จา พนม โผล่ แถลงข่าว
"จา พนม" ร่ำไห้กลางรายการ ชี้แจงเรื่องหายตัว พร้อมโต้ข่าวใช้เงินกองถ่าย ยันได้รับแค่ 117 ล้าน เท่านั้น ไม่ใช่ 200 กว่าล้าน ตามที่ "เสี่ยเจียง" แถลง บอกที่หายตัวเพราะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหนัง เผยที่ผ่านมาทำหนังเอาศิลปะนำหน้า จึงเห็นแย้งกับบริษัทที่มุ่งธุรกิจ เตรียมเข้าพบเคลียร์ปัญหากับเสี่ยเจียงเร็วๆ นี้ ก่อนลั่นไม่เคยดังลืมตัว พร้อมโต้ข่าวคลั่งไสยศาสตร์จนเพี้ยน ย้ำยังไม่คิดบวชหายตัวไปนานจนฝ่ายสหมงคล ออกมาชี้แจงไปเรียบร้อยแล้ว พระเอกนักบู๊ "จา พนม ยีรัมย์" ก็ออกจากป่า มาเคลียร์ตัวเองแล้ว ในการอัดรายการ ไนท์เอ็นเตอร์เทน ของโมเดิร์นไนน์ทีวี ที่จะออกอากาศในวันพรุ่งนี้ เวลา 11.00 น.โดยเนื้อหาในรายการเจ้าตัวยอมรับรู้สึกช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่หายเงียบไป เพราะใช้เวลาตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันไม่เคยทิ้งกองถ่ายนานกว่า 2 เดือน
"ที่ผมมาวันนี้ ที่มาแถลงอยากพูดความรู้สึกข้างใน ผมก็เกิดอาการช็อกเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสังคม ปัญหาที่มันเกิดขึ้น ความรู้สึกของผมมันช็อกและก็อึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้หายไปไหน ผมทำสมาธิกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ แล้วตกใจว่ามันเกิดขึ้นกับชีวิตเรา แล้วนั่งทบทวนใช้สติ วันนี้ได้มีโอกาสมาพูด และได้แถลงการณ์ในวันนี้
"เรื่องทิ้งกองถ่ายไม่จริง ไม่ใช่ เราถ่ายเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ผมก็ยังคุยกับอาหนิง (นิรุตติ์) อยู่เลย ก็ยังคุยกันอยู่เหมือนเดิม ที่ปัญหามันเกิดขึ้นตรงนี้ ผมก็ช็อก ผมไม่เคยเจอกับสภาวะเช่นนี้ ถามว่าทำไมถึงไม่ติดต่อเสี่ย เป็นปัญหาที่ช็อกไปหมด ผมก็คุยกับทุกคนไม่ใช่เฉพาะตั๊ก อาหนิง คุยกับเพื่อน หาช่องทางไม่ทำให้เกิดปัญหาตรงนี้ ช็อกกับสถานการณ์ไม่รู้จะทำยังไง ตอนนี้ช็อกเป็นระยะๆ ถ้าแรงๆ ก็ช็อกครับ"
บอกที่ไม่สามารถติดต่อตนได้ เพราะมุ่งเรื่องงานศิลปะ ไม่ใช่ตัวเงิน ก่อนรอจังหวะเข้าคุยกับ "เสี่ยเจียง ถึงเรื่องงบประมาณที่เข้าใจไม่ตรงกัน แต่ยืนยันได้เงินแค่ 117 ล้าน
"สิ่งที่ออกมา เรื่องนี้ได้คุยกับสหมงคล ว่างบคุณหมดแล้วนะ ผมก็งงว่างบหมดแล้ว เราจะไปเอาที่ไหน ผมก็อึ้งไปพักหนึ่ง ไม่รู้จะปรึกษาใคร เลยต้องใช้สมาธิก่อน ผมทำงานศิลปะและทำงานด้วยจิตวิญญาณและถ่ายทอดออกมา คือ งานหนัง ผมไม่ได้มองถึงตัวเลข เงิน มันมาอย่างไร เพราะทางสหมงคลเป็นคนจัดการ ในฐานะของผมที่ทำงานศิลปะ เราทำงานหนัง เรามีความคิดตรงนั้น เรามีสมาธิตรงนั้น ในส่วนเรื่องของสหมงคลจัดการเรื่องงบ เวลาเขาโอนเงินมา ก็คือ เข้าบัญชีผม แล้วผมก็เซ็นเช็คออกไป ใจเรามุ่งไปที่การสร้างหนัง ซึ่งเป็นหัวใจของการเป็นศิลปะของหนัง
