คุยแมนๆ แบบ ‘ป๊อก จิราธิวัฒน์’ หัวใจให้มาร์กี้คนเดียว
หน้าแรกTeeNee บันเทิงดารา ข่าวดารา, ข่าวบันเทิง ดาราไทย คุยแมนๆ แบบ ‘ป๊อก จิราธิวัฒน์’ หัวใจให้มาร์กี้คนเดียว
คุยแมนๆ แบบ ‘ป๊อก จิราธิวัฒน์’ ติดดิน กินอยู่ง่าย แต่หัวใจให้มาร์กี้คนเดียว
ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ ทายาทนักธุรกิจรุ่นที่ 3 แห่งอาณาจักรเซ็นทรัล ชื่อนี้คงไม่ต้องแนะนำกันมากมายนักว่าเป็นใครมาจากไหน เพราะที่ผ่านมาเขาถูกสื่อต่างๆ จัดให้เป็นหนุ่มไฮโซเนื้อหอมอันดับต้นๆ ของประเทศมานานแล้ว จนทำให้หลายคนมองว่าเขาคงไม่ต่างอะไรจากผู้ชายรูปหล่อพ่อรวยที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เขาเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า และแบดบอยอย่างที่ใครๆ คิดหรือไม่ Exclusive Talk โดยแพรวดอทคอมวันนี้จะเข้าไปคุยให้กระจ่างกับหนุ่มคนนี้ทุกเรื่องกันไปเลย
เกิดเป็นลูกเจ้าสัวสุทธิเกียรติ มีคุณแม่เป็นอดีตนางงามจักรวาลคนแรกของไทย (คุณอภัสรา หงสกุล) ไม่ว่าจะทำอะไรชื่อของป๊อกจึงถูกพูดถึงจากสื่อต่างๆ ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก จนวันนี้เป็นหนุ่มวัย 28 ปี มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตที่จริงจังมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เกิดจากการหล่อหลอมของคุณพ่อของเขานั่นเอง
ป๊อกสนิทกับคุณพ่อ หรือคุณแม่มากกว่ากัน
ป๊อก : สนิทพอๆ กันครับ ส่วนใหญ่กับคุณแม่ผมจะชอบปรึกษาเรื่องทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้ซีเรียสมาก แต่กับคุณพ่อผมส่วนใหญ่จะปรึกษาท่านเรื่องอนาคต เรื่องเรียนมากกว่า ผมเองนอนกับพ่อตั้งแต่เด็กๆ เขาจะพูดกับผมตลอดเวลาว่าครอบครัวเราทำงานอะไร ตั้งแต่ผมจำความได้หลังกลับจากโรงเรียนก็จะต้องไปเดินตรวจงานกับท่านก่อนกลับบ้านทุกวัน
ในช่วงวัยเด็กของป๊อก คุณพ่อมีวิธีสอนเรายังไงบ้าง
ป๊อก : เขาจะพูดกับผมเสมอว่าต้องรู้ตัวเองว่าเราเป็นใคร เราไม่ได้ใหญ่มาจากไหนนะ เพราะสมัยก่อนครอบครัวเราก็เริ่มจากที่ไม่มีอะไรเลย คุณปู่มาจากจีนตัวเปล่า มาสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง ส่วนคุณพ่อท่านก็เล่าว่าตอนเด็กๆ ลำบากมากท่านอยากให้ผมรู้ว่ากว่าจะมีวันนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย อยากให้ให้ลูกหลานรู้คุณค่า ไม่ใช่เกิดมาแล้วสบาย ไม่ต้องทำอะไรเลย ชีวิตมันไม่ใช่อย่างนั้น เวลาผมจะทำอะไร ท่านเลยอยากให้ผมตั้งใจทำให้เต็มที่ที่สุด อย่างตอนที่ผมไปสอบ หรือทำงานอะไรก็แล้วแต่ ท่านก็จะถามแค่ว่าเต็มที่หรือยัง ไม่เคยถามว่าทำได้ดีไหม คือถ้าทำสุดๆ แล้วท่านจะแฮปปี้มากกว่า ไม่ใช่ว่าดูที่ปลายทางอย่างเดียว
