ส่วนเงินค่าตัวเขาคิดยังไง แน่นอนว่าดาราที่เขียนๆ มาต้องหลักล้าน แต่จะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับงานที่ต้องทำและความดังของดาราคนนั้นในตอนนั้น สมมติในเมืองไทยคิดราคาอยู่ 5 ล้านบาท แต่ถ้าเอารูปไปใช้ในประเทศอื่น เช่น ประเทศเพื่อนบ้านก็อาจจะกลายเป็น 8 ล้านบาท แต่เงินจะถึงตัวดาราเท่าไร หึๆๆๆ ขึ้นอยู่กับฝีมือและฝีปากของคนต่อรอง เพราะเงิน 8 ล้าน ผู้จัดการกับเอเจนซี่อาจจะเอาไปแล้ว 3 ล้าน เหลือถึงตัวดาราเพียงแค่ 5 ล้าน ไหนจะโดนหักจากการที่เป็นเด็กในสังกัดอีก 20 ถึง 30% ไหนจะค่าภาษีอีก เอาเข้าจริงๆ แล้วก็เหลือไม่เท่าไร จากราคาที่ตั้งต้นไว้ หลายคนคงตกใจว่าทำไมถึงหักกันมากมาย เอเจนซี่กับผู้จัดการทำไมเอาไปเยอะจัง แต่ถ้าไม่ใช่ฝีมือและฝีปากของพวกเขา ดาราคนนั้นก็อาจจะไม่ได้งาน เพราะสมัยนี้ตัวเลือกมันเยอะ ดังนั้นถ้าดาราพอใจกับเงินที่ถึงตัวเอง โดยไม่สนว่าก่อนหน้านี้ผู้จัดการหรือเอเจนซี่จะไปเรียกเงินหรือโก่งค่าตัวกันเท่าไร มันก็ทำงานเหมือนกับหลับตาข้างหนึ่ง แต่ถ้าไม่สบายใจหรือทนไม่ได้ก็ฟ้องร้องกันไป
ส่วนดาราคนอื่นที่เป็นพรีเซ็นเตอร์อาจจะไม่ได้ค่าตัวขนาดนี้ หลักแสนหลักหมื่นก็ทำกันได้ ขึ้นอยู่กับงบของเจ้าของสินค้า และเขาต้องคิดด้วยว่าดาราที่จะจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้นเมื่อมาอยู่บนสินค้า แล้วกลุ่มลูกค้าที่จะใช้สินค้ารู้จักมากน้อยแค่ไหน อย่าลืมว่าประชาชนคนไทยทั้งหมดไม่ได้ดูแต่ข่าวบันเทิง คนอีกหลายกลุ่มไม่สนใจข่าวบันเทิงหรือรู้จักดาราสักเท่าไร ดังนั้นพรีเซ็นเตอร์อาจจะไม่ใช่ดาราแต่เป็นนักกีฬาหรือคนที่ประสบความสำเร็จในแวดวงอื่นก็ได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของพรีเซ็นเตอร์จะสอดของกับภาพลักษณ์ของสินค้าด้วยหรือเปล่า ซึ่งบางทีการจ้างดาราเขาอาจจะไม่ได้ดูที่ความดัง แต่เค้าดูไลฟ์สไตล์ ดูเรื่องส่วนตัวที่ทำ เช่น ครอบครัวดาราที่อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและอบอุ่น ก็อาจจะได้ผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า คนไหนที่ชอบทำอาหารทำกับข้าวก็จะได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์เครื่องครัวหรือน้ำมันพืช คนไหนที่ชอบออกกำลังกายรักสุขภาพก็จะได้เป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับด้านสุขภาพหรือชุดกีฬา อย่างเช่น ตอนที่บุ๋มเองขี่มอเตอร์ไซค์ก็จะมีงานโชว์ตัวเกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์เยอะมาก แต่พอตอนนี้มาทำองค์กรทำดีก็จะมีงานด้านการกุศล เช่น วิ่งเพื่อหาทุนช่วยเหลือโรงพยาบาล ช่วยเหลือหมาแมว เข้ามาเยอะมากเช่นกัน
ดาราบางคนที่เป็นพรีเซ็นเตอร์งานบางงานหรือสถาบันเสริมความงาม ก็อาจจะไม่ได้เงินเป็นกอบเป็นกำแต่อาจจะได้เป็นส่วนลด หรือแลกกับการได้ทำฟรี คือ ทางสถาบันความงามจะมีงบให้ส่วนหนึ่งตามความดังและการต่อรองของดาราคนนั้น อาจจะมีการถ่ายรูปเพื่อขึ้นป้าย หรือถ้าไม่ได้ให้มากนักก็อาจจะเป็นแค่การขอให้ลงรูปทาง Facebook หรือ IG แล้ว tag สถานที่ ว่าวันนี้มาดูแลผิวหน้าที่นี่นะ แต่ถามว่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ไหมก็คือไม่ใช่ ยังสามารถรับงานที่อื่นได้ ถ้ามีคนมาจ้างให้เป็นพรีเซ็นเตอร์จริงจังก็สามารถไปเป็นได้โดยไม่ผิดสัญญาแต่อย่างใด แต่ตามจรรยาบรรณแล้วก็ควรมีการบอกกล่าว
หรือถ้าทำหน้าทำสวยกับสถาบันนี้ก็ไม่ควรที่จะไปทำที่อื่นเรื่อยไป ซึ่งสมัยปัจจุบันสถาบันเสริมความงามเหล่านี้ไม่ได้จ้างแค่ดาราไปทำประชาสัมพันธ์เท่านั้นแต่จะเป็นพวกเน็ตไอดอลหรือคนที่มีอิทธิพลทางด้านสื่อเข้าไปประชาสัมพันธ์สถานที่ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ยุ่งยากและเรื่องมากเท่ากับดาราที่มีสังกัด หรือมีผู้จัดการดูแลจริงจัง สัญญาก็ไม่ต้องทำ ซึ่งสมัยปัจจุบันพวกเน็ตไอดอลบางคนมียอดผู้ติดตามมากกว่าดาราระดับตัวประกอบทั่วๆ ไปซะอีก
แต่อย่างไรบุ๋มก็เชื่อว่าการจ้างดาราราคาแพงหรือมีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ไม่มีประโยชน์เท่ากับของหรือสินค้าที่มีคุณภาพ เพราะต่อให้เราซื้อของจากชื่อเสียงของดาราที่เราชื่นชอบเราก็อาจจะซื้อแค่ครั้งแรกครั้งเดียวแต่ไม่เคยที่จะซื้อซ้ำ จริงไหมคะ?
https://www.facebook.com/teeneedotcom