มรดกพุ่มพวงไม่จบ!เพชรฟ้องแหลกแม่เลี้ยง
เปิดศึกอีกรอบ “เพชร-ภัควรรธน์ พิสิษวุฒิรัชต์” แท็คทีมแฟนสาว “อ้อย-ธิดารัตน์ อรรถรัตน์” และทนายส่วนตัว “สาคร ศิริชัย” แถลงฟ้องกลับแม่เลี้ยง “โอ๊ต-สิริกร อินทร์พรหม” ข้อหาหมิ่นประมาท หลังแม่เลี้ยงใส่ความว่าไปมอบตัวกับตำรวจที่เชียงใหม่ แต่ยังไม่ขอฟ้องพ่อบังเกิดเกล้า “ไกรสร แสงอนันต์” เพื่อตรวจสอบมรดกของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” แม้จะมีสิทธิ์พึงได้ตามกฎหมาย โดยเปิดแถลงข่าววานนี้ (28 ก.ย.) ที่ เมเจอร์ ฮอลลีวู้ด รามคำแหง ห้องวีไอพีเล้าจ์
“ก่อนอื่นต้องขอบพูดก่อนว่าทุกคนคงกำลังงงว่ามันอะไรกันอีกแล้ว อยากจะบอกว่าวันที่ 26 ผมมีข่าว เพราะว่าทางแฟนพ่อให้สัมภาษณ์ว่าผมวิ่งโร่ไปมอบตัวถึงเชียงใหม่ และทางตำรวจก็ปล่อยตัวผมมาชั่วคราว ผมอยากจะบอกเลยว่าผมไม่ได้วิ่งโร่ไปมอบตัว ผมไปกับอาสาคร กับคุณอ้อยผมไปปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะต่อสู้ทุกคดีให้ถึงที่สุด และเขาก็หาว่าทำไมผมถึงไม่ไปเยี่ยมเขาที่ บ้านบ้าง ถามว่าทำไมผมไม่โทรไปหาเขาบ้าง ขนาดวันที่วัดยังขนาดนั้นและถ้าให้ผมไปหาที่บ้านจะยังไง ผมคงไม่มีวันนี้มั้งผมว่า และมีข่าวออกมาอีกว่าผมจะไปขอโทษที่บ้าน ขอโทษญาติๆ ผมก็ไม่รู้ว่ามันหลุดไปได้ยังไง ผมเลยต้องไปแก้ข่าวกันเยอะเลย
ที่ผมออกมาฟ้องต่อ เพราะเรื่องของเรื่องมันก็เกิดมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน และทีนี้ก็คือทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา และเรื่องมันก็โยนไปที่เรื่องของมรดก จริงๆ แล้วในเรื่องของมรดก ตั้งแต่ ออกมาจากบ้านผมคิดว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของมรดกเลย แต่พ่อเขามาหาว่าผมเอาเงินเขาไป 50 ล้านตอนที่ไปเรียนเมืองนอก และหาว่ายกทะเลสาปอะไรมาให้ผม ผมก็ไม่ทราบนะ เท่าที่ผมได้ยินมา แต่ผมอยากจะออกมาพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า ผมไม่ได้เอาเงินมาเลยอยากจะมาตรวจสอบ และทะเลสาปก็ไม่มีนะครับ ที่ไหนไม่ทราบครับ
ตอนแรกผมคิดว่าผมจะสร้างหุ่นและทีนี้เขาก็ถามว่าทำไมถึงไม่เอาเงินของตัว เองมาใช้ ผมก็บอกว่าผมจะเอาเงินของตัวเองมาใช้ได้ยังไง เพราะว่าทุกวันนี้ผมยังใช้เงินของแม่อ้อยอยู่เลย มันก็เลยกลายเป็นเรื่องของมรดกขึ้นมา และหลังจากนั้นเขาก็หาว่าว่าผมบ้าบ้าง เพี้ยนบ้าง โรคจิตบ้าง ผมก็ไม่รู้ทำไม เอาอย่างนี้ผมได้ไปตรวจมาแล้วผมปกติดีทุกอย่าง ไปตรวจมาที่โรงพยาบาลศิริราชครับ ผลออกมาสุขภาพจิตปกติดีหมดทุกอย่าง ซึ่งผมใช้เวลาเป็นเดือนๆ ไม่ได้ตรวจแค่วันเดียวมีใบยืนยัน และที่หาว่าผมไม่ได้เรียนผมเรียนอยู่ม.กรุงเทพ ธนบุรี บริหารธุรกิจครับ