แสดงว่าการเกิดเป็นลูกเจ้าสัวบ้านนี้ไม่ได้ถูกตามใจเท่าไหร่
ป๊อก : เอาจริงๆ ตั้งแต่เด็กเวลาผมไปโรงเรียน ผมยังได้เงินไปกินวันละ 20 บาท เอาไว้ซื้อน้ำกับขนมเหมือนเด็กคนอื่นแค่นั้นเอง และค่อยๆ เพิ่มตามระดับชั้นเป็น 40-50 บาทเหมือนคนทั่วไป สุดท้ายเต็มที่ก็ 80 บาท ไม่ถึงร้อยอยู่ดีครับ พอโตขึ้นมาวันนี้คุณพ่อก็ไม่ได้ให้เงินผมมาหลายปีแล้ว ต้องทำงานหาเงินใช้เอง รถที่ผมมีขับอยู่ตอนนี้ก็เป็นเงินจากการทำงานของผมเองด้วยเหมือนกัน
ทราบมาว่าหลังจากเรียนจบจากบอสตัน คุณพ่อก็ให้เข้าไปฝึกงานที่บริษัทด้วย
ป๊อก : จริงๆ ตอนที่อยู่เมืองนอก พอปิดเทอมผมก็กลับมาฝึกงานกับที่บ้านอยู่แล้ว ขายน้ำในห้างก็เคยทำ (ยิ้ม) แต่หลังจากเรียนจบผมก็ไปฝึกงานที่ธนาคารก่อน เพราะผมจบเศรษฐศาสตร์มา หลังจากนั้นถึงไปฝึกงานที่บางกอกโพสต์อยู่ 3 ปี ตอนนั้นก็เริ่มต้นทำ M2F กับพี่เขยด้วยครับ เป็นงานที่ผมรู้สึกภูมิใจมากๆ เพราะเราได้ร่วมมือกันทำทุกขั้นตอน จนทุกวันนี้กลายเป็นรายได้หลักของบริษัทไปแล้ว การมาฝึกงานที่นี่ทำให้ผมได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำหลายอย่าง ทั้งส่งหนังสือพิมพ์ ขายโฆษณา และการเป็นนักข่าวอาชญากรรม เป็นประสบการณ์ที่คุ้มมาก หาที่ไหนไม่ได้แล้วครับ
ได้ไปลงพื้นที่ทำข่าวอาชญากรรมเหมือนนักข่าวคนอื่นๆ ด้วยใช่ไหม
ป๊อก : ใช่ครับ งานแรกเลยไปทำข่าวบุกจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติที่ต้มตุ๋นหลอกเอาเงิน ตอนนั้นคือทุกคนก็รีบออกไปทำข่าว คุยกันโหวกเหวกตลอด ทุกคนก็ “โอเค ออกๆ ได้แล้ว” (พยายามตั้งใจเล่ามาก) ในรถจะมีพี่คนขับซึ่งจะคอยฟังเสียง ว.ของตำรวจ มีพี่ช่างภาพ และผมที่จะต้องเป็นคนจดข้อมูลเอาไปเขียนเป็นข่าว พอขึ้นรถปุ๊ป พี่เขาก็บอกว่า โอเคป๊อก! เดี๋ยวพอถึงแล้ว ป๊อกรอก่อนนะแล้วค่อยตามเข้าไป ผมก็อ่าวทำไมอ่ะ พี่เขาก็บอกเกิดมันยิงสวนออกมา (ทำหน้าตกใจ) และนั่นเป็นงานแรกที่ผมแบบห๊ะ! มียิงกันด้วยหรอ...สุดท้ายก็ไม่มีอะไรรุนแรงครับ ส่วนอีกเหตุการณ์ที่เห็นแล้วอึ้งเหมือนกัน คือตอนไปทำข่าวฆ่าหั่นศพที่ตลาดสี่มุมเมือง ผมเห็นแขนที่ถูกตัดตัดวางอยู่ต่อหน้าเลย...