"ก็รอสรุปจากสหมงคล ว่า เราใช้จ่ายอย่างไร เพราะว่ายังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ รอจังหวะที่เราจะไปเคลียร์กัน อาจเกิดความเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ในช่วงแรกอยู่ในการควบคุมของบริษัทไอยรา ซึ่งเป็นบริษัทลูกของสหฯ เข้ามาดูแลเรื่องงบ กลัวว่า จะเป็นปัญหา ทางสหมงคลฟิล์มจึงเรียกมาดูเรื่องงบให้หน่อย เพื่อผมจะได้มีสมาธิในการสร้างสรรค์ผลงาน เท่าที่ได้ศึกษาดู ที่ใช้เป็นหลักฐาน เอามาแต่ให้ดูไม่ได้ 117 ล้านครับ แต่ว่าข้อเท็จจริงเราต้องไปเคลียร์กันอีกทีว่าเป็นมาอย่างไร
"ตัวเลขที่ไม่ตรงกันนั่นแหละครับเลยต้องไปเคลียร์กันอีกทีหนึ่ง อาจเกิดความเข้าใจผิด ผมมีหลักฐานแน่นอนครับ มีหลักฐาน แต่ล่าสุดโอนให้เท่าไหร่ผมจำไม่ได้ ขอคิดดูอีกทีหนึ่ง แต่เรามีหลักฐานชี้แจงให้สหฯ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน
ยืนยันมีการนำเงินส่วนตัวจ่ายไปกับการถ่ายหนัง "องค์บาก 2" แน่นอน ในฉากที่ต้องใช้งบประมาณเยอะ ตนต้องสำรองจ่ายไปก่อน ส่วนที่เสี่ยงเจียงแจงว่าตนใช้เงินไปถึง 200 กว่าล้านนั้น ยืนยันตนมีหลัฏฐานการใช้เงินชัดเจน
"เราก็ช็อกเหมือนกันที่การเงินมันสะดุด ค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ช่วยเหลือเพื่อน ก็ออกไป อย่างมีเรื่องฉาก ที่มันใหญ่เกินไปเราก็ตัด มันก็มีผลกระทบกระเทือนในเรื่องของตัวเลข ที่เรานำเสนอไปแอ็ดวานซ์ไป ตอนนี้ยังไม่ทราบชัดเจน ผมต้องขอเคลียร์กับทางสหฯก่อน มันมีปัญหาตัวเลขที่จ่ายไป เท่าไหร่เราก็ยังไม่รู้
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเสี่ยถึงบอกว่าใช้ไป 200 กว่าล้าน เราก็ทำหน้าที่ของเรา ดูแลในงานภาพยนตร์ เราเซ็นเช็คเราก็เซ็น ผมต้องการให้หนังออกมาตามที่เราต้องการ
"ผมไม่เคยเจอปัญหาแบบนี้ อีกอย่าง คือ ช็อกซินีม่า ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาหาผมหมด เรารับไม่ทัน เราก็ตั้งหลัก มีเรื่องของเอกสารมาหาผม ก็ว่าเอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น ตั้งตัวไม่ทัน ก็ต้องตั้งสมาธิครับ
ด้านทนาย "จารุพล เรืองเกตุ" แจงเรื่องตัวเลขที่ไม่ตรงกัน เพราะทางสหมงคลโอนเงินหลายยอดในเดือนเดียว แต่รวมแล้วแค่ 117 ล้าน
