ครึ่งประเทศไม่เคยรู้! ประวัติ อาน้ำอ้อย ผู้จัดการส่วนตัวของ ปอ ทฤษฎี กับเรื่องราวตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา?
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่พระเอกชื่อดัง ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์ ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก ข่าวคราวของเขาก็ถูกรายงานอยู่ตามสื่อต่างๆ ทุกวัน ท่ามกลางการติดตามส่งกำลังใจช่วยจากแฟนคลับและผู้คนทั่วไป และบุคคลหนึ่งที่กลายเป็นคนที่สังคมรู้จักไปด้วยในฐานะผู้ที่คอยให้ข่าว คือ อาน้ำอ้อย-ศรมนตรา พิชัยศรแผลง คุณอาและผู้จัดการส่วนตัวคนเก่งของพระเอกหนุ่ม
ตอนที่เขามากรุงเทพฯ ก็ไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ตรงนี้ คนแรกที่จุดประกายคือ เจี๊ยบ-กาญจนาพร ปลอดภัย เขาเห็นแววจะเอาไปเล่นละคร และแดงกับอ๊อฟ (ธัญญา-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง)ก็เห็น ยังบอกว่า ปอเป็นพระเอกได้ แต่ติดที่ปอยังเด็ก ต้องรอให้โตอีกหน่อย ตอนนั้นปอเพิ่งเรียนปี 1 พอขึ้นปี 2 ตือ-สมบัษร ถิระสาโรช ก็เอาไปเดินแบบ ปี 3-4 มีโฆษณาและถ่ายแฟชั่น ต่อมาลูกสาวเพื่อนแนะนำว่าให้ไปประกวดหนุ่ม Cleo อาก็ส่งรูปไป ตอนนั้นปอมีโมเดลลิ่งมาติดต่อเยอะ นามบัตรนี่เป็นปึ๊งเลย แต่เขาไม่เอา บอกไม่รู้จัก ผู้จัดละครก็ติดต่อมา แต่อาบอกเขาว่า หนังสือเล่มนี้ น่าเชื่อถือนะ เขาก็ไม่ว่า จากนั้นพี่งัด (สุพล วิเชียรฉาย) เห็นรูปปอที่ขึ้นปก Cleo แล้วคุยกับพี่สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ให้เรียกมาคุยที่ช่อง 3 จังหวะเดียวกับประกาศตำแหน่งหนุ่มในฝัน Cleo ซึ่งเซอร์ไพรส์มาก เพราะปอเป็นหนุ่ม unknown ทำงานธนาคาร รุ่งขึ้นช่อง 3 เรียกไปเซ็นสัญญาและให้ไปเรียนการแสดง ทำให้ชีวิตปอพลิกผันไปเลย เล่นละครเรื่องแรก ทุกคนลงความเห็นว่าหน่วยก้านไปได้แน่นอน
แล้วอาน้ำอ้อยเริ่มบทบาทเป็นผู้จัดการตอนไหน?
ตอนเขาได้โฆษณา เพราะอาทำงานในวงการนี้มา 30 ปี คำว่าผู้จัดการของอากับปอจึงรวมถึงความเป็นครูอาจารย์ด้วย อาสอนเขาเรื่องบุคลิก พวกเวิร์ดดิ้งต่างๆ เวลาไปเจอใคร จะต้องพูดอย่างไร โดยเฉพาะพูดกับผู้ใหญ่และสื่อมวลชน ควรจะพูดแบบไหน ฯลฯ ตื่นเช้ามาเราก็ไปด้วยกัน ยกเว้นว่าวันไหนมีคิวไปที่ทุรกันดาร จะไม่เห็นอา เพราะอาเป็นภูมิแพ้ เป็นคนขี้ร้อน และแพ้แมลงทุกชนิด ปอก็เป็นภูมิแพ้เหมือนกัน เป็นหวัดง่าย แต่เขาแข็งแรงกว่าอานะ สิ่งที่อาไม่เหมือนเขา คือ ปอป่วยเป็นอาหารเป็นพิษบ่อย เพราะเขาชอบกินอาหารบางอย่างที่ดิบๆ สุกๆ ซึ่งอากินไม่เป็น (หัวเราะ)
ใช่ ตรงนี้เหมือนอาแหละ ไม่ชอบให้ใครลุกล้ำ ถ้าใครเข้ามา เขาจะถอยหนี
รวมถึงเรื่องของโบว์ด้วย?
เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา อาได้แต่นั่งยิ้มและเฝ้าดูอยู่ ตอนที่มีข่าวโจมตีโบว์ อาก็ออกไปสกัดข่าว เพราะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แล้วประเด็นที่คนพูดก็ล้าสมัยมาก ชีวิตรักของแต่ละคนนี่ ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวเองจะไม่รู้สึกหรอกว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต การที่มีใครสักคนเข้ามาในชีวิต ถือเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมา ถ้าคนสองคนไม่มีความเห็นตรงกัน รักก็จะไม่เกิด ถ้าสิ่งใดที่ถูกเคลือบคลุมด้วยเล่ห์เพทุบาย มันก็จะไปกันไม่ได้ พูดตามตรงสองคนนี้เขารู้จักกันมานาน แม้เขาจะมีช่วงที่เปลี่ยนแปลงกันไป แต่เขากลับมาหากันอีกครั้ง เราเป็นผู้ใหญ่ก็น่าจะเปิดโอกาสให้เด็กสองคนไปเคลียร์ใจกันเองไม่ดีกว่าหรือ ก่อนหน้านี้อาออกมาบอกเลยว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล อาไม่เคยรังเกียจใคร เคยสอนปอด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้มันสั้น สิ่งใดที่เราเห็นว่ามีความสุขในปัจจุบัน อดีตคืออดีต เราต้องให้อภัยกับอดีตของคนทุกคน การที่เรายึดติดกับอดีต หรือภาพเก่าที่ฝังแน่นจนเกินไป สลัดไม่ออก เราจะเดินต่อไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะทำให้เรายืนอยู่ตรงนี้ คือ ปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้นการที่เขากลับมารักกันอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก กลายเป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ คนเราที่คู่กันแล้วก็ต้องอยู่เป็นคู่ตลอดไป อาคิดอย่างนั้น แต่อย่างอา lucky in job, unlucky in love ยังเคยบอกปอเลยว่า เราแตกต่างกันอยู่อย่างเดียว คือ เรื่องนี้ แต่อาก็อยู่ได้นะ (หัวเราะ) เวลาอามีแฟน อาไม่ได้บอกปอหรอก เขาเองก็รู้แต่ไม่พูดและคอยดู ถ้าคนไหนที่เขามีคอมเม้นท์ว่า ไม่ชอบหน้านี่ ก็นะ...(หัวเราะ) ก็เป็นมุมจากเด็กรุ่นหลานคนหนึ่ง เขาคงจะมองในลักษณะว่า คนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมยังต้องมีแฟน อาต้องบอกใจเย็นๆ ไม่ต้องเป็นห่วง...
เรื่องน้องมะลิ อาเป็นคนบอกนักข่าวเองแหละ จริงๆ ไม่ใช่ว่าเราปิด เราไม่ปิดแต่ก็ไม่เปิด เรามองว่าความเป็นส่วนตัวก็เป็นส่วนตัวอยู่วันยังค่ำ ใครรับได้หรือไม่ได้ เราไม่สนใจ ชีวิตแต่ละคนย่อมมีมุมที่เป็นส่วนตัวของตัวเอง อาว่าบ้านเราเริ่มมีความสมัยใหม่ การใช้ชีวิตร่วมกันสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด อย่างอายอมรับหลานสะใภ้ได้ คนอื่นก็ต้องยอมรับได้สิ ไม่แปลก การเปิดโอกาสให้คนรักเข้ามาหา เข้ามาดูแลยามเจ็บป่วย เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมต้องปิดต้องเปิด วันหนึ่งก็ต้องรู้ ก่อนหน้านี้ก็มีคนรู้นะ เวลาเราพาน้องไปไหน แต่ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่
https://www.facebook.com/teeneedotcom