ท่าทางก็สนุกกับงานที่บางกอกโพสต์ อยู่ดีๆ ทำไมถึงออก
ป๊อก : ผมมีอีกสิ่งนึงที่ชอบ และอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กก็คือดนตรี และศิลปะ ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่อยากเรียนอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำ แต่ที่จบเศรษฐศาสตร์นี่เพื่อพ่อเลยครับ เพราะเข้าใจว่ายังไงเราต้องเอาความรู้ตรงนี้มาใช้กับการสานต่องานที่บ้าน แต่วิชารองผมก็ยังเรียนดนตรีได้ ทำเพลง แต่งเพลงโพสลงยูทูปไปด้วย จนกระทั่งไปถึงหูของพวกพี่ๆ ไทเทเนียม มันเลยเริ่มจริงจังขึ้น วันนึงเลยคิดว่าออกจากงานก่อนดีกว่า จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่เราชอบ เพราะตอนนั้นผมก็มีแพลนที่จะทำธุรกิจของตัวเองด้วย แต่การจะออกมาทำอะไรเองก็ต้องมีเหตุผลที่ดีพอด้วย ผมเลยบอกพ่อว่าจะเรียนต่อโทเป็นข้ออ้าง เพราะตอนแรกได้ยินมาว่าเรียนที่ศศินทร์ จุฬาฯ ไม่ได้หนักมาก จะได้มีเวลาออกมาทำในสิ่งที่ชอบก่อน แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่ใช่อย่างที่คิดเลยครับ (หัวเราะ) ทำงานที่บริษัทเผลอๆ ยังมีเวลามากกว่านี้อีก
ธุรกิจที่ทำเห็นว่ามีทั้งร้านเสื้อผ้า และเครื่องดื่ม
ป๊อก : ใช่ครับ ผมทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งเปิดร้านเสื้อผ้าที่ออกแบบเองร้านอยู่ที่สยามครับ เป็นสไตล์ที่ผมใส่ และธุรกิจน้ำดื่ม Energy Drink ผมทำกับเพื่อนที่เรียนจบมาจากบอสตันช่วงเริ่มต้นมันยากมากกก...(ทำหน้าตาจริงจัง) ผมทำกันเองหมดทุกอย่างเลยทั้งแพ็คของ ออกบูธ ไปขายในร้านท็อปส์ ขนาดอาร์ตเวิร์คก็เป็นคนช่วยทำ เพราะพนักงานมี 2 คน ที่เหลือคือเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกัน (หัวเราะ) เหนื่อยมากครับ แต่ก็คุ้ม เพราะได้เรียนรู้ทุกอย่างจริงๆ ผมคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้เก็บประสบการณ์ คือถ้าผมโกยความรู้จากตรงนี้ได้มากที่สุด วันนึงที่ผมต้องกลับไปทำงานให้ที่บ้านจะได้มีวิชาเยอะขึ้นให้กับตัวเอง ส่วนเรื่องเรียนโทก่อนหน้านี้หนักมากเหมือนกัน ทำหลายอย่างมันเลยดูเยอะ แต่ผมสู้นะ นี่ก็เหลืออีกแค่ตัวเดียวเดือนหน้าก็จบแล้ว (ยิ้ม)
จัดสรรเวลาให้ตัวเองยังไง ทำงานเยอะขนาดนี้
ป๊อก : ผมจะเอาเรื่องเรียนเป็นหลักก่อนเพราะมันแก้อะไรไม่ได้ ต้องล็อคตารางไว้ตายตัวเลย แล้วค่อยเอางานอย่างอื่นมาเติมเต็มให้มันลงตัวที่สุด ก็เหนื่อยครับ เสาร์- อาทติย์ก็ไม่ได้พัก สมมติเรียนบ่ายโมง เลิกสี่โมงครึ่ง ผมก็เข้าออฟฟิศตัวเองต่อ แต่วันเสาร์-อาทิตย์นี่แหละ ที่ผมจะเผื่อเวลาเอาไว้ไปทานข้าวกับพ่อแม่ด้วย และผมก็ติดออกกำลังกายอีก อย่างน้อยๆ ชั่วโมง-ชั่วโมงครึ่งก็ต้องมีไปบ้าง ทำแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ 2-3เดือนมานี้ไปทำงานไปเที่ยวด้วยแล้วกินเต็มที่เลย จนต้องกลับมาออกกำลังกายให้มากขึ้น เพราะตอนนี้น้ำหนักมันขึ้นมา 5 โลแล้วครับ (หัวเราะ)
