ญาญ่า เรียนให้ดี ทำงานให้เด่น

หน้าแรกTeeNee บันเทิงดารา ข่าวดารา, ข่าวบันเทิง ดาราไทย ญาญ่า เรียนให้ดี ทำงานให้เด่น

ข่าวดาราล่าสุด star.teenee.com
บันเทิงดารา entertain.teenee.com

นาทีนี้ถ้าพูดถึงดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการบันเทิง

แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ติดโผอยู่ด้วยแน่ ๆ เธอกลายเป็นสาวฮอตในเวลาอันรวดเร็ว เล่นละครเรื่องใดก็เรียกเรตติ้งได้กระหน่ำไม่แพ้ดารารุ่นพี่ วันนี้ญาญ่ามีนัดกับ “ดาวต่างมุม” มาอัพเดทเรื่องราวในชีวิตทั้งการทำงาน การเรียน ความรัก ให้ได้อ่านกันแบบเจาะลึกจริง ๆ

ช่วงนี้มีผลงานอะไรบ้าง?

ตอนนี้มี “ตะวันเดือด” ที่กำลังจะจบ แล้วก็กำลังถ่ายเรื่อง “เกมร้ายเกมรัก” และเพิ่งเปิดกล้อง “ธรณีนี่นี้ใครครอง” ค่ะ คิวแน่นเลยค่ะ เพราะว่าเรียนด้วยไงคะ เปิดเทอมแล้ว วันที่เรียนก็ไปเรียนค่ะ วันที่ถ่ายละครก็ไปถ่ายละคร คือมีการแพลนไว้หมดแล้วค่ะ อย่างวันจันทร์ อังคาร พุธ มีถ่ายตอนเช้า แล้วก็ไปเรียน แล้วก็กลับไปถ่ายอีก วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไปถ่าย “ธรณีฯ”ค่ะ

งานเยอะแบบนี้มันหนักไปไหมสำหรับวัยของเรา?

มันไม่หนักไปหรอกค่ะ ตอนนี้ยังสดชื่นดี เพราะพลังงานเยอะ รู้สึกแฮปปี้กับงานมาก ๆ ค่ะ อยากไปทำงาน ทำงานแล้วสนุกค่ะ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อการเรียนบ้าง แน่นอนค่ะ (หัวเราะ) เพราะไม่มีเวลาทำการบ้านเลยค่ะ แล้วก็ไม่ค่อยทันเพื่อนด้วย แต่ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไรก็จะเอาหนังสือขึ้นมาอ่าน คอมพิวเตอร์หนูไม่ได้แตะมาเป็นเดือนแล้วค่ะ รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย เพราะพักผ่อนน้อยกว่าปกติ แต่จริง ๆ มันก็ไม่ได้เหนื่อยมากเท่าไรค่ะ มันก็ต้องมีขาดเรียนบ้าง เพราะไปถ่ายละคร ซึ่งละครทุกเรื่องก็ถ่ายต่างจังหวัดหมดเลย หนูจะเอาโน้ตจากครูมาอ่านอีกทีค่ะ ตอนนี้ก็เรียนที่คณะอักษรศาสตร์ ภาคอินเตอร์ จุฬาฯ เอกภาษาสเปนค่ะ

ทำไมเลือกเรียนภาษาสเปนล่ะ?

ตอนนี้ภาษาในโลกที่คนใช้เยอะมีภาษาอังกฤษ และภาษาจีน แต่มีคนบอกไว้ว่าต่อจากนี้จะเป็นภาษาสเปนค่ะ เพราะสเปนเริ่มเป็นภาษาสากลแล้ว ตอนหนูเรียนไฮสคูลได้เรียนภาษาฝรั่งเศส รู้สึกว่าคล้ายกันมากเลยค่ะ หนูคิดว่าถ้าหนูต้องมาเรียนภาษาจีนหรือญี่ปุ่นนี่คงตายแน่ เพราะต้องเริ่มจากศูนย์ (หัวเราะ) อีกอย่างภาษาสเปนเป็นภาษาที่โรแมนติกมากเลยค่ะ เพราะมีคำเยอะมากเลยที่แปลในภาษาไทยหรือภาษาอื่นไม่ได้ แต่มันเกี่ยวกับความรัก ฟังแล้วก็เพราะค่ะ ก็เพิ่งเริ่มเทอมนี้ สนุกดี แต่ก็ยากนะคะ หนูมีชื่อสเปนด้วยค่ะ อาจารย์ตั้งให้ทุกคนหนูชื่อ เอสเมอเราด้า ค่ะ

มีช่วงไหนไหมที่รู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย อยากพักบ้าง?

