แพรรี่เหนื่อยตื่นมาทำสิ่งนี้ทุกวัน ฟังให้ชัดปลูกผมลบปมจริงหรือ?
แพรรี่ : ก็ตั้งใจเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราวนั่นแหละ บอกตั้งแต่เนิ่น ๆ ให้คนที่ติดตามเราได้รู้ เพราะถ้าอยู่ดี ๆ เราหายไปจากรายการที่ทำ แล้วคนจะสงสัยมาถามกันทีละคน หนูว่าเราเขียนเองเลยดีกว่า แล้วให้แฟนคลับที่เขาติดตามเราได้รู้ว่าตอนนี้เราเตรียมจะมูฟแล้วนะ ถ้าไม่ได้เห็นเราในบทบาทพิธีกรที่เราทำอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
งานในทุกด้านทำได้ดี แล้วจะมูฟเพื่ออะไร ?
แพรรี่ : เราทำงานมาช่วงหนึ่งเหมือนมันครบกำหนดระยะเวลาที่เราเคยวางแพลนไว้กับตัวเองแล้ว 1 ปี หนูรู้สึกว่า 1 ปี สำหรับหนูมันเยอะสุดแล้ว หนูมองว่าการที่เราได้ทำงานนี้อยู่มันไม่ใช่งานที่เราตั้งใจทำตั้งแต่แรก แต่มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านอาจจะเห็นศักยภาพในตัวหนู แล้วให้โอกาสหนูได้ทำงาน แล้วหนูก็ไม่คิดว่ามันจะลากยาวมาได้ขนาดนี้
เห็นว่าตอนแรกตั้งใจว่า 3 เดือน ?
แพรรี่ : ประมาณนั้น ตอนแรกที่มาอยู่ในกรุงเทพฯ
แพรรี่ไม่อยากไปต่อเหรอ ที่เขาบอกว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ?
แพรรี่ : หนูคิดว่าหนูพอแล้ว น้ำหนูเยอะแล้ว
มันมีประโยคนึงในโพสต์ที่ว่า มีดาวเรืองก็ต้องมีดาวโรย ถึงเวลาที่ต้องเก็บของกลับบ้านนาที่จากมาได้แล้ว ?
แพรรี่ : หนูเป็นคนชอบฟังเพลงแม่พุ่มพวง แล้วรู้สึกว่าเพลงนี้มันสอนใจคนเราดี คือคนเราไม่ต้องรอให้ตัวเองเป็นดาวโรยหรอก ถ้าวันนึงเราคิดว่ามันถึงโอกาส ถึงจังหวะ เราสู้โรยด้วยตัวเราเองดีกว่า ก่อนที่มันจะมีอะไรมาทำให้เราโรย หนูเลยสมัครเป็นดาวโรยก่อนเลย ก่อนที่จะมีคนมาทำให้หนูโรย
ไม่ใช่คิดว่าเรามองว่าเป็นขาลง แต่เรามองก็ไม่ใช่ ?
แพรรี่ : กับงานที่ทำ ถ้าหนูยังอยู่ หนูทำได้เรื่อย ๆ เลยแล้วผู้ใหญ่ท่านก็ยังเมตตาให้หนูทำ คืออันนั้นหนูสอนตัวเองว่าชีวิตคนเรามีขึ้นก็มีลง เราไม่ได้ยึดติดกับแสง สี อะไรขนาดนั้น พอใจเถอะมาถึงขนาดนี้แล้ว
ก่อนหน้านี้ที่แพรรี่บอกว่าที่สึกมา ไม่ได้สึกมามีชีวิตแค่นี้ อันนี้คืออะไร ?