ตัวป๊อกเองจริงๆ แล้วไม่มีอะไรที่ขาดเลย แบบนี้เคยมีเรื่องอะไรที่ตัวเองผิดหวังบ้างไหม
ป๊อก : ทุกอย่างมีเหมือนคนปกติครับ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ทำงานผิดก็คือผิด เหมือนทุกคนที่ทำ เราก็มีเซ็งบ้าง แต่มันก็เป็นประสบการณ์ ตั้งแต่เด็ก เวลาเจอปัญหา คุณพ่อจะบอกเสมอว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาเพื่อการเจอสิ่งที่ดีกว่า จะล้มเหลวเศร้าโศกแค่ไหนสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันจะทำให้เราแข็งแรง และเราจะได้เรียนรู้ว่าวันหน้าจะไม่ล้มตรงที่เดิมอีกแล้ว ทุกวันนี้สิ่งที่ผมทำอยู่ คุณพ่ออาจจะยังมีคำถามว่าที่ทำไปมันคุ้มไหม ผมก็อยากจะบอกเลยว่ามันคุ้มนะครับ เพราะสิ่งที่ผมได้มาทุกวันนี้คือมันไม่ใช่แค่เงินทองอะไร แต่มันคือประสบการณ์ที่ผมอยากโกยให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ตอนนี้อายุยังไม่มากยังมีแรงทำอยู่ก็ต้องทำ จะได้ไม่มาคิดเสียดายทีหลัง สุดท้ายผลจะเป็นยังไง มีอะไรผมทำหมดครับ อย่างเรื่องการเป็นนักร้องผมก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเข้ามา แต่ในเมื่อมันเป็นโอกาส ผมคิดว่าจะไม่ปฏิเสธอะไรดีกว่า เพราะถ้าผมไม่ทำ ก็จะตอบตัวเองไม่ได้ว่าเรารู้สึกยังไงกับมัน
“ผมอาจจะเป็นคนที่ไม่เชื่อ หรือตัดสินอะไรง่ายๆ ดื้อเหมือนกันครับ ฟังนะ แต่ไม่เชื่อ ขอเจอด้วยตัวเองก่อน”
ยอมรับว่าตัวเองดื้อแบบนี้เคยมีวีรกรรมอะไรบ้างไหม
ป๊อก : ไม่ค่อยมีอะไรครับ เห็นผมลุคแบบนี้แต่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ทำอะไร ก็ทำให้ได้หมดครับ เรื่องเรียนอยากให้เลือกเศรษฐศาสตรฺผมก็เรียนให้เกรดออกมาดีที่สุด คือจะไม่ค่อยมีปัญหาเพราะผมกับพ่อจะคุยคนละครึ่งทางประนีประนอมกันด้วยเหตุผลมากกว่า
แต่คนภายนอกมองว่าป๊อกดูเป็นลุคผู้ชายแบดบอย แถมสื่อยังให้ฉายาว่าเป็นหนุ่มไฮโซเนื้อหอมด้วย รู้สึกยังไงบ้าง
ป๊อก : อืม... อย่าพูดว่าผมเป็นไฮโซเลยครับผมเกลียดคำนี้มาก และเรื่องข่าวก็เพิ่งมามีตอนนี้นะครับ ถ้าช่วงก่อนก็สมัยผมยังเด็กๆ เลยนะ แวบเดียวผมก็หายไปเลย ส่วนเรื่องที่ใครจะมองผมยังไงผมเฉยๆ นะ เพราะเราห้ามความคิดใครไม่ได้อยู่แล้ว เขามองเราแบบนี้ ยังไงเขาก็มองเราแบบนี้อยู่ดี คนที่ได้เจอคลุกคลีกับผมจริงๆ จะรู้ว่าผมเป็นแบบไหน ความจริงก็จะรู้กันเอง ไม่ต้องไปเปลี่ยนความคิดอะไรของเขาหรอกครับ จริงๆ ผมเป็นคนง่ายๆ ขึ้นเรือคลองแสนแสบ นั่งรถเมล์ ผมก็ไป อาจจะเพราะพ่อสอนให้ผมเป็นแบบนี้ บวกกับผมไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกด้วยตัวเองแต่เด็กด้วย เพราะต้องทำอะไรทุกอย่าง ชีวิตผมเลยไม่ยุ่งยากอะไรก็ได้ครับ