ถ้าไม่อยากเรียนเหรอคะ ไม่มีค่ะ เพราะหนูอยากไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อน ๆ ถือว่าได้ผ่อนคลายค่ะ แต่ตอนที่ไปทำงาน ถ้าต้องตื่นเช้ามากแบบตี 3 ไม่ค่อยอยากจะตื่นค่ะ จะขออีก 5 นาทีนะ ตอนที่นั่งอยู่ในรถก็รู้สึกเหนื่อยจังเลย แต่พอไปถึงกองถ่าย พลังก็กลับมา สนุกค่ะ แล้วทุกคนในกองฯจะเป็นกำลังใจให้ตลอด มันเลยไม่เหนื่อยค่ะ

รู้สึกอย่างไรที่คนมองเราว่าเป็นสาวฮอต?

จริง ๆ แล้วหนูไม่ได้ฮอตหรอกค่ะ (หัวเราะ) ถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่ดีมาก ๆ ที่ลูกค้าผลิตภัณฑ์เลือกหนูมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ละครก็มีต่อเนื่อง ถือว่าโชคดีมากกว่าค่ะ

แบบนี้จะรักษามาตรฐานในการทำงานของเราอย่างไร?

หนูให้เต็มร้อย ร้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยค่ะกับทุก ๆ งาน จะคอยดูผลงานที่ออกมาตลอดว่าตรงนี้ดีหรือยัง ต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง ซึ่งเป้าหมายของหนูคือการที่ทุกคนยอมรับว่าหนูเป็นนักแสดงที่มีฝีมือค่ะ อุปสรรคที่ใหญ่มากในตอนนี้คือเรื่องภาษาค่ะ แต่เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นเยอะเลย เพราะไปเรียนก็มีแต่เพื่อนคนไทย ได้ใช้ภาษาไทยมากขึ้น แต่ยังไม่ชัดนัก ยิ่งเวลาที่ต้องเล่นบทที่ใช้อารมณ์เยอะ ๆ บางทีเสียงยังเพี้ยน ๆ

แต่หนูว่ามันก็ดีขึ้นนะ เพราะเวลามีคนมาเล่นมุก หนูเริ่มเข้าใจแล้ว ไม่เหมือนตอนแรกที่จะขำตามเขาไปก่อน แล้วมานั่งนึกว่าตรงนี้แปลว่าอะไร หรืออย่างตอนนี้เวลาอ่านบทก็ไม่ได้ใช้เวลานานมากในการทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวละครว่าเป็นแบบนี้นะ หนูอ่านบทเป็นภาษาไทยค่ะ ซึ่งทักษะการอ่านจะดีกว่าการพูด อ่านได้คล่องเลย แต่อาจจะมีบางคำที่มันลึกซึ้งเกินกว่าที่หนูจะเข้าใจก็เลยต้องอ่านซ้ำหลาย ๆ ครั้งค่ะ

เข้าวงการมาได้ 3 ปีแล้ว มองวงการบันเทิงเหมือนกับที่คิดไว้ตอนแรกไหม?

หนูไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้เลยค่ะ เพราะฉะนั้นไม่รู้เลยค่ะว่าตรงนี้มันจะเป็นยังไง แต่พอเข้ามาแล้วรู้สึกว่ามันเป็นครอบครัวมากเลยค่ะ หนูเริ่มต้นจากการเป็นนางแบบ ตรงนั้นก็จะเป็นครอบครัวของนางแบบ แฟชั่นนิสต้า พอเข้ามาถ่ายละครก็เป็นครอบครัวของนักแสดง รู้สึกว่าตอนนี้หนูมีหลายครอบครัวเลยค่ะ มีบ้านหลายบ้านค่ะ

ดารากับข่าวเป็นของคู่กัน มองเรื่องนี้อย่างไร เพราะบางครั้งเราก็ตกเป็นข่าวเอง?

