แต๊งค์เผยคำพูดแตงโม วันที่แม่จิ๋มกลับเข้ามาในชีวิตลูกสาวเพราะเรื่องนี้....?
แต๊งค์ : ใช่ครับ เราก็นั่งเรือไปตามที่น้องโมเดินทางวันนั้นเลย เราเอาดอกไม้ไปวางที่ท่าเรือก่อน ตรงโป๊ะที่คนไปวางดอกไม้กันเยอะๆ จากนั้นเราก็แล่นไปตรงกลางแม่น้ำตรงบริเวณที่มีคนยืนยันว่าพบแล้วเอาดอกไม้โปรย
เราได้พูดอะไรกับน้องไหม ?
แต๊งค์ : มีครับ จริงๆ ผมรู้จักกับโมมานานแล้ว โมเป็นคนที่สนุกสนาน สร้างรอยยิ้มให้กับคน พูดกันเหมือนเขาอยู่ตรงนี้ จะจำเขาในด้านที่สดใส เขาเป็นคนตลก ขี้เล่น ก็เล่นกับเขา ประมาณว่าไปแล้วกลับมาให้โชค ให้ลาภบ้างนะ ทางนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว ทุกคนสู้เพื่อโมเต็มที่อยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ต้องโกรธแค้นใคร ขอให้ไปอย่างสบายใจเลย
ครอบครัวของแต๊งค์ผูกพันกับน้องมา 20 กว่าปีถูกไหม ?
แต๊งค์ : ครับผม ตัวผมรู้จักกับโมตั้งแต่เคยคบกันตอนนั้นก็ประมาณปี 52 ประมาณ 10 กว่าปีครับผม
หลังจากนั้นก็คบกันเป็นเพื่อนมาตลอด ?
แต๊งค์ : ใช่ครับ ก็มีสถานะเป็นแฟนเก่าเนาะ แฟนเก่าก็เป็นสถานะพิเศษอันนึง ที่ไม่ใช่ทั้งเพื่อน คือเป็นเพื่อนที่มีระยะห่างพอสมควร แต่ก็มีความรู้จัก คือเราจะรู้จักเขามากกว่าคนอื่นๆ ที่มองจากภายนอกเข้ามา
แล้วอะไรที่ทำให้คุณแม่แต๊งค์รักน้องขนาดนี้ ?
แต๊งค์ : 1.เพราะว่าโมเข้ามาสนิทกับครอบครัวผม พร้อมกับผมนี่แหละก็มีระยะเวลาที่ยาวนาน และหลังจากนั้นที่ผมแยกทางกับคุณแตงโมแล้ว ก็มีชีวิตของผมมาตลอด ซึ่งอย่างที่บอกสถานะแฟนเก่าเป็นสถานะพิเศษเนาะ เราก็ต้องให้เกียรติแฟนปัจจุบันของเรา ไม่สามารถติดต่อพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ว่าตัวน้องโมเองเขายังมีคนติดต่อกับคนที่บ้านผม เขารู้จักกับน้องสาวผมตั้งแต่ยังเล็กๆ เขาก็ติดตามข่าวสารของน้องผม คุณแม่ผมเป็นคนใจดีกับคนอื่นอยู่แล้ว เห็นว่าชีวิตน้องโมเป็นคนกตัญญู น้องโมเป็นคนที่รักคุณพ่อมาก ทำงาน หาเงิน ช่วยเลี้ยงคนในครอบครัวทุกคน คุณแม่ก็เลยเอ็นดูแล้วให้ความช่วยเหลือเวลาที่น้องโมต้องการความช่วยเหลือ มีอะไรก็มักจะคุยกัน
แต๊งค์ : ที่ไม่ไปมีหลายปัจจัยครับ ไม่อยากให้เป็นประเด็นใหญ่โตว่าแบบมีความขัดแย้งอะไรกับใครหรือเปล่า แต่ที่ไม่ไปคือ 1. มีลูกเล็ก มันต้องไปเจอคนเยอะกลัวเรื่องความปลอดภัย เรื่องโควิด
แต๊ง : เรื่องนั้นผมไม่ได้ห่วง ไม่ได้กลัวครับ แต่ว่าจริงๆ งานที่จัดขึ้นเนี่ยเพื่อเป็นการไว้อาลัย และมีคนที่ไปร่วมงานจำนวนมาก ตัวผมเองเมื่อวานนี้ก็ได้ไปล่องเรือ นึกในใจ ทำใจ แล้วส่งน้องโมไปเรียบร้อยแล้วว่าผมคงไม่ไปร่วมงานดีกว่า
เห็นว่ามีการส่งมีดมาหาคุณแต๊งค์เหรอ ?