"การโอนทั้งหมดตั้งแต่เดือนเมษาตั้งแต่ในบัญชี 117 ล้าน 4 แสนเศษๆ ที่ผ่านมาในบัญชี (โชว์หลักฐาน) มันก็เลยค้านกับตัวเลขของเสี่ย บางเดือนโอนถึง 20 ครั้ง 3 แสนบ้าง 5 แสนบ้าง บางวันก็ครั้งเดียวหนึ่งล้าน รวมๆ แล้วก็ 117 ล้านเศษๆ ดังนั้น ตามข่าวที่ทางสหฯได้ออกมาแถลง ได้ใช้เงินไป 200 กว่าล้าน มีค่าฟิล์มค่าไฟค่าอะไรต่างๆ ยังไม่ได้รวม ต้องกลับไปเคลียร์กับทางสหมงคลฟิล์ม มันมีค่าเช่า และจ่ายแบบเครดิต แต่ที่ต้องมีทนายเพราะว่ามันมีเรื่องเป็นเอกสารเรื่องข้อที่ไม่ทำตามข้อตกลง
จากนั้นทนายความได้โชว์หลักฐานโดยข้อความระบุไว้ว่า
ท่านละเลยที่ไม่นำพากำกับภาพยนตร์ดังกล่าวให้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามกำหนด เป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายเนื่องจากไม่สามารถนำภาพยนตร์ดังกล่าวเข้าฉายได้ตามกำหนด และได้รับการยกเลิกการสั่งซื้อจากลูกค้าจากต่างประเทศ ที่สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่าเสียหายเบื้องต้นเท่าที่ประเมินได้เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท ให้ท่านดำเนินการตามความตกลงไว้กับบริษัทภายในกำหนด 3 วัน นับตั้งแต่ได้รับหนังสือฉบับันี้หากท่านมีเหตุขัดข้องประการใดโปรดแจ้งให้ทราบ.....
แจงเมื่อไดัรับเอกสารตนไม่มีความรู้ดีพอ จึงหาทางออกด้วยการปรึกษาทนายแทนที่จะเดินเข้าไปเคลียร์กับเสี่ยเจียงโดยตรง บ่ายเบี่ยงไม่ตอบว่าจะฉีกสัญญากับทางต้นสังกัดหรือไม่
"อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจเลยต้องปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ ตอนนั้นเราตกในสภาวะที่ทุกอย่างรุมล้อมทั้งหมด เราก็หาวิธีทางจะทำยังไงหาบทสรุปที่ลงเอยด้วย ผมเจรจาก็ไม่เข้าใจยิ่งในทางกฎหมายผมก็ไม่เข้าใจผมเลยหันไปปรึกษาทนายว่าจะหาวิธีทางไหนทำให้ผมได้กลับมาทำหนัง นั่นหัวใจผมคืออยากมาทำหนัง ถามว่าคือเหตุผลที่จะฉีกสัญญาด้วยไหม ผมมาปรึกษาว่าจะมีช่องทางไหนที่จะลงเอยด้วยดี"
ทนาย "สัญญามีสองสัญญา ปี 2546 สัญญาว่าจ้างนักแสดง จ่ายเงินเดือนเดือนละ 50,000 บาท สองคือสัญญาเรื่อง องค์บาก2 เรื่องการกำกับ ข่าวที่มีมาว่าจาฉีกสัญญากับสหฯ คือจ้างเป็นนักแสดง เนื่องจากมีเหตุผลบางประการว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญา ตอนนี้เรากำลังทบทวนอยู่ว่าเราจะกลับเข้าไปคุยใหม่ คือทางสหฯ ไม่ปฏิบัติกับเราตามสัญญา"
ยันเปล่าดังแล้วลืมตัว พร้อมเอ่ยขอโทษเสี่ยเจียงหากตนซึมซับจิตวิญญาณในการทำหนังมากเกินหวังถ่ายทอดเป็นงานศิลปะชิ้นเอกมากกว่าที่จะคิดเรื่องของธุรกิจ
"ชีวิตผมเกิดมาจากดินรากฐานมาไม่มีอะไรอยู่แล้วไม่เคยคิดว่าอยู่สูงเพราะเท้าผมติดดินและใช้ชีวิตแบบสมถะ ไม่มีทางอกตัญญูครับ บุญคุณมีมาตั้งแต่แผ่นดินเกิด พ่อแม่ คนที่เลี้ยงเรามา คนที่ให้วิชาให้โอกาสผมไม่มีวันลืมอยู่แล้ว"
