เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้



เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้


รายการ WOODY FM พูดคุยกับ เจสซี่ กิระนา เจ้าของตำแหน่ง รองอันดับ 1 MUT 2023 กับความสวยและความสามารถที่ไม่เป็นรองใคร วันนี้จะเปิดใจหมดเปลือกถึงเส้นทางในวงการบันเทิง บทเรียนชีวิตจากเวทีนางงามที่ไม่มีมงกุฎเป็นเครื่องวัด พร้อมเผยช่วงต่ำสุดของชีวิต การรับมือกับความผิดพลาด และการก้าวข้ามความล้มเหลว


ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ สภาพชีวิต สภาพความรู้สึก คุณมองเห็นอะไรที่สามารถแชร์แล้วก็สะท้อนได้บ้างที่ได้เรียนรู้ในการเป็น เจสซี่ ในวันนี้ ?

เจสซี่ : ดีใจที่ตัวเอง คือเราเป็นตัวเองมาตลอด ไม่ว่าคนอื่นจะนึกยังไง คือตอนเด็กควรที่จะแคร์ความรู้สึกมากกว่านี้ แต่ตอนมองกลับไปเราเป็นตัวเองในทุกๆเวอร์ชั่นเลย ตอนเด็กแล้วก็มั่นใจอยากทำ โตมาอีกหน่อยก็เริ่มนอยด์นิดหนึ่งว่าคนไม่เข้าใจ แล้วก็มีโอกาสประกวดเวทีนางงาม ก็รู้สึกว่าคนเข้าใจมากขึ้น แต่ทุกขั้นตอนเป็นตัวเองมากๆ ไม่มีสักครั้งหนึ่งที่คนอื่นบอกให้ทำอย่างนี้แล้วเราทำแล้วเรากลับมานึกว่านั่นไม่ใช่ฉัน ดังนั้นมันเลยเป็นการเดินทางที่แท้จริงมากๆ มันเป็นการเดินทางของเด็กคนหนึ่งที่แบบ ขีก็อยากเป็นอย่างงี้ ชีอยากทำอย่างงี้ แล้วมันมองกลับไปได้จริงว่าทำตามที่เราอยากทำ

ไม่มีโมเมนต์ไหนเลยที่รู้สึกว่าฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่ฉันชอบ แต่ก็ย่อมมีคนที่มองเข้ามาแล้วไม่เห็นด้วย อยากรู้เพื่อเป็นแนวทางว่าแล้วอะไรที่ทำให้คุณมั่นใจว่าฉันเดินมาทางที่ถูก ผ่านตรงนั้นมาได้ยังไง ?

เจสซี่ : คือตอนเด็กอาจจะดื้อไม่อยากฟัง เหมือนตอนนั้นจะเข้าช่องต่างๆ เขาบอกว่าคุณต้องเรียบร้อยมากกว่านี้ลงรูปชุดว่ายน้ำไม่ได้ เพราะตอนนั้นหนู 16-17 และในโรงในโรงเรียนนานาชาติมันเป็นเรื่องปกติ แล้วเขาจะแบบคุณทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะจะเป็นนางเอกไม่ได้ งั้นก็โอเคไม่เป็นไร ก็เลยยอมรับเลยว่าอาจจะดื้อไม่เอาดีกว่า แต่ตอนโตมารู้สึกว่าเรารู้จักตัวเราดีที่สุด

ไม่ได้มั่นใจว่าทุกอย่างที่ทำคือถูก แต่รู้ว่าผิดหรือถูกได้เรียนรู้ ดังนั้นถ้าทำอะไรที่มันเยอะไป ส่งผลกระทบคนเยอะแล้วมันผิดได้เรียนรู้ แต่ถ้าคุณไม่ให้ฉันเรียนรู้เลย แล้วคุณมาไกด์ตลอด วันหนึ่งถ้าเจสซี่ไม่ได้อยู่ในวงการหรือมีผู้จัดการ คนที่รักเราเยอะขนาดนี้มาเตือน หนูอาจจะพังไปเลยก็ได้ ดังนั้นก็คือเรียนรู้ไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าตอนหนูเจ็บไม่มีใครมาเจ็บแทนหนูได้ ตอนที่คนอื่นบอกอะไรเรา

แล้วเราทำตามแล้วมันผิด เราจะกลับไปโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะเป็นคนเลือกที่จะฟังเขาเอง ดังนั้นคือมันไม่ใช่ไม่ฟังคนอื่นเลย แต่จะยึดว่าสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันอาจจะเหมาะกับฉัน ไม่ใช่ว่าหนูจะทำตามการเดินทางของทุกคน หรือดารานางเอกทุกคนมันไม่เหมือนกัน แต่ว่าถ้าให้ปั้นเป็นอย่างงั้นหนูคงไม่ได้ เพราะว่าความรู้สึกมันไม่ได้








เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้


เชื่อมโยงกับเด็กที่อายุประมาณ 10 ขวบกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนี้ความชอบมันยังสัมพันธ์กันอยู่ไหม ?