จริง ๆ แล้ว หนูไม่ค่อยได้อ่านข่าวไทยเท่าไรค่ะ ตอนนั้นคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่นะคะ แค่ตอบคำถามนั้นคำถามนี้ ตอนนี้หนูเข้าใจแล้วค่ะว่าบางทีมันก็ตอบยาก ต้องคิดให้ละเอียด และหนูคิดว่าเราควรให้เกียรติพี่ ๆนักข่าวด้วย เพราะเหมือนเป็นการพึ่งพากันค่ะ

เคยโดนถามแรง ๆ แล้วรู้สึกโมโหไหม?

ไม่มีนะคะ เพราะเวลาถูกสัมภาษณ์ หนูจะตื่นเต้นมากเลยค่ะ สมองช่วงนั้นมันจะหยุดนิ่งเลย อาจจะพูดเรียงคำผิด ๆ ถูก ๆ แล้วหนูจะเสียวมากเลยเวลาที่แปลความคิดจากภาษาอังกฤษเป็นไทย บางครั้งคำในสมองที่เป็นภาษาอังกฤษดูดีเชียว แต่พอพูดเป็นไทยออกไป อ้าว ทำไมพูดแบบนี้ มาดูตัวเองทีหลังแล้วตลกค่ะ หนูเลยเป็นคนที่ตอบคำถามอาจไม่ตรงประเด็นเท่าไร (หัวเราะ) วนไปวนมาตลอด แล้วยิ่งถ้าเป็นรายการสด สัมภาษณ์สดหนูจะตื่นเต้นมาก เหงื่อจะออกเยอะมากเลยจากปกติที่ไม่ค่อยมีเหงื่อ

ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งที่ถูกเลี้ยงดูแบบไหน?

ผสมทั้ง 2 วัฒนธรรมค่ะ คุณพ่อเป็นฝรั่งจะสอนแนวฝรั่งเลย คุณแม่เป็นคนไทยก็สอนแบบไทย แต่ไป ๆ มา ๆ คุณพ่อก็หันมาสอนแบบไทย โดยเฉพาะเรื่องการมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ อ่อนน้อมถ่อมตนแบบผู้หญิงไทยค่ะ และคุณพ่อจะเน้นว่าให้เรามีความคิดเป็นของตัวเอง อย่างทำผิดโดนดุ คุณพ่อบอกถ้าอยากเถียงก็เถียงได้ หนูชอบความเป็นผู้หญิงไทยที่งดงาม ชอบการไหว้ มันดูเป็นการเคารพผู้ใหญ่ดีค่ะ

ที่บ้านเข้มงวดมากน้อยแค่ไหน?

เข้มงวดนะคะ คือไปไหนไม่ได้ (หัวเราะ) ตอนได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ผู้หญิง อย่างไปดูหนัง หนูจะนั่งอยู่ข้างหน้า คุณพ่อคุณแม่ก็จะนั่งอยู่ข้างหลัง คือไปไหนไปด้วยกันตลอด แต่ไม่ได้เข้มงวดอะไรมากนะคะ ยังพอลั้นลาได้บ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องการเรียน คุณพ่อกับคุณแม่เข้มงวดมากเลยค่ะ เพราะจะสอนมาตลอดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการศึกษา ตอนทำการบ้านก็ต้องนั่งทำให้เสร็จ แล้วจึงเป็นอิสระทำอะไรก็ได้ค่ะ

แล้วพอเข้าวงการบันเทิง ที่บ้านมีวางกฎอะไรไหม?

หนูเข้ามาตอนที่หนูยังอยู่มัธยมอยู่เลยค่ะ ช่วงนั้นเรียนหนัก คุณพ่อบอกว่าถ้าสอบไม่ผ่านต้องเลิกทำงาน หนูรู้สึกว่ามันเป็นการกดดันที่ดีมากเลยค่ะ เพราะเกรดหนูดีขึ้นด้วยนะ มันเหมือนเป็นการผลักดันตัวเองเยอะเลยค่ะ รู้สึกว่าเราตั้งใจมากขึ้น คงเพราะอยากลองอยากทำงานตรงนี้ค่ะ

ทราบมาว่าติดคุณแม่มาก?