และตอนนั้นที่คุณสิริกรเขามาหมิ่นประมาทคุณอ้อยก่อนว่า เป็นผู้หญิงที่ไม่ดี และทำให้คุณอ้อยได้เสื่อมเสียเยอะมาก ก็ยอมรับว่าผมโมโห และผมเลยว่าเขาไปว่าการที่คุณมาว่า คุณอ้อยเป็นผู้หญิงไม่ดีและคุณเช็คประวัติตัวเองหรือเปล่า ตอนเด็กๆ ผมรู้เห็นทุกอย่างว่าคุณทำอะไรบ้าง และมันก็เลยเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นครับ เราไปแจ้งความทางสน.หัวหมากก่อน และเขากำลังจะส่งหมายเรียกไปแต่ยังไม่ทันได้ทำส่ง ก็ได้หมายเรียกจากทางคุณสิริกรที่เชียงใหม่แล้ว
มีอีกเรื่องหนึ่งเรื่อง บัญชีที่จะทำหุ่นขึ้ผึ้งแม่ ชื่อบัญชีร่วมทำหุ่นพุ่มพวง และร่วมบวชน้องเพชรครับ ซึ่งมีอันนี้อันเดียวอันอื่นไม่ใช่นะครับ ของผมอยากจะบอกว่ามียอดอยู่ประมาณ 117,083.80 สตางค์ไม่มีการถอนออกเลยครับ ที่ผมไม่ออกมาพูดเพราะผมอยากให้เงียบๆ ไว้ก่อนและค่อยออกมาพูด และตั้งแต่มีข่าวออกไปก็ยิ่งมีเงินเพิ่มขึ้นเข้ามาเรื่อยๆ ผมคิดว่าน่าจะสักสามแสนก็พอแล้วครับ อย่าหาว่าผมอมนะครับ
ซึ่งผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร ขนาดหมายเรียกแรกมาเราก็ได้ส่งคำขอเลื่อนไปแล้ว และมันก็ไม่ใช่คดีที่ไปฆ่าคนตายอะไร คือทุกคนทราบอยู่ว่าผมกำลังทำงานอยู่ มันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร เขา จะจับผมให้ได้ จะฟ้องผมให้ได้เหรอ ผมอยากจะบอกว่าอย่ารังแกผมเลยดีกว่า แค่ออกมาขอโทษกับทางคุณอ้อยก็จบครับ ผมอยากจะบอกคุณพ่อให้บอกกับแฟนพ่อว่าอย่ามาทำพฤติกรรมแบบนี้เลย เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเรื่องมันก็ไม่จบไปเรื่อยๆ ครับ ผมเชื่อว่าทุกคนเขาคงเบื่อเรื่องของเราแล้วแหละ คืออยากรู้อะไรถามได้หมด เพราะว่าผมไม่ได้เป็นคนตระเวนออกรายการ แต่ผมหวังว่าไม่อยากให้มีมือที่สองสามออกมาอีก และผมรู้ว่ามีพยานเท็จก็มี”
ด้าน “อ้อย-ธิดารัตน์” แฟนสาวกล่าวว่า
“วันนี้ที่ต้องการคือเขาเป็นคนออกมาพูดให้ข่าวเองว่า เราเป็นคนไม่ดีผู้หญิงไม่ดี ซึ่งเขาก็มาฟ้องกลับเรา ซึ่งเขาพูดไปแล้ว แล้วอยู่ดีๆ เขาก็ออกมาพูดว่าเขาไม่ได้พูดนะ เราคิดไปเอง แล้วเขาก็พูดว่าเราถูกล่วงละเมิดบ้าง เป็นผู้หญิงไม่ดีเป็นเด็กใจแตก เขา พูดวันนั้นซึ่งพยานก็มีตั้งแต่ปี 49 ซึ่งเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมกับเรา บอกว่าไม่มีอะไรเข้าใจผิด พอมาวันนี้ไปบอกสื่อว่าไม่ได้พูด งั้นก็ต้องเครื่องพิสูจน์เอาเอง ซึ่งตรงนี้เราอยากให้เขาออกมาพูดและยอมรับ ยอมขอโทษ และเข้าใจว่าสื่อลงข่าวไปเพราะเป็นกลาง แค่ขอโทษจากใจก็จบแล้ว
คือจริงๆ ในความคิดอ้อยคุณไกรสรก็คือพ่อของเพชร และที่อ้อยไม่ฟ้องเพราะว่าอ้อยเห็นว่าเป็นคุณพ่อ ซึ่งจริงๆ ก็อยากให้เขามองกลับไปว่าอย่างน้อยๆ เพชรก็คือลูกของสามีเขา และที่เราไม่ฟ้องเพราะว่าทางเราก็อยากให้เกียรติเขา แต่ว่าทางนั้นเขาไม่ยอมเจรจา เพราะว่ามันเสียเวลา เราต้องเดินทางไปเชียงใหม่”