แต๊งค์ : ครับผม
ใครยังไงทราบไหม ?
แต๊งค์ : ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ผมยังรอดูท่าทีอยู่ จะมีอะไรต่อเนื่องไปจากนี้ไหม ตอนนี้หลังจากที่ผมโพสต์ออกมาให้ข่าว ออกมาให้ข้อมูลกับสื่อในช่วงแรกๆ ที่มีการไปกระทบกระทั่ง หลังจากนั้นไม่กี่วันก็มีมีดส่งมาที่บ้าน เป็นกล่องพัสดุมาเลย มาจากบริษัทขนส่งเจ้าหนึ่ง รายใหญ่ ตอนนี้ก็มีการติดต่อไปยังผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขนส่งแล้ว เขายืนยันว่าเขาจะทำการเช็กย้อนไปที่ต้นทางให้ แล้วดูว่ามาจากที่ไหน ตอนนี้กำลังรวบรวมข้อมูล รวบรวมหลักฐานอยู่ แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเปล่า รอดูท่าทีก่อนว่าจะมีการข่มขู่เพิ่มเติมไหม หรือว่ามีท่าทีอะไรออกมาจากคนที่ส่งมาหรือเปล่า
มีจดหมายอะไรด้วยไหม ?
แต๊งค์ : ยังไม่มีครับ เป็นมีดอย่างเดียว
แสดงว่าถ้าไม่มีอะไรมากกว่านี้ก็จะปล่อยผ่าน แต่ถ้ามีมากกว่านี้ก็จะดำเนินการให้ถึงที่สุด ?
แต๊งค์ : ผมก็จะส่งมีดกลับไปให้ครับ
อะตอม : ไม่เจอเลยครับ ติดตามข่าวอย่างเดียว เห็นว่ามีคนส่งมีดมาให้เพื่อนก็ไม่สบายใจ แล้วรู้สึกว่าผู้ชายเขาไม่ใช่คนนิสัยอย่างนี้ที่ข่มขู่กัน ผู้ชายมันต้องอีกแบบหนึ่ง
อะตอม : มีหลายคนถามเหมือนกันว่ามีความกังวลหรือเปล่า ต้องบอกว่าตัวผมเองไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย นอกจากไม่มีความกังวลแล้ว อยากเจอ อยากเห็นหน้าด้วยว่าใครเป็นคนส่ง ใครมาข่มขู่ เจอต่อหน้าถามผมได้ตลอดครับ ไม่ต้องมาแอบ ไม่ต้องมาข่มขู่
แต๊งค์ : เพื่อนรักผมเยอะ มีคนพร้อมปกป้องเยอะไม่ต้องห่วง
กับ VTR ของคุณแม่ทำให้ 2 หนุ่มเดือดโพสต์ในไอจีเลย ?
แต๊งค์ : เดือดสิครับ ของขึ้นเลยวันนั้น ออกไปทำธุระนอกบ้านกลับมาผมเปิดทีวีดู ตามข่าวของน้องแตงโมเนี่ยมาเจอคลิปนี้การให้สัมภาษณ์ล่าสุดของคุณแม๊ เรื่องที่พูดคือไปพูดกระทบคนที่จากไปแล้ว แล้วเป็นคนที่น้องโมรักมากที่สุด คุณพ่อโสผมยืนยันได้ว่าน้องโมรัก 100%
พอคุณแม่พูดประโยคนี้มันทำให้คุณทั้งคู่ไม่พอใจ ?