แพรรี่ : ตอนที่หนูสึกใหม่ ๆ หนูให้สัมภาษณ์ว่าหนูไม่ได้ตั้งใจมาทำงานในวงการ เพราะหนูอยากกลับบ้านไปอยู่กับแม่ ไปทำธุรกิจอะไรของหนูที่เป็นช่องทางรายได้ แต่พอมันจังหวะที่เราแต่งหญิงแล้วงานมันก็เข้ามาเรื่อย ๆ เราก็คิดว่าก็ไม่เสียหาย ถ้าเราจะเก็บหอมรอมริบก่อนในโอกาสนั้น
แพรรี่ : ไม่มีนะคะ อย่างรายการที่ทำมันก็เป็นไลฟ์สไตล์หนูเลย ผู้ใหญ่ก็เปิดโอกาสให้เต็มที่เลยนะ ไม่เคยบอกว่าทำรายการต้องเป็นแบบนี้นะ เธอต้องเปลี่ยนบุคลิก นู่นนี่นั่น เพราะว่ารายการที่หนูทำเป็นรายการวาไรตี้ เป็นพิธีกรสัมภาษณ์ เขาให้เราเป็นตัวเองได้เต็มที่เลย
หรือว่ามีจุดที่อิ่มตัวในวงการบันเทิงในบางอย่างที่เราทำทุกวัน ?
แพรรี่ : อันนี้ก็ใช่ส่วนหนึ่ง หนูตื่นมาแต่งหน้าเช้าทุกวัน แต่งหน้าเสร็จกลับห้อง คลีนหน้าก็ใช้เวลาเยอะมาก เพราะเราไม่ได้แต่งหน้า เราโบก เราโบกหน้าทุกวัน ใส่วิกทุกวัน เสื้อผ้าเปลี่ยนทุกวัน บางทีมันก็รู้สึกหนักสำหรับตัวเอง มันเป็นการวนลูปซ้ำ ๆ หนูใช้ชีวิต 10 กว่าปีอยู่ใน กทม. อยู่ในวัด อยู่ในกุฏิแคบ ๆ พอหนูสึกมาหนูตั้งใจจะกลับบ้านโล่ง ๆ บรรยากาศแบบเราได้กลับไปอยู่บ้านเรา แต่พอเราตัดสินใจมาทำงานในวงการ เราก็ต้องมาอยู่ในคอนโดแคบ ๆ อีก เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบสำหรับชีวิตเราที่เราจะเป็นแบบนี้
มันเหนื่อยจริงเหรอที่ต้องตื่นมาแต่งตัว เพราะเราก็ชอบสวย ๆ งาม ๆ ?
แพรรี่ : มันทุกวัน บางทีมันก็รู้สึกอิ่ม แต่ไม่ใช่ว่าเบื่อตัวเองนะ แต่ว่ามันอิ่มเฉย ๆ จุดความพอใจของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน และความสุขที่แต่ละคนอยากมอบให้กับตัวเองไม่เหมือนกัน ถ้าคนที่อยู่ในจุดนี้แล้วรู้สึกว่านี่คือไลฟ์สไตล์นี่คือความสุขกับการทำงานเขา หนูว่าไม่มีผิด ไม่มีถูกเลย
ป้าตือเป็นผู้ใหญ่ท่านนึงที่ให้ความรักความเมตตาแพรรี่ถึงขั้น โทร. มาเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ลึก ๆ ไม่กล้าพูดกับใครไหม ?
แพรรี่ : ใช่ค่ะ แม่ตือก็เป็นห่วง วันนั้น โทร. มาถามว่าเบื้องหลังมีอะไรหรือเปล่าลูก ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า หรือว่าตัดสินใจเองจริง ๆ หนูก็เล่าให้แม่ฟังตามที่หนูเขียนไปเลยว่ามันไม่ได้มีอะไรอยู่เบื้องหลังจริง ๆ ทุกอย่างเกิดจากที่เราวางแผนเรียบร้อยแล้ว แล้วตัดสินใจแล้ว แม่ก็ให้กำลังใจ แม่เชื่อแกว่าอะไรที่แกตัดสินใจทำมันมีเหตุผล
มันเป็นปมในใจหรือเปล่าวันที่โดนกระชากผม ตั้งแต่วันนั้นทุกอย่างมันดูเฟลไปหมดเลย ?