เจสซี่ : หนูคิดว่าอย่างงั้นนะ ยังมีความก่ำกึ่ง ภูมิใจกับสิ่งที่เราทำ แต่ไม่ได้ภูมิใจทุกสิ่งนะคะ แต่มองกลับไปก็โอเคแล้วสำหรับตัวเจสซี่ ทำให้แบบความเป็นเด็กในตัวฉันก็คงภูมิใจครอบครัวเราก็โอเค เพื่อนก็น่าจะโอเค ดังนั้นจงซื่อสัตย์ต่อตัวเองเข้าไว้

การเป็นตัวเองมา 10-20 ปี นั่นไม่ใช่ความสำเร็จเหรอ ?

เจสซี่ : เป็นอิสระมากค่ะ รู้สึกว่าโชคดีแล้วกันที่แบบยังสามารถเป็นตัวเองได้ และยังสามารถทำเป็นอาชีพ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเป็นตัวเองได้และยังมีเงินเข้ามาได้ บางครั้งคุณก็ต้องไม่ใช่เสแสร้งแต่เอาการทำงานมา คือคนหนึ่งอาจจะมีหลายบุคลิก บางคนอาจจะต้องทำงานมากๆ แล้วเป็นบุคลิกทำงานมากเพื่อจะทำให้ตัวเองใช้ชีวิตได้ เพื่อทำเงิน แต่ถือว่าเจสซี่โชคดี ที่สังคมไทยหรือว่าลูกค้าต่างๆ ที่มองว่าคนนี้ก็มีคุณค่าในแบบของเขา จริงๆ โชคดีแล้วก็ขอบคุณมาก ไม่ใช่เจสซี่เป็นตัวเองได้ตลอด ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่รู้สึกว่าอยากเข้มงวดกับส่วนสำคัญกับส่วนสำคัญเราเป็นตัวเอง แต่ถ้ามีคนอื่นมาตักเตือนอะไรเจสซี่ฟังอยู่แล้ว แต่เขาก็จะเคารพเราด้วยว่าแบบเจสซี่เป็นแบบนี้

ช่วงที่ได้รับความกดดันเยอะ จะสมัครไหม จะไปต่อไหม ความรู้สึกของคุณในเรื่องนี้ที่คนอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเจอเป็นแบบไหน ?

เจสซี่ : คือจริงๆ รู้สึกโชคดีแล้วก็ขอบคุณแล้วกันที่คนยังใส่ใจอยู่ เพราะว่าในวงการนี้จะเป็นธรรมชาติที่คนสวยคนเก่งกว่าเราจะมาใหม่ทุกๆวันนะคะ แล้วบางทีมันเหนื่อยที่เจสซี่จะต้องพยายามให้คนยังสนใจอยู่ เจสซี่มองว่าการประกวดต่างๆ ภาพมันสวยงามจริงจากคนที่ดูภายนอก แต่จากคนที่ประกวดมันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด มันเป็นประสบการณ์ที่ดีและเจสซี่เรียนรู้เยอะมากๆ จากประสบการณ์นี้ ดังนั้นเลยมองว่าเสียงของคนภายนอกทั้งสิ่งดีและไม่ดีรับรู้

แต่แค่จบที่รับรู้จะไม่เอามาใส่ใจ คือมองว่าเขาไม่รู้ว่าเราผ่านไปยังไง ตอนที่เราดิ่งมากๆ หรือตอนที่ป่วยครั้งที่แล้วที่ต้องผ่าตัดหลัง เจสซี่จำได้คนมาเยี่ยมที่โรงพยาบาลไม่ถึง 10 คน แต่ว่าคนติดตามเราเป็นล้าน แล้วคนอยากให้เชียร์โน้นนี่นั่น แต่ตอนเราป่วย คือเข้าใจมันคือธรรมชาติของมนุษย์ที่เขาไม่รู้เพราะเขาไม่ได้เจ็บเหมือนเรา แต่ความคิดเจสซี่มองว่าสุขภาพกายและใจสำคัญที่สุดในทุกๆอย่าง การที่คุณจะประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่แค่คุณมีชื่อเสียงหรือเงินทองเลย แต่ความสำเร็จของเจสซี่ คือ นอนหลับได้ มีความสุข มีเงินพอที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ ได้ทานอาหารทุกอย่าง พ่อแม่มีความสุข เจสซี่เป็นคนดีให้คนรอบข้าง และเจสซี่มีคนรอบข้างนั่นคือความสำเร็จ ไม่ใช่ต้องมีมงกุฎ