แต๊งค์ : ผมเขียนไปในโพสต์ของผมชัดเจนแล้วว่า แม่จะต่อว่า หรือตอบโต้ใครก็ได้ แต่ขออย่างเดียว อย่าให้คุณแตงโมและคุณพ่อโสเสียหาย เพราะว่าตอนนี้ประเด็นที่มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวัน แล้วคนมาช่วยติดตาม จุดศูนย์กลางของเรื่องคือคุณแตงโมไม่ใช่คุณแม่นะครับ คุณแม่กำลังเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกเรื่อง เป็นคนที่มีสิทธิ์ออกมาเรียกร้องทุกอย่าง แต่อย่าลืมว่าคุณแม่ไม่ใช่คนเดียวที่สูญเสียนะครับ น้องโมเป็นคนที่มีคนติดตามทั่วประเทศ มีเพื่อนสนิท มีเพื่อนที่รัก แล้วยังมีญาติๆ คนอื่นนะครับ เพื่อนฝูงที่รักเขาก็มีความรู้สึกสูญเสียเช่นเดียวกัน ทุกคนอยากมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปช่วย ไปทวงความยุติธรรมให้โม แต่คุณแม่มาอ้างสิทธิ์เป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว แล้วคุณแม่ก็ได้สิทธิ์นั้นตามกฎหมาย สงสารความรู้สึกของคนอื่น ทุกๆ คนครับ แล้วก็มากที่สุดเลย สงสารความรู้สึกของคุณแตงโม
เพราะถ้าแตงโมอยู่ แตงโมก็ไม่อยากได้ยินประโยคนี้ อย่างน้อยๆ บุคคลที่ล้มละลายก็เป็นคนที่เลี้ยงน้องมา ไม่เคยทิ้งน้องเลย จนวันสุดท้ายของชีวิต ?
แต๊งค์ : คนล้มละลายไม่ผิดนิครับ ไม่ได้ผิด ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย มันคนละเรื่องกับฉ้อโกงนะ คุณแม่ออกมาปกป้องทนายแล้วจะต่อว่าหรือตอบโต้ยังไงก็ได้ จะพูดแก้ต่างให้คุณทนายยังไงก็ได้ แต่ทำไมเลือกที่จะแดกดันคุณพ่อโส ทำไมเลือกที่จะไปแดกดัน ไปแซะคุณพ่อแตงโม ประเด็นนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่โอเคเลย
แต๊งค์ : มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้นะครับ มีบรรดาเพื่อนที่เคยสนิทกับโม ใครที่รู้จักกับโมในช่วงแรกๆ อย่างเช่นพี่ช่างแต่งหน้าหลายๆ คน เพื่อนๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันสมัยนั้น แม้กระทั่งคุณอะตอมเองก็จะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณแม่กับคุณแตงโมเป็นยังไง
อะตอม : ผมโพสต์ถึงคุณแม่แหละครับ ว่าทำไมเมื่อก่อนตอนเด็กเนี่ย ตอนที่โมเกิดมา ตอนที่เขายังไม่รู้ช่วง 3 ขวบเนี่ย คุณพ่อพาลูกไปเช่าบ้าน คุณพ้อเป็นนักข่าว ตอนนั้นคุณแม่ไปไหน แล้วตอนที่โมได้งานทำเยอะๆ ได้เป็นนางเอกละคร ตอนนั้นเราเป็นเพื่อนสนิทเอง โมมันได้รับงานมาจากตัวมันเอง คุณแม่ไปไหน ที่เราโพสต์ไป เราไม่ได้มีอคติอะไรกับคุณแม่เลยนะ เราพูดจากความเป็นจริง จากสิ่งที่เราพบว่าแม่ไปไหน แต่มาในวันนี้ เพื่อนเราเสียเนี่ย ทำไมแม่ถึงเอ็คชั่นว่าคนนั่นต้องหยุด คนนี้ต้องหยุด ทั้งๆ ที่คนคนนั้นไปช่วยลูกที่เสียชีวิตของคุณแม่อยู่
ฟังจากนัยของอะตอมกับแต๊งค์เอง หรือเพื่อนๆ อีกหลายๆ คนที่ได้มีโอกาสคุยกันทุกคนกำลังจะพูดออกไปว่า จริงๆ แล้วพวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้สนิทกับน้องมากกว่าที่แม่สนิทกับน้อง แล้วรู้เรื่องน้องมากกว่าแม่รู้เรื่องน้องใช่หรือไม่ ?