ช่วงนี้พอมีข่าวกับสาวๆ รู้สึกชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม เพราะคนก็จับตามองเรามากขึ้นด้วย
ป๊อก : โห..กระแสข่าวล่าสุดผมมีสาวเดียวนะครับ ไม่ใช่สาวๆ (ยิ้ม)
รู้สึกยังไงบ้างที่ช่วงแรกๆ มีข่าวว่าเราคุยกัน แฟนคลับของน้องเขาไม่ชอบเรา
ป๊อก : ก็ไม่ไงครับ คนคิดว่าเราเป็นแบบนั้น แบบนี้ บอกว่าดูสิเป็นลูกคนนั้นคนนี้ ก็เห็นแค่นั้น เลยคิดแบบนั้นเป็นเรื่องปกติครับ เฉยๆ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรครับ ทุกอย่างโอเคดี
สื่อถามมาเยอะแล้วว่าตอนนี้คบกันในฐานะอะไร ยังเป็นคำตอบเดิมอยู่ไหม หรือเรียกแฟนได้แล้ว
ป๊อก : ก็สนิทที่สุด มีความสุขดีครับ (หน้าตามีเขินนิดๆ)
เห็นว่ารู้จักกันมานานแล้ว จริงๆ ปิ๊งเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลยหรือเปล่า
ป๊อก : ใช่ครับ แม่ของเราสองคนรู้จักกัน เลยเคยเจอกินข้าวกันมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้สนิท สมัยนั้นที่เจอกันไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันด้วยซ้ำ เขาเห็นผมก็คิดเหมือนที่คนอื่นคิดนี่แหละว่าผมนี่แบบนะ เราเองก็อืม.. พวกดาราอะไรแบบนี้...แต่พอมันได้มาเจอสนิทมากขึ้นก็รู้ว่าแต่ละคนตัวตนเป็นยังไง เลยสนิทกันมากขึ้นเป็นธรรมดาครับ และทุกอย่างก็เป็นธรรมชาติดี
คิดว่าน้องเขามีอะไรถึงทำให้เราประทับใจ และไปกับเราได้
ป๊อก : เขาขยันมากครับ ไม่เคยเกี่ยงงานเหมือนกับผม และก็เป็นคนที่ติดดินเหมือนกัน ผมเองเวลาจะไปกินอาหาร ผมอาจจะกินที่โรงแรมหรือข้างถนนก็ได้ เขาเองก็ได้ด้วย มันเลยมีไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ทำอะไรได้ทุกอย่าง
“ที่สำคัญเขาเป็นคนจิตใจดี เป็นคนดีคนนึงเลยแหละ”
ทางคุณแม่น่าจะเคยเจอแล้ว คุณพ่อล่ะเคยเจอน้องเขาหรือยัง
ป๊อก : เจอแล้วครับ ทุกอย่างโอเค แฮปปี้ ปกติดีครับ
ตอนนี้อายุ 28 วางแผนอนาคตหรือยังว่าอยากจะแต่งงานเมื่อไหร่
ป๊อก : อยากมีนะครับ เพราะพ่อแม่ผมอายุเริ่มเยอะแล้ว และผมเรียนจบ ทำงานทุกอย่างให้ที่บ้านเห็นหมดแล้ว เหลือครอบครัวของเราเอง ก็อยากมีหลานให้พ่อแม่เล่นแก้เหงา คงเป็นภารกิจสุดท้ายครับ กะว่าซัก 30 ต้นๆ ก็น่าจะอยากมีแล้วครับ จริงๆ คิดไว้แต่เด็กแล้วตอนนี้มันใกล้ตัวมากขึ้น ก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันครับ (ยิ้ม)
แล้วเรื่องงานมีแพลนอะไรอีกไหม เพราะวันนึงก็ต้องกลับไปสานต่อธุรกิจที่บ้าน