สำหรับเรื่องที่หาว่าหนู อยากดังออกมาผลักดันเพชร จริงๆ ไม่ใช่เลยบ้านตรงนี้ที่เราต้องการออกมาแค่พิสูจน์ตัวเอง เพื่อความบิรสุทธิ์ใจ ก็นานาจิตตังเราไม่สามารถไปบังคับใจใครได้ และคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เขาก็จะคิดเหมือนที่เราคิด ถ้าเขามองโลกในแง่ร้ายเขาก็คงไม่จิตบริสุทธิ์”
ด้าน ทนาย “สาคร ศิริชัย” ทนายที่มาดูแลคดีให้ กล่าวว่า
“ที่มีคดีอยู่คือทางนั้น โดนหมายเรียกแต่ไม่มา ทางตำรวจเลยกำลังจะออกหมายจับ ในส่วนคดีของเราตอนนี้ยังไม่มีการโดนหมายเรียกอะไร เพราะฉะนั้นข่าวที่ออกไปว่าน้องเพชรถูกจับหรืออะไรเราได้ทำถูกต้องทุกอย่าง เขาก็มาปรึกษาว่าจะให้ความช่วยเหลือหรือดูแลด้านกฎหมายยังไงก็เลยพามาที่สน .ภูพิงค์ราชนิเวช ซึ่งตอนนี้คดีอยู่ระหว่างการมอบตัวแล้ว พนักงานสอบสวนก็จะทำการรวบรวมสำนวนต่างๆ เพื่อส่งให้สำนักอัยการทำการฟ้องคดี มีการนัดวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งในวันนั้นเตรียมที่จะยื่นพยานหลักฐานต่างๆ ต่ออัยการจังหวัดเชียงใหม่เพื่อร้องขอความเป็นธรรมว่าเราต่อสู้อย่างไร หากไม่มีเหตุขัดข้องใดๆ ก็จะพาน้องทั้งสองไปด้วย”
สำหรับคดีที่ทนาย “สาคร” เข้ามาดูแลนั้นมีทั้งหมด 3 คดีคือ คดีที่ “สิริกร” แม่เลี้ยงเพชรฟ้องหมิ่นประมาทอ้อย ,คดีที่ “สิริกร” ฟ้องหมิ่นประมาทเพชร และคดีที่อ้อยฟ้องหมิ่นประมาท “สิริกร” พร้อมทั้งให้คำปรึกษาและดำเนินการตรวจสอบมรดกของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์
คดีทั้งหมดตอนนี้เท่าที่เพชรและน้องอ้อยมาปรึกษาอยู่ตอนนี้รวมทั้งหมดสามคดี ครับ เป็นคดีที่น้องอ้อยเองถูกแจ้งความที่สน.ภูพิงค์หนึ่งคดี เขาแยกเป็นสองคดี และคดีที่น้องเพชรโดนแม่เลี้ยงดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทในคดีที่สอง ส่วนอีกคดีหนึ่งที่น้องอ้อยมาปรึกษาคือผมดูพยานหลักฐานว่ามีอะไรที่ไม่ครบ ถ้วนเราก็จะดูให้ แต่คดีหลักๆ ที่ดูให้ก็เป็นคดีที่ฟ้องกลับไปกลับมา รวมทั้งหมดสามคดี
ส่วนที่เหลือก็คือที่น้องเพชรมาให้คำปรึกษาอยู่คือเรื่องมรดก ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าน้องเพชรมีสิทธิ์ที่จะได้ตามกฎหมายสัก เท่าไหร่ และต่อไปนี้น้องเขาสามารถยืนเองได้ ในส่วนของเขาที่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ เราแค่ต้องการเรียกร้องสิทธิ์ที่พึงได้เท่านั้น เราไม่ได้ซีเรียสว่าเราจะได้หรือไม่ได้อย่างไร
