เปิดชีวิตเจ้าของตำนานดาราของเล่นไฮโซ สุดช้ำชีวิตคู่14ปีโดนแย่งสามี
ตุ๋ย : สมัยก่อนนางแบบมีไม่เยอะ ไปเที่ยวบาร์ทีก็มีคนหันมามอง มีดื่มบ้าง เดินแฟชั่นเสร็จก็เที่ยวต่อ ก็มีเล่นบ้างแต่ไม่ได้เข้าบ่อนใหญ่ ตอนนั้นคือใช้ชีวิตแบบสุดๆ
ตอนนั้นไม่มีเงินเก็บเลย?
ตุ๋ย : ไม่มี สมัยก่อนคือได้มาใช้ไปเป็นคนใช้เงินเก่ง เก่งแบบไร้สาระ ซื้อเสื้อผ้า แบรนด์เนม ก็ใช้ชีวิตอย่างนั้นจนไปเมืองนอก แต่พวกกระเป๋าเครื่องสำอางค์มีคนซื้อให้ มีคนเอามาประเคน ตอนนั้นมีคนมาจีบเยอะมากสวยแซ่บขนาดนี้ ก็มีไฮโซ มีทุกรูปแบบ ทั้งคนที่มีครอบครัวแล้ว นักการเมือง ก็เราอยู่ที่ดีๆ ไปเที่ยวแต่ที่แพงๆ ก็เจอแต่คนแบบนี้ มีคนเสนอบ้านรถให้ แต่ถ้าเราไปตกลงกับเขามันก็จะเป็นเรื่องเป็นราว เราก็ต้องไปเป็นเบอร์2เบอร์3 ตอนนั้นเราก็ยังเด็กเราก็อยากได้คนแบบซิงๆ
ดาราเป็นของเล่นของไฮโซ?
ตุ๋ย : มันตรงข้ามกันไหมไฮโซก็เป็นของเล่นของเราสิ เพราะไฮโซเค้าก็อยากเจอดารา อยากกินข้าวกับดารา เพราะมันไม่ได้หมายความว่าตอนจบเราต้องไปนอนกับเค้านิ เราก็เห็นว่าเค้าเป็นของเล่นได้นิเค้าอยากเลี้ยงข้าว เราก็พาเพื่อนไปสิ คนนี้มาจีบเพื่อนเราแล้วก็เฮกันไป เราควรจะเป็นคนเลือกเขาซึ่งบางทีเราก็ไม่ได้เลือกเขาด้วย หรือบางทีเค้าก็ไม่ได้เลือกเราด้วย
ทำไมถึงไม่เลือก?
ตุ๋ย : มันยังไม่ถึงเวลามั้ง เรารู้สึกว่าคนที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกชีวิตเค้าก็เพิ่งเริ่มต้น พ่อแม่เขาก็คงยังไม่อยากให้แต่งงาน แล้วก็ยังไม่มีใครมาขอเราเป็นเรื่องเป็นราว ถ้ามาขอก็คงโอเค แต่ว่ายังไม่มีคนมาขอไง
ตุ๋ย : ก็มีหลายคน คนที่มีอิทธิพลหรอ คือคนนั้นน่ะดูภายนอกก็ดูดี แต่ข้างหลังคือไม่ใช่ เราก็ใช้เวลาไม่นานกว่าจะรู้ความจริงเผอิญว่าเค้าไปจีบคนใหม่พอดี เราก็เลยสบายไป แล้วก็ถอยออกมาไปเดินแฟชั่นที่เมืองนอก จนกระทั่งไปเจอพ่อของลูก ดวงเราดี
คนนี้ทำให้เราลาจากวงการบันเทิงและไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ?
ตุ๋ย : ใช่ มันก็คงถึงเวลา ผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกที่ขอเราแต่งงาน สมัยก่อนอายุ 25 ก็ถือว่าแก่แล้ว ควรจะมีสามี เค้าเป็นคนไทยแต่ต้องไปอยู่เมืองนอกและเราเองตอนนั้นก็อยากอยู่เมืองนอก ก็ใช้เวลาคุยกันไม่นาน เกือบปี
ย้ายไปอเมริกาชีวิตเปลี่ยน?