ไม่ใช่จะต้องอะไรที่มันมากกว่านั้น เจสซี่เข้าใจว่าการที่เราให้คือสิ่งที่ดี เช่น เราได้มงกุฎ เราทำดีกับทุกคน หรือว่าคนรอบข้างคงภูมิใจในตัวเรา แต่นั่นไม่ใช่สูงสุดของเจสซี่ มันเป็นสิ่งที่เจสซี่คงจะภูมิใจในวันหนึ่งถ้าเราได้รับอันนั้นมา ภูมิใจมากๆ ภูมิใจให้ประเทศเพราะเราเป็นตัวแทน แต่มันไม่ได้แปลว่าคุณสำเร็จในชีวิตนี้ถ้าคุณมีการงานที่ดีหรือเงินหรือมงกุฎ ก็เลยมองว่าเข้าใจคนภายนอกที่อินกับกระแสต่างๆ และอยากให้เจสซี่ลงประกวด ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณเลยที่เห็นศักยภาพ แต่ต้องดูว่ามันคุ้มหรือเปล่ากับสิ่งที่เราต้องแลก ทุกอย่างมันต้องแลก เจสซี่คิดนะคะว่าทุกอย่างในชีวิตมันต้องแลก ไม่ใช่ทำแล้วได้มงกุฎ คือมันไม่ได้เป็นอะไรที่มันแย่หรือดี แต่มันแล้วแต่คนว่าคนๆนั้นยอมที่จะแลกอะไรเพื่ออะไร และในตอนนี้ที่ร่างกายยังไม่ได้ดีและเคยหลังหักมาแล้วขอยังไม่แลก แต่ไม่ได้แปลว่าในอนาคตเราจะไม่ทำอะไรเลย แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แต่ว่าฟังดูทุกๆอย่าง มันแล้วแต่ๆ ละคนว่าอะไรคุ้มหรือไม่คุ้ม ในทุกๆ อย่างด้วย



เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้


ตอนที่มีปัญหาเรื่องหลังเกิดอะไรขึ้น แล้วตอนนี้เป็นยังไง ?


เจสซี่ : คือหลังหักเลยพี่วู้ดดี้ ไม่ทราบว่าจากอะไร แต่ว่าเจซี่เป็นนักบัลเล่ต์มาตั้งแต่เด็กใช่ไหมคะ แล้วพอทราบอีกว่า หนูเป็นโรคกระดูกสันหลังคด ก็คือหลังมันจะมีการแอ่นที่ผิดปกติแต่ก็ไม่ได้นึกอะไรมาก แล้วเราไปประกวด แล้วคนก็มักจะชมว่าการเดินเจสซี่อดี เดินขาตึง แต่คุณหมอบอกว่าการที่เดินขาตึงนั้นน่ะมันไป กดทับในหลังคุณที่พังอยู่แล้ว คือคนที่หลังไม่พังอาจจะไม่ได้เจอ แต่ว่าไปกดทับในจุดที่มันกำลังจะเสื่อมอยู่แล้ว และการที่ทำอย่างงั้นทุกๆวัน แล้วก็ไม่ดูแลตัวเอง ไม่ทานอาหารให้เพียงพอ ไม่นอนให้เพียงพอทำไปเยอะๆ มันเลยไปทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเลยเคลื่อนไปทับเส้นประสาท

ทำให้เท้าชาแล้วจริงๆไม่เจ็บที่หลังเลยตอนนั้นนะคะ งงว่าทำไมเท้าถึงชา นึกว่าเกิดขึ้นจากรองเท้าส้นสูงก็เลยไปหาคุณหมอหลายท่านอยู่ แล้วก็ไปเจอท่านหนึ่งบอกว่าเข้าเครื่อง MRI เลยดีกว่า ตอนนั้นกลัวมาก เพราะว่าตอนนั้นหนูแพ้แล้ว หนูก็นอยด์ เพราะว่าหนูแพ้ทุกอย่างมาตลอดเลย ทำอะไรหนูก็แพ้ งงว่าทำไมคนชมว่าเราเก่งๆ แต่เราแพ้ทุกอย่างเลย แคชต่างๆไม่เคยได้ ประกวดนางงามทั้งๆที่แบบคะแนนก็ดีนะ กระแสก็โอเคนะก็แพ้ แต่ไม่ได้บอกว่าหนูควรชนะคือเข้าใจ แต่การที่มันมาเยอะๆ มันเลยกลายเป็นว่าหนูก็แค่นอยด์ เราพยายามสุดจริงๆ หนูเป็นคนสุดกับทุกอย่าง