แพรรี่ : ไม่เกี่ยวเลย การกระทำแบบนั้นไม่สามารถทำให้หนูรู้สึกเฟลได้ ไม่มีทางเลย เรื่องการปลูกผมหนูพูดตั้งแต่แรก ๆ แล้วที่จะทำ แต่ยังไม่มีโอกาสจะทำเฉย ๆ
แพรรี่ : ทำด้วย ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย เรื่องการปลูกผมทำทีนึงตั้ง 8 เดือน หรือบางที 1 ปี แล้วเราก็ต้องหยุดงานเลย แต่ถ้าเรายังรับงานอยู่มันไม่สามารถทำได้ ต้องใส่วิกอย่างนี้ตลอดไปเลย
1 ปี ตามครบกำหนดคุณแพรรี่คือเมื่อไหร่ ?
แพรรี่ : ตอนนี้ยังเหลืออีก 1 รายการที่ทำอยู่ ที่หนูต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ในช่อง ถ้าผู้ใหญ่เขาเข้าใจหนู โอเคถ้าแพรรี่ตัดสินใจแล้ว เราก็ไม่ห้าม ไม่อะไร หนูก็จะหมดงานที่ทำประจำแล้ว ทีนี้หนูก็จะพร้อมมูฟกลับไปทันที ก็เร็ว ๆ นี้ค่ะ
ในส่วนของมิสเปรียญยังทำอยู่ไหม ?
แพรรี่ : ยุติทั้งหมดเลย หนูทำงานกับผู้ใหญ่หลายช่องอยู่
ที่บอกว่าจะไปปลูกผม เรื่องคนข้างกายมีส่วนไหม ?
แพรรี่ : เขาไม่ได้ต้องการเห็นหนูในเวอร์ชั่นผมจริง หรือเปลี่ยนตัวเอง ผ่านู่นนี่ไปเลย เขาไม่ได้อะไรเลย เขาเคารพสิ่งที่หนูเลือก มันเหมือนเรามีอะไรอยากทำ แล้วเราไม่ได้ทำสักที มันก็ติดค้างอยู่อย่างนั้น
สมมติว่าใกล้ครบ 1 ปีที่เราตั้งใจไว้ แล้วมันมีงานใหญ่เข้ามา เราจะทำต่อไหม ?
แพรรี่ : ไม่ได้ค่ะ เพราะว่าหนูพูดไปแล้ว ถ้าหนูลังเล พูดอย่างแล้วทำอย่างคนจะว่าหนูได้ว่าเป็นคนปากไม่ตรงกับใจหรือคอนเทนต์
ปัญหาหลัก ๆ เลยและเป็นสิ่งที่ตั้งใจตั้งแต่แรกเลยคือเรื่องของคุณแม่ ?
แพรรี่ : ทุกวันนี้เราทำงานก็จริงนะ เรามีเงินส่งเสียเลี้ยงดูแม่ แต่หนูว่าโรคที่แม่หนูเป็นอยู่ไม่ใช่เอาเงินไปให้แล้วเขารู้สึกดีอย่างเดียว ครอบครัวหนูมีแค่ 3 คน พ่อก็มีหน้าที่ต้องไปทำเรื่องของเขา เหมือนตอนหนูไม่ได้กลับบ้านแม่เขาก็อยู่คนเดียว บางเวลาแม่ต้องการคนที่จะซัพพอร์ตเขา ให้กำลังใจเขา แล้วอยู่กับเขาจริง ๆ เพราะเขาเคยไปพูดกับป้าว่าเขารู้สึกดี เขามีกำลังใจมากขึ้นเวลาลูกเขากลับบ้าน แต่เขาก็เข้าใจว่ากลับมาบ้าน เดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานเพราะเราต้องหาเงินมาดูแลครอบครัว แม่ไม่เคยพูดกับเราตรง ๆ เขาไปพูดกับพี่สาวเขา คุณแม่ตอนนี้อายุ 50 กว่า อยู่ต่างจังหวัดก็อยู่กับพ่อ แล้วก็มีคนดูแลที่เป็นญาติกัน เพราะพอแม่เป็นมะเร็ง แม่ไม่สามารถทำอะไรหนัก ๆ ได้ กับข้าวกับปลาอย่างนี้ทำไม่ได้
แพรรี่ : โรคมะเร็งมันก็หนักหนาอยู่ อย่างแม่หนูตอนนี้ก็ให้ยาตัวแรง เราไม่รู้อนาคตเลยว่าแม่จะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน ไม่ใช่ว่าแม่หนูหายขาดแล้ว หรือดีขึ้น ถ้าแม่หนูหายขาดแล้ว อยู่บ้านแบบสบายใจ ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะโรคทางกาย บางทีหนูอาจจะไม่ได้คิดเรื่องกลับไปก็ได้
คุณแม่ทราบไหมว่าเราเตรียมตัวจะออกจากวงการ ?