ตุ๋ย : เป็นพนักงานเสิร์ฟ เจ้าของร้านอาหารไทย 3 สาขา ตอนแรกไปเราก็ใส่ส้นสูง 3 ถึง 4 นิ้วเดินเสิร์ฟ แล้วร้านขายดีมากใส่ส้นสูงเสิร์ฟก็ไม่ไหว ก็เลยหันมาใส่รองเท้าผ้าใบ บางครั้งก็ล้างจานเอง บางครั้งก็ช่วยจัดจานในกรณีที่คนไม่พอ ไม่ได้รู้สึกลำบากเพราะเราอยู่ในฐานะเจ้าของ อยู่อเมริกาทั้งหมด 14 ปีแล้ว
เหตุผลกลับไทย?
ตุ๋ย : ก็ไม่อยากพูดถึงเยอะ วันดีคืนดีเค้าบอกว่าจะกลับไปอยู่เมืองไทย เค้าบอกว่าเราควรจะเลิกกัน เค้าบอกว่าเค้าต้องไปทำโครงการที่เหนือ คิดว่าเค้าคงไปเจอสาวเหนือ เราก็นึกไม่ถึงยืนอยู่ดีๆเค้าก็ถีบตกน้ำ ทั้งอ้อนวอน ขอร้องว่าอย่าไปเลย คือพยามจะยื้อไว้ให้นานที่สุด แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ถือเป็นเรื่องใหญ่มากในชีวิต เหมือนนินทาคนตาย มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย ส่วนใหญ่มันก็จะมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่เบื่อแล้ว บางคนเบื่อแล้วกลับมา บางคนเบื่อแล้วกลับไม่ถูก
ตุ๋ย : ก็3-4เดือน ตอนนั้นเราก็ยังอยู่ที่ต่างประเทศ ทำงานเลี้ยงลูก ตอนนั้นไม่โกรธเพราะไม่มีเวลาที่จะโกรธ เพราะเราต้องหาเงินทำงานเช้ายันเย็น ลูกจะต้องไปโรงเรียน ถามว่าเสียใจร้องไห้มีไหมมันก็มี แต่ถึงเวลานึงเราต้องอยู่ให้ได้ เพราะเรามีลูก ตอนนั้นลูกอายุ 7 ขวบ ก็ยังไม่บอกลูก จนกลับมาอยู่เมืองไทย ลูกก็ถามว่าทำไมมาอยู่เมืองไทยนานจัง เมื่อไหร่จะกลับบ้านเรา พ่อไปทำงานนานจังเลย
หย่ากันเลยใช่ไหม?
ตุ๋ย : ก็หย่ากันตั้งแต่เมืองนอก เพราะไม่ได้จดทะเบียนที่เมืองไทย
ถูกครหาเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวตกอับกลับมาอยู่ไทย?
ตุ๋ย : มันก็ห้ามไม่ได้ มีคนพูดว่าหย่ากับผัวกลับมาอยู่เมืองไทย คนก็คิดว่าเราไม่มีเงินแล้ว คงไม่มีอะไรกลับมา
กลับมาทำงานในวงการบันเทิงอีกครั้งได้ยังไง?
ตุ๋ย : ก็ยังมีคนเรียกไปเล่นละครอยู่เราก็เริ่มมีเงินจากตรงนี้บทแม่ก็ยังได้อยู่เพราะตอนนั้นอายุเพิ่ง 39 ปี
เรื่องถ่ายนู้ดสร้างกระแสกลับมา ก็ไม่เอาเกรงใจลูกและคิดว่ามันก็คงไม่ได้น่าดูเท่าไหร่
มีคนมาคุยด้วยไหม?
