คู่จิ้นไทยดังเปรี้ยงระดับโลก สร้างมูลค่าสื่อให้แบรนด์ดังกว่า160ล้าน!
มาย : ตอนเด็กอยากเป็นวิศวโยธา ตอนเด็กผมเคยมีญาติ ญาติพาไปเที่ยว เห็นเขาทำฝาย ผมก็มีความใฝ่ฝันอยากทำฝาย ดูเท่
อาโป : ผมโนไอเดียเลย ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่การศึกษาไม่ได้สูง เขาก็แค่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่คิดว่ามันมั่นคง เป็นหมอหรืออะไรแบบนี้ เราก็รู้ลึกๆ ว่ามันไม่น่าเหมาะกับเรา มันก็เลยเคว้ง เหมือนอยู่ในครอบครัวที่เขาคาดหวัง เราก็งงอยู่พักใหญ่ๆ
ตอนเด็กเป็นไง ตั้งใจเรียนมั้ย?
อาโป : ตอนเด็กผมแสบมาก ไม่ค่อยเอาอะไรเลย ส่วนใหญ่จะเอาแต่กิจกรรม ชอบออกไปเล่นบาส จะเล่นตลอดเวลา ถ้าใครเห็นภาพวัยเด็ก จะเห็นว่าผิวคล้ำเลย
อาโป : ตอนเข้าธรรมศาสตร์วิศวะได้ อันนั้นคือตามเพื่อน ผมไม่ได้ชอบ โปชอบจินตนาการ ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ อีก 5-10 ปีเรายังทำมันอยู่มั้ย มันก็จินตนาการได้ว่าเฮ้ย เราไม่น่าทำงานที่นั่งอยู่ในออฟฟิศได้แน่นอน ก็เลยตัดสินใจออกซะ เรียนไปปีนึงแล้วออก ตอนนั้นเราสร้างภาพว่าเราคงไม่ทำงานที่เป็นรูทีน ทำงานซ้ำๆ วนไปวนมา
ออกแล้วไปอยู่ไหน?
อาโป : มีช่วงที่ว่างไปปีสองปี ช่วงนั้นใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาก เพื่อค้นหาชีวิตว่าเราชอบอะไร เราอยากเป็นอะไร ตื่นมาก็ไปวิ่งเล่น ไปเล่นสเก็ตบอร์ด พอตกเย็นก็ไปดื่ม วนๆ อย่างนี้
มาย : สมัยก่อนไม่ชวนบ้าง (หัวเราะ) พูดเล่นๆ
พ่อแม่ช็อกมั้ย?
อาโป : เราไม่ค่อยบอกเขา แต่ก่อนเราไม่สนิทกันมาก เราก็เลยอยู่กับตัวเองอยู่กับเพื่อน
มายก็ไม่เบานะ ความแสบของคุณ?
มาย : คนอาจคิดว่าผมแสบ แต่จริงๆ ผมแค่อยากเรียนรู้ชีวิต แต่เร็วไปนิดนึง เด็กๆ เป็นเด็กเรียน ไปแข่งเลข ชอบแข่งเลขมาก เราก็รู้จักกีต้าร์ เริ่มรู้จักคำว่าบันเทิง ก็ค่อยๆ ไหลไป แล้ววันนึงสอบเข้าม. 4 ทีนี้เกิดอาการโฮมซิก ไปโรงเรียนแล้วไม่ค่อยแฮปปี้ คิดถึงบ้าน จริงๆ ผมกาฬสินธุ์ มาเรียนต่อกรุงเทพฯ ตอนม.4 เราก็โหวงๆ คิดถึงบ้าน แต่เราก็ไม่อยากทำให้ที่บ้านเป็นห่วง ไม่ได้บอกอะไรเขาเลย แต่ใช้วิธีเอาสิ่งไม่ดีออกด้วยการไปหาอะไรทำระหว่างที่ต้องเรียน ไปตามสถานที่สาธารณะต่างๆ ชวนคุยกับคน ชวนคุยกับป้าขายลูกชิ้น คนกวาดถนน แท็กซี่ หรือใครก็ตามที่เขาเพิ่งเลิกงาน ตอนนี้เพิ่งม. 4 ม.5 แต่ข้อเสียคือไม่ได้เข้าเรียนเลย เทอมนึงน่าจะ 20 เปอร์เซ็นต์ของเทอมที่เข้า ม.4 ม.5 ก็หนักอยู่ครับ ก็เรียกผู้ปกครอง พอแม่รู้เราก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงเราแล้ว เราก็ค่อยๆ ยอมๆ ไป แล้วก็ปรับตัวตามกาลเวลา กลับมาตั้งใจเรียน
มาย : เข้ามธ. เด็กวารสาร
ทำไมไม่เข้าวิศวะล่ะ?