แต๊งค์ : แน่นอนครับ มั่นใจ
อะตอม : จะพูดอย่างนั้นก็ใช่
แต๊งค์ : หลายสิ่งที่เราเลือกที่จะไม่พูดออกไป เพราะเราให้เกียรติคุณแม่ ในฐานะที่คนเป็นแม่ เป็นลูกกัน เขาก็ควรได้รับความเคารพในฐานะคุณแม่ ผมเคารพคุณแม่ เพราะว่าพวกเราให้เกียรติกับคุณแตงโมในลักษณะนั้นมากกว่า แล้วก็ไม่อยากให้คนมองหรือโจมตีคุณแม่มากไปกว่านี้ แต่ในเมื่อคุณแม่เลือกที่จะพูดแบบนี้ ไม่ให้เกียรติลูกสาว ไม่ให้เกียรติคุณพ่อของลูกสาวแบบนี้ พวกเราในฐานะที่รู้ความจริงหลายเรื่องของคุณแม่ เราก็เลยมีความรู้สึกโกรธ ก็อยากให้ความเป็นธรรมกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ย้อนไป 10 ปีที่แล้วตอนที่ผมยังอยู่กับคุณแตงโมอยู่ ช่วงนั้นเป็นช่วงแรกๆ ที่คุณแม่เริ่มกลับเข้ามาในชีวิตคุณแตงโม คุณแม่หายไปจากชีวิตคุณแตงโมนานมาก มีการคุยโทรศัพท์มาจากต่างประเทศเท่านั้นเอง แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณแม่เริ่มกลับมาอยู่ประเทศไทย สิ่งแรกที่คุณแตงโมคุยกับผม นั่นก็คือคุณแม่กลับมาแล้ว คุณแม่จะต้องมีปัญหาในเรื่องการเงินแน่นอน อันนี้อ้างอิงจากที่คุณแตงโมพูดกับผมนะ ผมไม่ได้พูดเองนะครับ
ตอนนั้นแตงโมอายุเท่าไหร่ ช่วงไหนที่บอกว่ากลับมา ?
แต๊งค์ : 10 ปีที่แล้วครับ ปี 52 ประมาณ 13 ปีที่แล้ว คุณแม่กลับมาแล้ว น้องโมตอนนั้นเริ่มที่จะซื้อบ้าน ซื้อรถ เข้าวงการ ช่วงนั้นมีหนี้สินมากพอสมควร จำเป็นที่ต้องหาเงินเพื่อมาจุลเจือค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่าเลี้ยงดูพ่อ ค่าเลี้ยงดูญาติๆ ของคุณพ่อ ค่าจ้างพนักงานคนที่เขาช่วยเหลือทุกคน ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ทั้งหมดรวมเป็นเงินไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2-3 แสนต้องหาให้ได้ทุกเดือน ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องโมก็เจอกระแสข่าวหลายๆ อย่าง งานเขาก็น้อยลง รายได้ก็ตกลง ค่อนข้างที่จะเครียดมาก คุณแม่เข้ามา คุณแม่ไม่เคยที่จะเข้ามาช่วยให้คำปรึกษา หรือว่าช่วยบรรเทาความทุกข์อะไรให้น้องโม
แต๊งค์ : ใช่ครับ คือคุณโมด้วยความที่เขาเป็นคนที่มีความกตัญญูสูง คือคุณแม่ของตัวเอง ต่อให้ไม่ได้เลี้ยงมา เขาก็ยังรักและหวังดีกับคุณแม่อยู่ ในเมื่อคุณแม่ลำบากกลับมา คุณแตงโมพร้อมที่จะช่วยเหลือ โดยที่คนที่ดูแลคุณแตงโมอยู่คือคุณพ่อโสเท่านั้น
แตงโมได้มาขอความช่วยเหลือแต๊งค์บ้างไหม ?