"องค์บาก 2 เสี่ยและ อ.พันนา ให้โอกาสผมและเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ถ่ายทอดความสามารถที่สั่งสมมา 18 ปี จนตอนนี้ผมอายุ 32 ปี ผมทุ่มเททั้งแรงกายและสติปัญญาและจิตวิญญาณทั้งหมดจนตอนนี้ 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว ผมเป็นคนที่รักหนังและรักศิลปะและถ่ายทอดจิตวิญญาณที่แท้จริง ถ้าผมไม่ทำอีก 20 เปอร์เซ็นต์แสดงว่าผมทำลายจิตวิญญาณของผมเอง เสี่ยเจียง อ.พันนา และพี่ปรัช มีบุญคุณกับผม ผมไม่อาจลืมได้"
"แต่ว่าแนวทาง วิถีของผมในการถ่ายทอดศิลปะภาพยนตร์มองศิลปะ จิตวิญญาณไม่ใช่ธุรกิจผมเลยทุ่มตรงนี้เต็มที่เลยเกิดปัญหาเข้าใจผิดบางอย่าง ถ้ามันผิดพลาดไปผมต้องขอโทษ ผมทำหนังผมต้องการให้หนังออกมามีคุณภาพที่สุด ผมเอาชีวิตเข้าแลกได้เพื่อประเทศชาติเพื่อหนังไทย"
"อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งเขามีกรอบของเขา ผมมีกรอบของผมที่ไม่ใช่ธุรกิจเพราะผมเจอปัญหาตรงนี้รู้สึกว่าผมจะทำงานศิลปะตรงนี้ออกมาได้ยังไง ถ้ามองแต่ธุรกิจ ผลกำไร"
ต่อข้อถามว่าหากเสี่ยเจียงมอบหน้าที่ให้ "พันนา" หรือ "ปรัชญา" กำกับงานที่เหลือต่อจะว่าอย่างไร ผู้กำกับนักบู๊น้ำตาไหลพรากย้ำอยากกำกับเองให้เสร็จสมบูรณ์และจะหาเวลาเข้าพบเสี่ยเจียงเร็วๆ นี้ เผยส่วนหนึ่งที่ล่องหนหายไปเนื่องจากไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาแห่งความทุกข์และเพื่อศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง
"ทุกคนรู้ดีว่าผมพูดออกสื่อไปแล้วว่า (น้ำตาเริ่มไหล) ผมต้องการทำหนังเรื่องนี้ให้จบ (สะอื้น) ผมมีความฝันอยู่ว่าเหมือนนักกีฬาไปแข่งขันโอลิมปิก เอาพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวขึ้นชู เมื่อวันนี้ผมมีโอกาสผมก็อยากจะทำอย่างนั้น อีก 20 เปอร์เซ็นต์มันคือฉากที่สูงสุด ฉากที่เป็นบทเรียนให้กับผม ผมยอมสละชีวิตได้เพื่อคนไทย ผมเคยเสี่ยงชีวิต (เช็ดน้ำตา) ขอโทษครับ (นิ่งสักครู่) ผมไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นแบบนี้ ผมมีความเป็นคนไทยคนหนึ่งผมเป็นผู้น้อยยังไงผมก็ต้องเคารพผู้ใหญ่อยู่แล้ว วันนี้อาจจะเข้าใจผิดเมื่อถึงเวลาผมจะเข้าไปคุย หาแนวทางตกลงทำหนังเพื่อประเทศชาติ"
"ผมเสียใจแน่นอนครับผมไม่เท่าไรครับแต่ครอบครัวผม (ร้องไห้) เขาไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจ ชื่อผมยิ่งใหญ่แต่มันไม่สมดุล ภาพลักษณ์แป็นเหมือนดาบสองคมมาแทงผม ตอนนี้สภาวะของทุกคนในครอบครัวบอบช้ำย่ำแย่"