มาย : พอคุยกับคนเยอะๆ ปุ๊บ รู้สึกว่าจริงๆ ชีวิตมีอะไรเยอะแยะมาก เรารู้สึกชอบคุย ชอบสัมภาษณ์คน
อยากเป็นนักข่าวเหรอ?
มาย : ณ จุดนั้นเราอยากเป็นนักข่าว รู้สึกว่าชีวิตมีหลากหลายมาก ถ้าเราได้ถ่ายทอดจากคนที่ไม่มีโอกาสได้พูดออกไป เราบอกแทนเขา เช่นนักข่าวก็น่าจะดี หรือไม่ก็ชอบตัวเลขอยู่หรือบัญชีดีวะ ก็ชั่งใจอยู่พักใหญ่ๆ
อาโปดื่มแอลกอฮอล์แทนน้ำ?
อาโป : เป็นช่วงเรียนรู้ชีวิต ว่าถ้าเราทำพฤติกรรมแบบนี้บ่อยๆ เราจะชอบมั้ย เราก็ลองดื่มมันแทนน้ำเลย แล้วดูว่าเราชอบมันมั้ย แล้วพอทำไป ก็ได้เรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ชอบกับการดื่มแอลกอฮอล์ เราไม่ชอบการใช้ชีวิตแบบนี้ ณ ตอนนั้นยืนมองตัวเองในกระจก แล้วเข้าใจได้ว่าเราหยุด เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ดีกว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอลล์แล้ว
อาโป : โปว่าโชคดีที่บ้านโป เขาธรรมะธัมโม เขาจะฝึกเรื่องสติ ศีลธรรม เขาสอนเราอยู่ตลอด ทำให้เราฉุกคิดได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันถูกต้องกับตัวเองมั้ย อยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นได้ ว่าสิ่งที่เราทำเรามีความสุขมั้ย ก็เริ่มต้นชีวิตใหม่
แล้วมาเป็นนักแสดงได้ยังไง?
อาโป : พอดีช่วงที่ค้นหาชีวิต เราบังเอิญเจอผู้จัดการคนเก่า คือพี่เบิ้ม เขาก็พาไปเดินแบบ เดินอยู่สักพัก ตอนนั้นเขาให้ไปแคสที่ช่อง 3 บังเอิญแคสไม่ผ่าน เขาก็เลยบังเอิญไปเจออีกคน คือพี่หนุ่ม กฤษณ์ ตอนนั้นกำลังจะถ่ายสุดแค้นแสนรัก เขาให้ไปแคสเรื่องนั้น ที่เล่นกับพี่เบนซ์ด้วย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ได้เป็นนักแสดง นั่นคือเรื่องแรก แคสกับช่องไม่ผ่าน แต่แคสกับพี่หนุ่ม พี่หนุ่มบอกว่าต้องเป็นบทคู่แฝด แล้วโปดันไปคล้ายกับอีกคนนึง เขาก็เลยให้มาลองดู แล้วส่งไปเรียนการแสดง ซึ่งผ่านมา 10 ปีพอดี พี่เบนซ์ยังสวยเหมือนเดิม (เบนซ์บอกว่าอาโปมีแววอยู่แล้ว เป็นคนขี้สงสัยแล้วก็จะถามเลย เด็กบางคนไม่ได้ถาม บอกมาก็เล่นตามนั้น แต่อาโปเป็นเด็กขี้สงสัย ซึ่งเป็นข้อดีเพราะพอถามแล้วได้ความรู้ กว่าจะจบเขาก็เล่นเก่งเลย
หลังเรื่องสุดแค้นก็ได้เล่นอีกหลายเรื่อง แล้วอะไรทำให้ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตใหม่ ก้าวใหม่ของชีวิต?