แต๊งค์ : ตอนนั้นคุณแตงโมเขายังมีศักยภาพในการทำงานแล้วดูแลตัวเองดีอยู่นะครับ ไม่มีการขอความช่วยเหลือครอบครัวผมในเรื่องการเงินเลยในตอนนั้น เราสองคนคือช่วยกันหาเงิน ต่อมาพอผมแยกทางกับคุณแตงโมมาระยะหลังๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ช่วงคุณพ่อโสล้มป่วยหนักเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หลายคนคงเห็นในโพสต์ของคุณแม่ผมแล้วว่าคุณพ่อโสปฏิเสธที่จะรับการรักษา เพราะไม่ต้องเป็นภาระในเรื่องการเงินของลูก จะเอาไปไว้โรงพยาบาลแกก็ไม่ไปนะครับ แกขอแค่เครื่องผลิตออกซิเจนเอาไว้ที่บ้าน แล้วเตียง คนดูแล 1 คน แค่นั้นเอง ผมมีโอกาสไปเยี่ยมคุณพ่อโสครั้งสุดท้ายก่อนที่แกจะเสีย แกยังพยายามทำตัวเองให้ดูเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่น ต่อหน้าคุณแตงโม แต่ผมเนี่ยใกล้ชิดกับญาติที่เป็นมะเร็งมาหลายท่าน ผมรู้ดีว่ามะเร็งมันเจ็บปวดมาก มันสร้างความทุกข์ทรมานมาก แต่คุณพ่อนอนน้ำตาไหลอยู่บ้านด้วยความเจ็บปวดไม่เคยบ่นสักคำ แกจะลุกมารับแขกด้วยหน้าตาที่พยายามยิ้มแย้ม สดใส แล้วชวนคุยเรื่องการเมือง ชวนคุยเรื่องนู้น เรื่องนี้
ช่วงที่คุณพ่อป่วย เป็นช่วงที่วิกฤตมากของแตงโม คุณแม่ได้เข้าไปช่วยเหลืออะไรบ้างไหม ?
แต๊งค์ : มีคนอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลคุณพ่อน้องโมอย่างใกล้ชิดนะครับ คุณแม่มีเข้าๆ ออกๆ แต่ผมไม่ทราบว่ามีเจตนาอะไรบ้างเหมือนเข้ามาพูด แล้วดูเหมือนจะจัดการ จัดแจงนู่นนี่นั่น โดยที่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรบ้าง อันนี้ไม่รู้จริงๆ
คุณแม่ให้สัมภาษณ์บอกว่าน้องโมให้เงินคุณแม่เดือนละหมื่น แต๊งค์คิดว่าเดือนละหมื่นจริงไหม ?
แต๊งค์ : ไม่ครับ มากกว่านั้น
รู้สึกยังไงกับเหตุการณ์ที่แต๊งค์พูดมา ?
อะตอม : จะร้องไห้แล้วพี่ นั่งอยู่นี่น้ำตาตกในเลยพี่ นึกถึงหน้าเพื่อนเอง แล้วก็หน้าพ่อโส เสียใจครับ เสียใจมาก
ตอนแรกบอกว่าวันนี้จะมีการแถลงข่าวเป็นเรื่องเป็นราว แต่ล่าสุดบอกว่ายังไม่ปิดสำนวน ยังไม่มีการแถลงอะไร แต่วันที่ 14 ก็มีจัดทำพิธีในเรื่องเผาศพให้เรียบร้อย คุณมองเรื่องนี้ยังไงบ้าง คดียังไม่ทันปิดแต่ศพจะเผาล่ะ ?