แพรรี่ : น่าจะทราบแล้วค่ะ เดี๋ยวหนูกลับบ้านคงจะถามว่าคิดดีแล้วเหรอ
แพลนที่กลับไป เมื่อกี้บอกว่าจะไปเปิดคาเฟ่ ?
แพรรี่ : คนจะคิดว่าหนูไม่ทำงาน กลับไปอยู่บ้านแล้วคงจะหายไปเลย จริง ๆ ไม่ใช่นะคะ หนูก็ยังมีช่องทาง มีโซเชียล ช่องทางการติดตามทั้ง TikTok ไอจี เฟซบุ๊ก หนูก็ใช้ช่องทางนี้แหละในการทำมาหากิน ทุกคนยังได้เจอหนูทุกวันในโซเชียล ก็ยังทำงานอยู่ ไม่ใช่กลับไปแล้วไม่ทำงาน หนูจะอยู่ได้ยังไง เพียงแค่ไม่ได้ทำงานประจำกับรายการช่องเท่านั้นเอง
กระแสชาวเน็ตบอกว่า ออกเท่ากับสร้างกระแส ?
แพรรี่ : หนูว่าเป็นเรื่องปกตินะ คนเรามีคนชอบและไม่ชอบเรา มันเป็นเรื่องปกติเลย คนที่เขาไม่ชอบ เขาก็มีสิทธิ์ด่าหนูได้ แต่เขาด่าหนู สิ่งที่หนูทำจะเป็นจริงอย่างที่เขาด่าหรือเปล่า มันก็ต้องดู ถ้าสรุปแล้วหนูออกมาพูดแล้วหนูไม่ออก หนูก็ยอมให้เขาด่า แต่ถ้าหนูพูดจริง ทำจริง คำด่ามันก็ไม่เข้าหนู มันเข้าเขา เหมือนเขานั่งส่องกระจกนั่งด่าตัวเอง
เวลาอ่านพวกอย่างนี้รู้สึกโกรธหรือจิตตกบ้างไหม ?
แพรรี่ : ไม่มีจิตตก เพียงแต่ว่าถ้าบางอันเป็นเพจที่มีคนตามเยอะ อาจไปชี้นำให้คนมาด้อยค่าเราหรือเข้าใจเราผิด เราก็ต้องออกมาชี้แจงอย่างที่มีเพจนึงว่าหนู หนูก็ออกมาบอกว่าออกก็ออกจริง ไม่มีเท่ากับ ไม่มีอะไร แล้วอธิบายให้เขารู้ว่าเหตุผลที่เราออกเพราะอะไร
แล้วถ้าวันนึงทุกคนอยากรู้ชีวิต แล้วเชิญมาสัมภาษณ์แบบนี้ออกไหม ?