"ผมแอบร้องไห้คนเดียวเพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตา ถ้าเขาเห็นน้ำตาเขาจะเห็นความทุกข์ของเราผมเลยเก็บตรงนั้นดีกว่านั่นแหละสิ่งที่ผมหายไป (สะอื้น) และผมอยากทำหนังเรื่องนี้ให้คนไทย หนังเรื่องนี้มันคือจิตวิญญาณของผม หนังเรื่องนี้ผมถ่ายทอดวัฒนธรรมไทยและเผยแพร่การท่องเที่ยวของไทย เอาศิลปะโขนมาประยุกต์กับศิลปะการต่อสู้นี่คือศาสตร์ใหม่ ผมต้องไปหาข้อมูลเพื่อเก็บรายละเอียด แม้กระทั่งเรื่องของสมาธิเพราะหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับสมาธิ ก็มีข่าวออกมาว่าผมไปในเชิงของไสยศาสตร์ ตรงนี้ผมเป็นผู้กำกับผมต้องลงไปในพื้นที่ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไรเพื่อนำมาทำหนัง ออกไปดูพื้นที่ทุกอย่าง"
"ใช้เวลาในการถ่ายทำนาน คือเป็นศิลปะเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ถ้ามองในเชิงธุรกิจผมเสร็จปุ๊บออกฉายขายในชื่อผมเป็นผู้กำกับแต่ในกรอบของผมเป็นศิลปะผมทำมาจากจิตวิญญาณ ผมไม่อยากขายจิตวิญญาณผมให้คนดูดูว่านี่เหรอเมืองไทย"
ปฏิเสธคำถามที่ว่าพระเอกนักบู๊ใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วยจนเพี้ยน
"ไม่เป็นความจริงครับตัวผมจะรู้ดีว่าผมทำอะไร ไม่มีใครรู้เท่าตัวผมอาจเป็นเพราะว่าตำแหน่งและหน้าที่ผมเปลี่ยนไป ผมเป็นผู้กำกับผมก็ต้องเข้าไปคลุกคลีอยู่ตรงนั้น ต้องการข้อมูลที่แท้จริง เรื่องฝึกฝนผมฝึกฝนเอาเป็นเอาตายครับ ชีวิตผมก็ต้องเร่ร่อนแต่เร่ร่อนอย่างมีจุดหมายไปหาครูภาคใต้ อีสาน ค้นคว้าข้อมูล ที่หายไปผมก็อยู่ใกล้ๆ กองถ่ายอยู่ที่เขาใหญ่ มีสำนักสงฆ์ไปเรื่อยๆ บางทีก็อยู่รีสอร์ทบ้าง ไปหลายจังหวัด"
เกี่ยวกับกรณีที่มีคนบอกว่า "จา" พิถีพิถันมากไป บางวันถ่ายทำได้แค่ฉากเดียวทำให้งบบานปลาย ยอมรับว่าทำงานละเอียดมากแต่งบบานปลายหรือไม่ต้องรอเคลีย์ชัดๆ อีกครั้ง ส่วนสาเหตุที่เปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำจากระยองมาเป็นที่เขาใหญ่เนื่องจากติดปัญหาเรื่องงบและฉาก
"เรื่องของงบผมอาจจะรู้เป็นบางส่วนแต่ไม่รู้ทุกอย่าง ตรงนี้อาจเป็นการเข้าใจผิด เพราะความพิถีพิถันนั่นคือกรอบของผมอยากทำงานอิสระและได้คุณภาพออกมา ที่จริงแล้วจะบอกบานปลายก็ไม่ถูกเพราะยังไม่ชี้แจง ต้องมาเคลียร์กันอีกทีหนึ่ง ยังไม่ด่วนสรุปว่าใช้งบเยอะผมทำรู้ว่าลิมิตของผมเป็นยังไง"
"สั่งยกเลิกกองคงไม่ใช่วิถีของผมนะครับ อีกอย่างนึงปัญหาเรื่องของงบและเรื่องของฉากในการทำซึ่งยังไม่เสร็จ ตารางเวลาที่ทำไว้เลยต้องเลื่อน ผมก็ว่าไม่เป็นไรผมก็ทำในส่วนที่เป็นศิลปะหนังเรื่องเงินให้เขาดูแลเซ็นแล้วออกไป ไม่ใช่หนีกองถ่ายไม่ได้เป็นไปตามที่เราตั้งใจ"