ติดคุณแม่ค่ะ แบบว่าเป็นกำลังใจไงคะ บางครั้งที่รู้สึกไม่มั่นใจก็จะหันไปมองคุณแม่ว่าโอเคไหม คุณแม่ก็บอกโอเค ๆ อย่างตอนถ่ายแบบ คุณแม่จะยืนอยู่ด้านหลัง หนูมองไปถามคุณแม่ว่าโอเคไหม มันช่วยเพิ่มความมั่นใจค่ะ ถ้าเป็นถ่ายละคร คุณแม่จะไปช่วยเรื่องเสียงค่ะ ก่อนเข้าฉากหนูจะอ่านบทให้คุณแม่ฟัง แต่ถ้าเป็นฉากเลิฟซีน คุณแม่ห้ามไปที่กองถ่ายค่ะ เพราะหนูเขิน (หัวเราะ)

เคยมีช่วงเวลาไหนไหมที่รู้สึกว่าไม่อยากให้คุณแม่มาคอยตาม?

ไม่มีค่ะ เพราะคุณแม่ก็ให้หนูอิสระอยู่แล้ว แต่เป็นอิสระแบบห่าง ๆ

คือทำอะไรก็ได้แต่คุณแม่ก็จะคอยมองอยู่ห่าง ๆ แต่หนูชอบนะคะที่มีคุณแม่อยู่ด้วยตลอด

มองข่าวจับคู่หรือข่าวความรักอย่างไร?

เป็นเรื่องปกติค่ะที่คนทั่วไปอยากจะรู้เรื่องส่วนตัวดารา ขนาดเราเองยังอยากรู้เลยว่าเพื่อนเรามีแฟนคนไหนยังไง มันเป็นเรื่องปกติของคนค่ะ หนูคิดว่าความรักมันเป็นอะไรที่บังคับกันไม่ได้หรอกค่ะ อย่างถ้ามีข่าวจับคู่ หนูรู้สึกดีนะคะ เพราะว่าเราคงเล่นละครคู่กัน คนเขาคงรู้สึกอินไปกับละคร ถือว่าประสบความสำเร็จด้านการแสดงค่ะ แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อย่างพี่ณเดชน์ หนูเจอพี่เขาตั้ง 7 วัน ตอนนี้เลยสนิทแบบพี่น้องไปแล้วค่ะ ไม่ซีเรียสเลยค่ะ ถือว่าเป็นกระแสละครด้วย แล้วหนูก็ไม่มีเวลาให้ใครมาจีบด้วยค่ะ

มุมมองความรักของญาญ่าเป็นอย่างไร?

ความรักเป็นอะไรที่สวยงามค่ะ ทั้งความรักที่มีต่อเพื่อนต่อครอบครัว ชีวิตนี้ถ้าไม่มีความรักมันไม่คุ้มเลยค่ะ แล้วความรักมันก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นตอนไหน ไม่รู้จะเกิดขึ้นกับใคร ต้องให้ถึงวัยที่เหมาะสมจริง ๆ ค่ะ

อยู่ที่มหาวิทยาลัยมีคนมาจีบบ้างหรือเปล่า?

ไม่มีเลยค่ะ คือหนูไปเรียนแล้วก็มาทำงานแล้วก็กลับไปเรียนไงคะ ก็เลยไม่ค่อยได้เจอใคร มีบางคนที่มาขอเบอร์ หนูก็ให้เบอร์คุณแม่ เขาก็โทรฯมาหาคุณแม่ คุณแม่ทำเสียงดุเลยถามว่าใคร เขากลัวไปเลยค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ได้ห้ามเรื่องนี้เลย อย่างที่บอกค่ะว่าความรักมันเป็นอะไรที่บังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว ต้องรอให้ถึงเวลาจริง ๆ แล้วเจอคนที่ใช่ด้วยค่ะ

มีสเปกชายในฝันไหม?

หนูไม่มีสเปกค่ะ แค่มีนิสัยดี อบอุ่น คุณพ่อคุณแม่ชอบก็โอเคแล้วค่ะ

ฝากอะไรถึงแฟนคลับหน่อย?

ขอขอบคุณมาก ๆ ค่ะที่คอยติดตามผลงานและเป็นกำลังใจให้หนู อยากให้ติดตามไปตลอด จนกว่าหนูไม่มีงานทำค่ะ (หัวเราะ) เพราะทุกครั้งที่เห็นแฟนคลับมาในงานของเรา หนูก็ดีใจว่ามีคนมาดูเราด้วยค่ะ

การคุยกันกับญาญ่าในครั้งนี้ แม้เธอจะงงกับคำถาม เพราะภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรงไปบ้าง แต่ก็ยังคงความเป็นญาญ่าที่น่ารักแบบธรรมชาติ ไม่เฟกจริง ๆ.