แพรรี่ : ยินดีนะคะ แล้วอันนึงที่หนูไม่ทิ้งก็คือ ถ้ามันมีประเด็นทางสังคมหรือทางศาสนา หนูออกมาแล้วหนูก็ยังจะขับเคลื่อนเรื่องนี้ พูดเรื่องนี้ในฐานะที่หนูเป็นคนที่เคยอยู่ในศาสนามาก่อน ถ้ามีประเด็นเรื่องศาสนา คนต้องการความคิดเห็นของหนู หรือรายการทีวีเชิญ หนูก็ยินดีออกมาพูด
แพรรี่ : เท่านั้นค่ะ แต่ถ้ามีประเด็นอะไรที่เราสามารถมาให้ความคิดเห็นกับคนในสังคมได้และเป็นประโยชน์หนูก็มา
หลังจากตุลาคมที่จะออกจากวงการ คือมีแพลนในหัว อยากทำคาเฟ่ ?
แพรรี่ : ใช่ อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราเคยคิดไว้ ทำอะไรก็ได้ที่เราอยู่บ้านแล้วเราทำงานด้วย แล้วได้ดูแลครอบครัวไปด้วย อันนี้คือสิ่งที่หนูคิดไว้จริง ๆ ชีวิตหนูพอแล้ว มีงานทำแล้วเราได้อยู่บ้าน ดูแลพ่อแม่
ออกจากการเป็นดารา ศิลปิน มาเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ ?
แพรรี่ : ก็น่าจะได้
คำว่าออกของเขาคือไม่ได้อยู่หน้าจอประจำ แต่ยังอยู่ในโซเชียล แต่เดี๋ยวพอคนเห็นเขาอยู่ในโซเชียล คนก็ไปด่าเขาอีก เดี๋ยวคนเข้าใจว่าไหนบอกว่าออกไง ?
แพรรี่ : ออกไม่เท่ากับตายนะคะ ถ้าวันไหนตายนั่นคือยุติหมดเลย ถ้าตายอันนั้นมั่นใจเลยว่าจะไม่เห็นดิฉันแน่นอน
แต่ก็จะมีบางกลุ่มที่ไม่ได้ดูที่เราสัมภาษณ์ เขาก็จะมาอีก เตรียมรับมือยังไง ?
แพรรี่ : หนูมาออกรายการนี้เป็นที่แรกเลย แล้วหนูก็เคลียร์ชัด พูดชัดว่าออกของหนูคือความหมายว่ายังไง อะไรบ้าง คนมาฟังก็ฟังที่หนูพูดให้เคลียร์เถอะค่ะ ชัดเจน จะได้เข้าใจ
สรุปออกจริงหรือคอนเทนต์
แพรรี่ : มันคอนเทนต์ไม่ได้นะคะ หนูคิดว่าชีวิตไม่ใช่ของเล่น เราตัดสินใจทำอะไรแล้ว ยิ่งคนรู้คนติดตามอย่างหนูโพสต์ไปในเพจ 3 ล้านกว่า ถ้าหนูโพสต์เล่น ๆ จะเกิดอะไรกับหนู แล้วหนูไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเอาคอนเทนตฺแบบนี้ หนูไปทำคอนเทนต์แบบอื่นไม่ดีกว่าเหรอ
ใช้คำว่าผันตัวไปเป็นอินฟลูฯ ดีกว่า ?
แพรรี่ : ใช่ค่ะ แค่ไม่ได้ทำงานประจำเฉย ๆ
อยากบอกอะไรชาวเน็ตทิ้งท้าย ?
แพรรี่ : หนูว่าแซะไปงั้นแหละ แซะยังไงก็ไม่ขึ้นหรอก เพราะหนูไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องโกหก แล้วอะไรที่พูดหนูคิดดีแล้ว ส่วนแฟนคลับขอบคุณที่ซัพพอร์ต ยังได้เจอหนูในบทบาทอื่น ๆ และสามารถซับพอร์ตหนูในบทบาทอื่น ๆ ที่หนูทำ
https://www.facebook.com/teeneedotcom