ป๊อก : เรื่องนี้ถือเป็นอิชชู่ระหว่างผมกับคุณพ่อเลย (หัวเราะ) เขากลัวมากว่าผมจะสนุกกับงานตัวเองจนอยู่ได้ แล้วไม่กลับไป แต่อย่างที่บอกเราเจอคนละครึ่งทางครับ ฝั่งคุณพ่ออยากให้ทำอะไรผมก็จะทำให้ได้ แต่ถ้าผมอยากทำอะไรก็ต้องให้ผมทำเหมือนกัน เรื่องทีจะกลับไปทำงานให้พ่อ ยังไงก็ต้องกลับอยู่แล้วครับ มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องตอบแทนพ่อที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้อยู่แล้ว แต่ขอเวลาตรงนี้อีกนิดนึงอายุไม่เกิน 30 ผมก็คงกลับไป แต่สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้วันข้างหน้าถ้ามันยังโอเค ก็จะทำคู่กันไปด้วย อันไหนใช่ไม่ใช่มันจะค่อยๆ ตัดออกจนเหลือสิ่งที่ใช่ที่สุดเอง และมันก็จะมีส่วนที่เหลือสำหรับให้ผมได้มีไว้ในอนาคตข้างหน้าที่จะต้องเข้าไปทำงานกับที่บ้านมาก ส่วนเรื่องจะไปทำอะไร เอาเป็นว่าผมจะเลือกสิ่งที่ใกล้เคียงกับตัวเองที่สุด ซึ่งก็คงเป็นโรงแรม กับสื่อ เพราะตั้งแต่เกิดผมไม่เคยอยู่บ้านเลย พ่อพาเข้าโรงแรมตลอด และซึมซับทุกวันถึงจะไม่ได้เรียนจบด้านโรงแรมมา แต่มันรู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นยังไงจากประสบการณ์ที่พ่อให้ เลยคิดว่าน่าจะใกล้ตัว แต่บางกอกโพสต์ คือเราเคยไปทำมาแล้ว ก็คุ้นเคยกับทุกคนที่นั่นดี ก็เดี๋ยวลองดูครับว่าจะไปที่ไหน
ทุกอย่างที่เป็นป๊อกในวันนี้ มีใครเป็นต้นแบบไหม
ป๊อก : คุณพ่อนี่คือที่สุดแล้วครับ ทุกวันนี้ผมยังเห็นเขาทำงานทุกวัน สมองคิดแต่งาน
การเป็นลูกคนดังนอกจากเราเห็นความเก่งของพ่อแม่แล้ว มีเรื่องอะไรไหมที่เรารู้สึกห่วงเป็นพิเศษหรือเปล่า
ป๊อก : คุณพ่อทำงานหนักมากครับ ไม่ค่อยมีเวลาว่างหรือไปเที่ยวไหนและแทบจะไม่ใช้ตังเลย เป็นเรื่องแปลกมาก บางทีผมรู้ว่าเขาอยากได้รถที่เขาชอบ บอกให้ซื้อยังไม่ซื้อเลยครับ คืออายุขนาดนี้แล้วอยากให้เขาได้ใช้เงินซื้อความสุขบ้าง แต่เขาก็บอกใช้ทำไมฟุ่มเฟือย เก็บไว้ให้เราให้ลูกหลานได้มีความสุขดีกว่า ผมก็งงๆ กับเขาเหมือนกันนะ เพราะเขาทำงานหนักขนาดนี้ มันถึงเวลาที่เขาควรจะสปอยส์ตัวเองใช้ชีวิตให้มีความสุขบ้างก็เขาน่าจะมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ให้คนใหม่ๆ ลูกหลานไปปวดหัวกับงานแทนดีกว่า เขาปวดหัวมาเยอะแล้ว ควรจะหาความสุขให้ตัวเอง คิดดูนะครับเสื้อผ้าก็ใส่เดิมๆ ถ้าถอดเสื้ออกมานี่ ขาดเป็นรูหมดแล้วนะครับ กางเกงก็ชุนแล้วชุนอีก ส่วนแม่ก็ไม่ใช้ตังเหมือนกัน
ตัวตนจริงๆ กับภาพลักษณ์ภายนอกของหนุ่มคนนี้ แม้ว่าจะดูขัดแย้งกันไปบ้าง แต่เชื่อว่าถ้าใครได้อ่านเรื่องของเขาจนจบบรรทัดสุดท้าย
จะไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ผู้ชายคนนี้ถึงสามารถกุมหัวใจสาวสวยอย่างมาร์กี้ได้...
ขอบคุณ :: praew.com
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
https://www.facebook.com/teeneedotcom