ไม่เกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัยเลยนะ บุ๋มว่ามันเกี่ยวกับประสบการณ์ความเป็นตัวตนของบุ๋ม
เราทำงานแบบนี้ วิ่งงานขนาดนี้ นอนวันละ 3 ชั่วโมง บุ๋มจะมีเวลาไปศึกษาใคร ถ้าให้มานั่งตัดสินใจอะไรเร็วๆ เหมือนสมัยวัยรุ่นบุ๋มไม่เอาอีกแล้ว
พอไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้น เขาก็ไม่ได้หายไปจากชีวิตบุ๋มเลยนะ เราก็ยังเจอกัน ยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ยังไปดำน้ำด้วยกัน ยังทานข้าวด้วยกัน ยังไปบริจาคของมาด้วยกัน คือเราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันอยู่ แล้วเดี๋ยวนี่จะมีหนังสั้นของเมืองนอกที่เราเล่นคู่กันอีก
ที่คิดว่าไปด้วยกันไม่ได้ คือถ้าเป็นแฟนคงไม่ใช่ไง เพราะจากการคุยกันมันเป็นแบบเพื่อนจริงๆ เราสบายใจกับความสัมพันธ์แบบนี้มากกว่า
ถ้าจะให้มานั่งหวานกับใครบุ๋มทำไม่เป็น ความห่างไกลก็มีผลด้วยเพราะเดี๋ยวเค้าก็ต้องกลับไปเล่นหนังที่เมืองจีน เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์แบบเพื่อนดีแล้ว เราก็คุยกันว่า ถ้าทำงานด้วยกันหรือเจอกันบ่อยแบบนี้มันต้องเป็นข่าวแน่นอน ก็บอกเค้าว่าทำใจได้แค่ไหน เค้าก็บอกว่า ก็คงต้องตอบสื่อไปตามตรงว่า
ความสัมพันธ์มันไม่ใช่แฟนก็คือไม่ใช่ ถ้ามันจะใช่ก็คือใช่ เพราะเราเจอะเจอกันนักข่าวก็เห็นโกหกนักข่าวก็ไม่ได้ แต่ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าคนเค้าจะเลือกพูดว่าเราไปกัน 2 คน หรือจะบอกว่าเราไปกัน 20 คน เค้าก็ยอมรับในการเป็นเพื่อน และบุ๋มคิดว่าเค้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เพราะชีวิตเค้าอยู่ที่เมืองจีน แต่ชีวิตบุ๋มอยู่เมืองไทย ความสัมพันธ์แบบแฟนมันเป็นเรื่องยาก
ก็ยอมรับมีหนุ่มต่างชาติมาจีบ เพราะเรื่องแบบนี้มันห้ามไม่ได้ คนก็พอรู้ถ้าบอกว่าไม่มีก็กลายเป็นโกหกกันอีก ก็มีคนเข้ามาบ้างเรื่อยๆ แต่ก็แค่คุยๆ ผู้ชายชวนกินข้าวยังไม่มีปัญญาไปกับเขาเลย แค่ทุกวันนี้มีเวลากินข้าวในกองถ่ายทันก็ดีแล้ว แล้วส่วนใหญ่พอคุยๆ กันก็กลายเป็นเพื่อนหมด” บุ๋มกล่าว ♦
https://www.facebook.com/teeneedotcom