัน เอาเป็นว่าเรื่องที่มันไม่ดี เราไม่พูดกันดีกว่า จะเป็นกำลังใจมากกว่าที่จะมาพูด เพราะว่ายิ่งพูดมันก็ยิ่งคิด ถ้าเกิดเราไม่พูดเลย เปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่นเลย มันก็ไม่ต้องคิดเลย
มด : อีกอย่างหนึ่งคือเราสองคนเป็นคนที่ค่อนข้างคิดมากอยู่แล้ว เวลาที่คุยอะไรกันเรื่องเครียดๆ นี่จะไม่ชอบเลย จะเล่นเป็นตลกมากกว่า คือต่างฝ่ายก็ต่างรู้ว่าคุยเรื่องเครียดไปก็เครียดเปล่าๆ คุยทำไม
จุดมุ่งหมายในชีวิตของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง?
โฟร์ : ก็คิดว่าถ้าหมดสัญญากับอาร์เอสไปแล้ว ก็คงอยากจะเล่นละคร ที่คิดไว้ตอนนี้นะ แต่ไม่รู้ว่าอีก 2-3 ปีจะเป็นยังไง อย่างโฟร์ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ตัวเต็มที่แบบนี้ได้อีกกี่ชุด โฟร์ว่าก็อีกไม่เกิน 2-3 ชุด โฟร์ก็จะอายุ 25 แล้ว ถ้าเกิดถึงตอนนั้นก็คงแอ๊บไม่ไหวแล้ว ทุกวันนี้ก็เริ่มเหนื่อยแล้ว ก็น่าจะไปแบบทางพวกละคร พวกหนังดีกว่า
มด : มดก็รู้ว่าวงการบันเทิง มันแค่ช่วงระยะหนึ่งของชีวิต ถ้าเกิดโตขึ้นไปมดก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามดจะทำอะไร แต่ใจจริงของมดนั้นก็คือ มดอยากจะเรียนต่อให้จบปริญญาโท เป้าหมายตอนนี้ก็คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็สอบเรื่อยๆ เอาผลคะแนนที่ดีที่สุด ที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยก็กำหนดวันมาแล้วว่าต้องยื่นผลเข้าวันไหน
คาดหวังกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน?
มด : มันก็ต้องคาดหวัง เพราะมันเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จากเด็กมัธยมจะเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย มันเป็นช่วงสำคัญของชีวิต มันต้องโฟกัสกับตรงนี้มาก ๆ แล้วก็ทำให้ดีที่สุดด้วย
เหนื่อยไหมกับชีวิตช่วงนี้?
มด : เหนื่อยนะ มดคิดว่าคนที่เอาจริงเอาจังกับการเรียนมากกว่านี้ คงจะเหนื่อยมากกว่านี้เยอะ เพราะว่ามันต้องอ่านหนังสือทุกวิชา เตรียมสอบโอเน็ต เอเน็ต แล้วมันไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียว มันต้องเผื่อเลือกไว้ด้วย มันเลยค่อนข้างที่จะเหนื่อย
เข้ามาในวงการได้อะไรบ้าง?
โฟร์ : ของโฟร์นี่ 5 ปีกว่าๆ ตั้งแต่เริ่มถ่ายโฆษณาเลย ก็ให้อะไรเยอะมาก อย่างแรกคือ ให้เงิน แล้วก็ได้เจออะไรใหม่ๆ เจอสังคมใหม่ๆ ที่มันกว้างขึ้นกว่าในรั้วโรงเรียน ทำให้เรารู้ว่าโลกภายนอกมันไม่ได้สวยงามเหมือนอยู่ในโรงเรียน ที่มีแต่เพื่อนรักเรา มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี มีทั้งคนทำร้ายและคนที่รักเรา มันทำให้เรารู้สึกว่าเราควรระวังตัวมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมากขึ้น เวลาเราไปทำงานที่นี่ คนนี้เป็นอย่างไร คิดอะไรกับเรา ก็ดูออก
มด : วงการนี้สอนอะไรให้เยอะเลย ทั้งเรื่องของการรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา สอนให้เป็นผู้ใหญ่ คิดแบบผู้ใหญ่ การทำงานในวงการนี้ มดต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เพราะฉะนั้นมดต้องรับผิดชอบทั้งสองด้านให้ดี การเรียนหนังสือก็เป็นหน้าที่หลัก การทำงานเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด
ปรับตัวยากไหม?