สำหรับปัญหาเรื่องหนี้สินทางบ้านบอกเป็นเรื่องปกติเพราะได้รับเงินเดือนล่าช้าทำให้จ่ายค่าใช้จ่ายในบ้านไม่ตรงเวลา
"ปัญหาหนี้สินครอบครัวก็ต้องมีอยู่แล้วพอเกิดปัญหาเงินเดือนไม่ตรง คือเงินเข้าแต่ผมไม่ค่อยตรวจเช็คบัญชีเวลาที่โอนไม่ตรงตามกำหนด แล้วเราต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟในตอนนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เงินที่ผมส่งที่บ้านผมไม่ค่อยยุ่งเรื่องเงินตรงนี้ ตอนนั้นผมสมาธิอยู่ที่ทำหนัง เรื่องเงินทุนน้องสาวให้ทุนผมมาทำหนัง (องค์บากภาคแรก) นี่ละครับคือสิ่งที่ผมต้องให้เขาคืน ค่อยทยอยให้และให้เขาดูแล เรื่องของการเงินให้ที่บ้านดูแล"
นักแสดงหนุ่มถึงกับทำหน้าเสียและอึ้งไปสักพักใหญ่เมื่อถามต่อว่ามีข่าวขอเงินกินเปล่าเสี่ยเจียงถึง 50 ล้าน...." ผมได้เงินเดือนเดือนละ50,000 บาท โห..ถ้าผมได้อย่างนั้นก็ดีสิครับ"
ลั่นยังไม่คิดเรื่องบวช...."ตอนนี้ผมยังไม่อยากคิดอะไร คิดอย่างเดียวจะทำหนังเรื่องนี้ให้จบและที่เหลือไม่อยากคิดอะไร จะทำให้เราปวดหัว ตอนนี้ผมก็เตรียมตัวได้ฝึกฝนท่าทางการต่อสู้เก็บเกี่ยวมาแล้ว เหลือการเจรจาคุยกับเสี่ยหาข้อเจรจาตกลงคุยทำหนัง ถามว่ามีเงื่อนไขของเราไหม ไม่ขอพูดดีกว่าครับ ผมต้องสรุปกับเสี่ยก่อนยังไม่สมควรพูดตรงนี้ครับ ถามว่าเข็ดทำหนังไหม ตอนนี้ไม่คิดอะไร คิดทำหนังองค์บากอย่างเดียว เอาชีวิตให้รอดตรงนี้ครับและทำหนังอย่างมุ่งมั่นและมีสมาธิเต็มที่"
บ่นน้อยใจที่ตนอยู่โดดเดี่ยวแต่อีกฝ่ายกลับรวมตัวแถลงข่าว
"น้อยใจครับ เราไม่สามารถคุยกับใครได้ ณ สถานการณ์นั้น เหมือนอยู่ตัวคนเดียวผมใช้วิธีอยู่กับสมาธิ ขึ้นเขาไปเงียบๆ แล้วหาวิธีการที่จะทำยังไงออกมาแถลงให้สื่อมวลชนรับทราบสิ่งที่ผมคิดไตร่ตรองนั้นผมคิดใช้สติปัญญามาแก้ไม่ใช่หนี ผมเป็นคนที่รับผิดชอบครับ"
"ในตอนนี้เราต้องมานั่งคุยกันและหาพื้นที่ตกลงและไปด้วยดีทั้งสองฝ่าย ผมขอบคุณทีมงานสหฯ พี่ปรัชญา เสี่ยเจียงรวมทั้ง อ.พันนา ที่คอยสนับสนุนผม ผมไม่ลืมบุญคุณแน่นอนผมเกิดที่เมืองไทยต้องตายที่เมืองไทยครับ เรื่องนี้เป็นบทเรียนที่ราคาแพงมากครับ ทำให้ผมเห็นจุดสูงสุดถึงต่ำสุด ผมไปที่อเมริกาเห็นช่าวต่างชาติรู้สึกยินดีกับหนังไทย และผมเห็นต่ำสุดคือชาวช้างจ.สุรินทร์ (ร้องไห้) ผมเห็นว่าผมอยากช่วยเหลือช้างผมอยากช่วยเหลือเขา ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยอยากทำหนังเรื่องนี้ อยากทำอีก 20 เปอร์เซ็นต์กับหนังเรื่องนี้ ส่วนเรื่องความเสียหายที่ถูกอเมริกาและญี่ปุ่นยกเลิกสัญญาผมต้องคุยกับเสี่ยอีกที"
https://www.facebook.com/teeneedotcom