จนคนบอกว่าเยอะ แต่โอเคหนูชอบที่จะเป็นคนเยอะ หนูทำมันด้วยใจจริงๆ จะไม่มีใครพูดว่าแบบเราขี้เกียจ หรือไม่เต็มที่ ขอให้เยอะ คือขอบคุณด้วยซ้ำที่แบบบอกว่าเยอะดีแล้ว ก็เลยนอยด์มากก็เลยผ่าตัด คือ 2-3 วันหลังจากที่ทราบว่าหลังพังก็ผ่าตัด แล้วตอนนั้นเหมือนมีภาระด้วยเรื่องสัญญาต่างๆ งานก็ทำไม่ได้ จะเอาเงินจากไหนไปจ่ายเขา หลังก็หัก แทนที่คุณจะมีงานต่อหลังจากการประกวดนี้ กลายเป็นแบบเห็นคนอื่นประกวด คุณนอนอยู่โรงพยาบาล งานก็ทำไม่ได้ ในแง่จิตใจอยู่ในช่วงแย่ที่สุดในชีวิต ไม่นึกว่าการผ่าตัดจะส่งผลกระทบให้จิตใจได้ขนาดนี้ค่ะ รู้สึกว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว ฝึกเดินแป๊บนึงเจสซี่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่เลย ก็เลยมีทางออกเจสซี่ถึงเริ่มมาไลฟ์อะไร มันก็เลยเป็นโมเมนต์น่ารักๆ ต่างๆ

คุณทำอะไรบ้าง ?

เจสซี่ : หลังจากทานข้าวเสร็จ อาบน้ำ เป็นเวลาที่จะอยู่กับตัวเองในห้องนอน ก็ไลฟ์ตอนแรกๆก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่างๆ มีมต่างๆนะคะ เราก็แค่ไลฟ์ เพราะว่าเราไม่ได้สามารถไปทำงานได้ แล้วก็มันเป็นช่วงที่ ด้อมของเจสซี่จากการประกวด เหมือนอาจจะเป็นห่วงเราด้วยแหล่ะ แต่เราไม่มีผลงานให้เขา เจสซี่รู้สึกผิด ออกไปไหนไม่ได้ใส่ส้นสูงให้เขาดูไม่ได้ เดินแบบให้เขาดูไม่ได้ ทั้งๆที่นี่คือคนที่สนับสนุนเจสซี่ ก็เลยมาไลฟ์ละกันอย่างน้อยมันจะได้คุยกันได้ค่ะ ก็คุยกันในนั้นแล้วมันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ดี ตอนแรกก็มีคนต้านเรื่องนี้เหมือนกันว่าอย่าไลฟ์มาก มันดูแบบไม่แพงอะไรอย่างงี้ เพราะว่าเราไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์อะไรอย่างงี้นะ แต่เจสซี่มองว่าทำอะไรมันแล้วแต่คนนะค่ะ มันจะทำตามแบบแผนไม่ได้ ว่าทำอย่างงี้ดีคือไม่ดี เจสซี่ก็ยึดถือสิ่งนี้เหมือนกัน เจสซี่ก็จะไลฟ์อยู่ เพราะว่า 1 ไม่ได้มีอะไรทำ เพราะว่าป่วย 2 ไม่มีเพื่อนคุยด้วยที่บ้านก็เลยไลฟ์ มองว่ามันไม่เสียหายอะไร ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ดีจากการที่เราตามใจตัวเอง

คุณว่าเรื่องดีจากการที่ไม่ชนะคืออะไร ?

เจสซี่ : การเรียนรู้ว่าความล้มเหลวคืออะไร การรับมือกับความล้มเหลวตั้งแต่อายุน้อย ทำให้เราเข้าใจว่าความผิดหวังคืออะไร และเข้าใจตัวเองด้วยว่ายูเป็นคนยังไง ตอนที่ยูเจอความผิดหวัง คนนี้ดีลกับมันยังไง ไม่ใช่คุณได้ทุกอย่างมาตลอดหรือมันง่ายมาตลอด แล้ววันหนึ่งเจออะไรผิดหวังขึ้นมา ร่างกายฉันไม่รู้ว่าจะอะไรยังไงค่ะ ก็เลยสิ่งหนึ่งที่ได้มาแล้วขอบคุณมากๆคือเราเข้าใจตัวเอง รู้ว่านิสัยเป็นยังไง ตอนนอยด์ ตอนแพ้นิสัยเป็นยังไง และร่างกายเราต้องการอะไร ณ ตอนนั้น



เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้




เจสซี่ เปิดบทเรียนจากเวทีนางงาม ทำไงถึงก้าวข้ามความล้มเหลวนี้ได้


เครดิต :
เครดิต : ที่นี่ดอทคอม บันเทิงดารา


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์