โฟร์ : ไม่ยากนะ มีช่วงแรกๆ ที่แบบอึดอัด ที่ไปไหนก็จะมีคนวิ่งเข้ามาถ่ายรูป ขอเบอร์ ขอลายเซ็น มันก็อึดอัดนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้มันเริ่มปรับตัวได้ว่า เวลามีคนขอเบอร์จะต้องพูดยังไง มีคนมาถ่ายรูปแต่เราต้องรีบไปทำธุระ เราต้องพูดว่ายังไง เริ่มรู้ว่าเราต้องพูดเพราะไว้ก่อน ถึงแม้ว่าเราจะรีบยังไง
เคยมีประสบการณ์ฟิวส์ขาดไหม?
โฟร์ : มี เพิ่งไม่นานมานี้ไปหาดใหญ่ ก็ไปสระผมที่ร้านก่อนเล่นคอนเสิร์ต แล้วก็มีคนมาขอถ่ายรูป เราก็แบบขอสระผมทำธุระตัวเองให้เสร็จก่อนได้ไหม ก็มีคนพูดว่าเป็นคนของประชาชนนะ โฟร์เงี้ยพุ่งเลยอ่ะ โอเคใช่ เป็นคนของประชาชน แต่ก็ต้องมีเวลาส่วนตัวบ้าง นี่เราสภาพเยินมาก ก็เลยบอกว่าขอทำผมเสร็จก่อนแล้วค่อยออกมาถ่าย เขาก็จะไม่ยอม คือถ้าเกิดอีกนิดหนึ่งโฟร์คงฟิวส์ขาดกว่านี้ เราไม่ต้องมีเวลาส่วน ตัวหรือไง ก็รู้สึกแย่ เราโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้
มด : มดก็เคยมีเหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็มีคนมาหน้าบ้าน ถึงขั้นพาคุณพ่อมาเลย บอกว่าจะมาทำความรู้จัก คือมดอยากจะบอกว่าถ้าเป็นแฟนคลับ ก็ไปรอที่งานก็ได้ แต่นี่ถึงขั้นมาที่บ้านตอนกลางคืน ก็เลยรู้สึกว่าเราก็อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เวลากลางคืนมันเป็นยามวิกาลคงไม่ดีมั้งที่จะมา เพราะเราเป็นผู้หญิง
มีวิธีระงับอารมณ์กันยังไงบ้าง?
โฟร์ : ถ้าเกิดโฟร์พูดอะไรไป คนคงเกลียดกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็พยายามคิดว่า เออ ช่างมันเหอะ พยายามไม่คิดมาก คนเราต่างครอบครัว การพูดการจาก็ไม่เหมือนกัน คนที่เขาพูดเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไร เขาก็คิดแค่ว่าก็แค่รูปเดียวไม่เป็นไรหรอก ก็ไม่เป็นไร ช่างมันเหอะ พูดไปก็เท่านั้น เราทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
มีคติในการทำงานยังไงบ้าง?
โฟร์ : ก็คือต้องทำให้เต็มที่ทุกงาน คือถ้าใจไม่อยากทำแล้วไม่เต็มที่กับการแสดง คนก็จะรู้เลยว่าไม่อยากทำไม่อยากมา ก็จะส่งผลกระทบต่ออะไรหลายๆ อย่าง คือทำอะไรเราก็ต้องตั้งใจทำ
มด : ของมดคงเป็นทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตหรืออดีตไม่ ต้องสนใจมัน ถ้าเกิดเราทำอันนี้ได้ดีอนาคตมันก็จะดี มันก็จะเป็นผลต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ก็ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด
https://www.facebook.com/teeneedotcom