ตุ๋ย : เรารู้สึกว่าเราฉลาดกว่าเราไม่ได้ว่าเค้าโง่นะแต่เวลาคุยด้วยกันเรารู้สึกว่าทำไมพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องเราไม่ได้เปิดใจให้ใครเลยเพราะมันไม่มีเวลาเพราะเรามัวแต่หาเงิน อายุ 39 ก็ยังมีคนเข้ามาคุยตอนนั้นมีสเปกไหม ก็ต้องมีเงินเยอะๆไหมล่ะ แต่ตอนนี้เงินฉันก็มีมากแล้ว สมองฉันก็ว่าฉันฉลาดกว่า ถ้าไม่มีเหนือกว่าแล้วเราจะเอามาทำไม คือเราไม่ได้หวังของคุณแต่คุณต้องมีเหนือเรา ก็มีแค่เฉียดๆเข้ามาแต่ส่วนใหญ่ก็มีครอบครัวแล้ว
ตุ๋ย : เรียนเมืองนอกได้เกียรตินิยม ส่งไป3ปีเงินในบัญชีเทหมดหน้าตัก ก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆตอนนี้ทำงานบริษัทฝรั่ง เรียนเกี่ยวกับวิศวะกร พร้อมสนับสนุนลูกทุกอย่างเลย ลูกชายสูงมากสูง 194 เซนติเมตร สิ่งเดียวที่คุยได้ตลอดชีวิตก็คือลูกชายนี่แหละเป็นการลงทุนที่คุ้มที่สุด
เห็นว่าถึงขั้นพบจิตแพทย์?
ตุ๋ย : จริงค่ะ เพราะตอนกลับมาใหม่ๆ กับลูกสองคนเหมือนคนเพี้ยน ลูกร้องไห้แม่ก็ร้องไห้ ลูกยังปรับตัวใช้ชีวิตที่เมืองไทยไม่ได้ เรากับยายก็แอบไปนั่งเฝ้าที่โรงเรียนแล้วก็ร้องไห้ ก็ปรับตัวไม่ได้จนต้องไปหาจิตแพทย์สมัยก่อนเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ใครหาหมอจิตแพทย์ก็คือคนบ้า หมอบอกว่าเด็กไม่ได้มีปัญหาเรื่องพ่อแม่แตกแยก แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วคุณต้องบอกความจริงให้เค้ารู้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นไม่ใช่ไปโกหก พอถึงเวลาเราก็เลยบอกเค้า เค้าบอกว่าเด็กจะปรับตัวเร็ว ประมาณ 5-6 เดือนเค้าก็ชินกับโรงเรียน
เห็นว่าเคยกอดคอกันร้องไห้?
ตุ๋ย : ที่ร้องไห้ไม่ได้คิดถึงอยากให้เขากลับมา แต่คิดว่าเราจะอยู่กันยังไง เพราะหลายหลายอย่างลูกก็ยังไม่ชินและยังปรับตัวไม่ได้ พอลูกดีขึ้นเราก็ดีขึ้นมันใจมันชื้น พอลูกเริ่มอ่านเขียนหนังสือได้เราก็เริ่มบอกลูกด้วยการเอาจดหมายที่พ่อเคยเขียนขอโทษเราให้ลูกดู ลูกก็บอกว่าอ่านแล้วรู้สึกเสียใจ เราก็ไม่ได้ใกล้ชิดลูกขนาดนั้นเพราะคนที่ดูแลลูกเราจริงๆก็คือคุณยาย ถ้าไม่มีคุณยายแล้วตายแน่ เพราะเราต้องบินไปเมืองไทยเมืองนอกตลอด
ตุ๋ย : เพราะเราเลี้ยงลูกแบบสะเงาะสะแงะหลายคนมองว่าเราจะรอดไหมเนี่ย อะไรทำได้เราก็อย่าทำให้เขาทั้งหมด แต่คนก็บอกว่ามันไม่น่าจะรอด เราไม่ได้พิสูจน์อะไรกับคนพวกนั้นแต่คนที่พิสูจน์ก็คือลูกเรา เพราะว่าลูกฉันมาได้ขนาดนี้
อยากสตรองแบบคุณแม่ต้องทำยังไง?
ตุ๋ย : ทุกคนต้องมีเวลา ออกกำลังกายคลายเครียดอย่างน้อยฆ่าเวลาไปได้ 2 ถึง 3 ชั่วโมง อีกอย่างก็อยู่ที่ดวงด้วยมันต้องทั้งเก่งและเฮง ทุกอย่างมันต้องรวมกัน ณ วันนี้ยังรับงานในวงการบันเทิง แต่งงานส่วนตัวไม่ค่อยทำแล้วน้อยมาก รีไทร์มาเกือบจะ 10 ปีแล้ว
https://www.facebook.com/teeneedotcom