อะตอม : ในส่วนตัวผมเอง ผมอยากให้ความคลี่คลายมันมากกว่านี้ แล้วในส่วนตัวของผมเองเลยผมรอฟังคำแถลงจากคุณหมอ ไม่ได้อยากรอฟังคำแถลงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะดีก็ได้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่ามันมีอะไรบ้าง แต่เราเชื่อมั่นในตัวคุณหมอ ซึ่งคุณหมอพรทิพย์ก็เป็นเพื่อนกับเราในเฟซบุ๊ก เขาบอกว่ายินดีที่จะให้คำปรึกษา แต่ว่าเมื่อวานนี้ผมเห็นคุณหมอพรทิพย์มาแถลงผ่านโซเชียล เราก็ไม่สบายใจ เอ๊ะ...หรือว่ามันมีอะไรหรือเปล่า อยากให้ทุกอย่างมันคลี่คลายก่อน
แต๊งค์ : คุณแม่ยืนยันอยากจะเผาตามกำหนดการนะครับ แต่ระหว่างที่ขับรถมารายการผมฟังข่าวมีแถลงออกมาแล้วว่า เรื่องศพของน้องเนี่ยสรุปแล้วจะมีการร่วมกันชันสูตรอีกรอบ โดยที่มีการร่วมกัน มีการชันสูตรและตรวจคู่ขนานกันไประหว่าง 2 สถาบัน คือจะมีของทางศิริราชเข้ามาช่วยด้วย
คุยถึงความน่ารักของน้องโมกับพ่อโสบ้าง เพราะโมมารายการบ่อยมาก 5 ครั้งได้ตั้งแต่เปิดรายการมาเป็นแขกคนแรกๆเลย น้องโมชอบพูดว่าคุณพ่อเป็นทุกอย่างของน้อง หวีผม ซักเสื้อผ้า ใส่ถุงเท้า รองเท้า ทำกับข้าว คุณเคยเห็นภาพเหล่านั้นมั้ย ?
แต๊งค์ : เห็นครับ ผมได้เห็นภาพเบื้องหลังที่หลายๆ คนไม่ได้เห็นอยู่แล้วในการดูแลของพี่โส คือแกจะดูแลตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ อาหารการกิน ดูเรื่องการบำรุงรถยนตร์ยานพาหนะในบ้าน ผู้ชายคนเดียวในบ้าน คือดูแลชีวิตน้องโมโดยที่น้องโมไม่จำเป็นจะต้องมาเป็นห่วงทางบ้านหรือเรื่องอื่นๆเลย
เห็นว่าคุยกันทุกเรื่องแม้ว่าเรื่องแฟน เวลาน้องโมมีปัญหาเรื่องแฟนก็จะปรึกษาพ่อโส ?
แต๊งค์ : เขาเป็นพ่อลูกที่ไม่คุยกัน เขาจะไม่พูดคุยกันซึ่งหน้า แต่ว่าเวลาเขามีเรื่องจริงจังหรือมีเรื่องที่จะสอนน้องคุณพ่อจะเขียนจดหมาย ณ ตอนนี้ถ้ามีใครที่สามารถเข้าไปในบ้านคุณแตงโมได้ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าโต๊ะหัวเตียงฝั่งที่เขานอนในลิ้นชักจะต้องมีจดหมายของคุณพ่อที่เขียนให้น้อง เพราะน้องเก็บไว้ทุกฉบับ และจะเก็บไว้ตรงนั้นตลอด
สื่อสารกันทางจดหมาย ?
แต๊งค์ : ใช่ครับ ผมมารู้ตอนที่เลิกกับคุณแตงโมไปแล้ว ห่างหายกันไปปลายปีเลย มีกลับมาคุยกันตอนช่วงที่คุณพ่อป่วย คุณพ่อก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่าได้เขียนจดหมายให้กับน้องโม คุณพ่อก็พูดกับผมด้วยว่าคุณพ่อเป็นห่วงผมมาก ตั้งแต่ตอนที่ผมมีปัญหาชีวิต คือผมก็ล้มเหลวในชีวิตมาเยอะ เข้าไปสู่ด้านมืดของชีวิตตัวเองมาเยอะ คุณพ่อก็บอกว่าเป็นห่วง อยากให้แก้ไขตัวเองยังไง คือแกเป็นคนน่ารักมาก
ขอความน่ารักๆของคุณพ่อโสหน่อย ?
อะตอม : ถ้าพูดถึงพ่อโส คุณพ่อเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ผมเห็นปฏิบัติกับเพื่อนผมได้ดีที่สุด ขับรถไปส่งที่กองถ่าย ไปนอนรอไม่ว่าจะดึกแค่ไหน เพื่อนเราเองมีอะไรก็จะพูดถึงแต่พ่อ ไม่เคยพูดถึงคนอื่นเลยครับ
https://www.facebook.com/teeneedotcom