และก่อนหน้านี้มีข่าวว่าทางฝั่งนั้นเขาแถลงข่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างได้ยุติแล้วเพียงแต่ว่ามีเรื่องหมิ่นประมาทและผมได้สอบถามไป ยังเพชรปรากฏว่า มันไม่เป็นไปตามนั้น คือว่าเรื่องของคดีก็ยังไม่มีการถอนการร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน และหลังจากนั้นได้ สอบถามพนักงานสอบสวนเพิ่ม ซึ่งทางฝั่งนั้นเขาก็จะประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไปให้ถึงที่สุด เมื่อประสงค์ที่จะทำอย่างนั้นเราก็ต้องสู้ตามสิทธิของกฎหมายส่วนคดีที่เราร้องทุกข์เราก็ต้องเร่งรัดพนักงานสอบสวนให้เร่งออกหมายจับ ตอนนี้จริงๆ ได้แล้วแต่รอการตอบกลับจากไปรษณีย์
แต่ยังไงก็ตามคุณอ้อยถือว่า เป็นคนนอกครอบครัว และส่วนของเขาก็ต้องว่ากันไปตามคดีเต็มที่ แต่เพชรเองถึงจะถูกกระทบกระทั่งบ้าง เราก็ยังปรึกษากันว่าน้องเพชรเองน้องเพชรก็ยังให้ความเคารพนับถือ ไม่มีการฟ้องกรณีที่มีข้อพิพาทกันในลักษณะนี้ กรณีหมิ่นประมาทไม่มีการฟ้องเพราะยังไงก็ตามผมก็ได้ให้คำแนะนำไป"
แต่ในส่วนของคุณอ้อยเขาเป็น ผู้หญิงถ้ามาพูดในลักษณะที่เสื่อมเสียก็ต้องรักษาสิทธิ์ แต่ในทั้งนี้คดีที่ฟ้องกันอยู่หากมีคนที่ไว้ใจมาไกล่เกลี่ยกันก็สามารถยอม ความกันได้ เพราะเจตนาจริงๆ ของคุณอ้อยอยากให้เอ่ยคำว่าขอโทษเท่านั้น แต่มันไม่ใช่มีการฟ้องกันกลับ เขาเรียกว่าทำเพื่อรักษาและปกป้องในสิ่งที่เขาถูกละเมิดสิทธิ”
สำหรับเรื่องมรดกของ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” นั้น ทนาย “สาคร” ได้ชี้แจงว่าเป็นการเรียกร้องตามสิทธิ์ที่พึงได้ โดยในครั้งก่อนมีการจัดสรรมรดกออกเป็น 4 ส่วน คือนำมรดกทั้งหมดหารครึ่งให้กับ “ไกรสร” และอีกครึ่งก็หาร 4 คนระหว่าง นายสำราญ จิตรหาญ ,นางเล็ก จิตรหาญ , ภัควรรธน์ พิสิษวุฒิรัชต์ และไกรสร
“ในส่วนของมรดกที่เพชรจะได้ คือเขาเป็นทายาทโดนธรรมเขาจะมีสิทธิ์หรือไม่ ต้องบอกว่าเพชรมีสิทธิ์ในฐานะที่เป็นทายาทคนหนึ่ง ส่วนที่เขาจะได้แค่ไหนอย่างไง เขาก็จะมีสิทธิ์ได้ไม่ได้เป็นการขุดคุ้ยแต่เป็นการเรียกร้องสิทธิของตัวเอง ที่จะพึงได้กลับมาจากที่ยังไม่ได้ และจริงๆ ในส่วนที่จะมีคนเกี่ยวข้องคือ 4 คน เราถือว่าเป็นสินสมรส คุณไกรสรต้องได้ไปก่อนครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็คือต้องนำมาหารเป็น 4 ส่วนให้กับบิดา มารดารและลูก รวมไปถึงคุณไกรสรด้วย แต่จริงๆ น้องเพชรยังไม่ได้อะไรเลย แต่พ่อจะมาฟ้องการเลี้ยงดูไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่”
“ส่วนเรื่องหนี้สินถ้าคุณ พุ่มพวงมีคนที่รับใช้ต้องมีมรดกที่ตัวเองได้รับ หมายถึงว่าต้องเป็นหนี้สินของคุณพุ่มพวง ไม่ไช่หนี้สินเท่าไหร่ต้องใช้แค่นั้น จะให้เสียเท่ากับที่เป็นหนี้ได้ คือถ้าได้มรดก 10 ล้าน เป็น 12 ล้านก็ใช้ได้แค่ 10 ล้าน จะใช้เกินกว่าที่ได้รับมรดกไม่ได้ และต้องเป็นหนี้ของเจ้าของมรดกเท่านั้น” ♦
https://www.facebook.com/teeneedotcom