อาโป : ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าตอนนั้นพอเล่นสุดแค้นเสร็จ บังเอิญได้ไปเล่นกับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ เรื่องเลือดมังกร แล้วเล่นกับพี่นก ฉัตรชัย พี่นกเขามีแพชชั่นทางด้านแสดง ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้าเราจะเอาอันนี้เป็นอาชีพ เราต้องทำยังไงกับมันบ้าง ต้องตั้งคำถามยังไง ต้องศึกษายังไงกับการเป็นตัวละคร เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราจะเอาดีด้านนี้แล้วนะ เราทำมาเรื่อยๆ ก็คิดว่าการละครไม่ตอบโจทย์เรา สมมติปีนึงมีพีเรียดนึง มี 3 พาร์ต เขาถ่ายพาร์ตละ 2-3 เรื่อง มันทำให้เราไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตอย่างอื่น ตอนนั้นอยู่มา 2-3 ปีแล้ว ช่วงที่ผ่านมาเราถ่ายแต่ละคร ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็คิดว่าเฮ้ย ชีวิตเรามีแค่นี้เองเหรอ เราอยากออกไปเจอโลกบ้าง ได้เรียนรู้มุมอื่นบ้าง อยากไปทำงานที่ทุกคนทำงานอย่างละเอียดอ่อน เราเป็นเด็กช่างสงสัย ก็จะถามตัวเองตลอด ทำไมถึงเป็นอันนี้ไม่ได้ ทำไมถึงได้แค่นี้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเรา เราก็เลยย้ายไป ตอนนั้นตัดสินใจออก เก็บของ ขายทุกอย่างทิ้งที่เมืองไทย แล้วไปอยู่ที่นิวยอร์ก
เหมือนเส้นทางชีวิตต้องมาทางนี้ เขาดังมากจริงๆ คินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ โด่งดังถึงขนาดไปเล่นคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์?
อาโป : ไปหลายเมือง มีไทเป สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง ฟิลิปปินส์
มาย : จริงๆ ผมมีความสุขมาก เพราะคลิกสุดท้ายที่เราเลือกว่ามาทำบันเทิงเต็มตัวดีกว่า ให้เวลาโดยทิ้งงานอื่นไปเลย คือเราอยากสร้างความสุขให้คน ส่งต่อความสุขให้คนผ่านงานบันเทิง เราชอบกีต้าร์ เราชอบร้องเพลง แอ็กติ้งได้บ้าง มาผนวกรวมกัน พอไปคอนเสิร์ตเราได้เจอคนหลากหลายประเทศ หลากหลายเมือง หลากหลายโลเกชั่น เราเห็นแววตาของความสุข เสียงกรีดร้องที่ไพเราะต่างๆ นานา มันเป็นเอนเนอร์จี้ที่เรามีความสุขจากงานที่พวกเราทำ นั่นคือทำให้ผมโอเคมากๆ กับเป้าหมายในวงการบันเทิง
อาโป : โปภูมิใจมาก ในฐานะนักแสดง สิ่งที่เราทำ คือเราเป็นตัวแทนในการเล่าประสบการณ์ชีวิตตัวละคร ให้คนดูได้กำลังใจ ได้เรียนรู้ชีวิต แต่พอเราได้ทำคอนเสิร์ต เราส่งไปปั๊บเราเห็นเลยว่าเขามีความสุข มันเลยเป็นอีกเวย์ที่เรารู้สึกว่ามันเจ๋ง เราแค่เต็มที่แล้วเขาก็มีความสุขขึ้นมาโดยเราไม่ได้ทำอะไรมากเลย ทำให้รู้ว่าหลายๆ ที่ในโลก สิ่งเชื่อมกันคือความสุข
การสร้างมูลค่าทางสื่อ 160 ล้าน ไปทำอะไรมา?
มาย : จริงๆ เราสองคนเป็น House Ambassador ของดิออร์ ของประเทศไทย ไปร่วมงานที่ฝรั่งเศส
อาโป : พลังของแฟนๆ ทั่วโลกเขาซัปพอร์ตกันลงโซเชียล มันเลยทำให้ยอดสื่อไปถึงขนาดนั้น ก็ขอบคุณแฟนๆ มากๆ
หนึ่งโพสต์ ทำให้ยอดซื้อสินค้าพุ่งทะยานเพิ่มมากขึ้น สองคนรวมกัน 160 ล้านถือว่าเยอะมากๆ ล่าสุดมายเป็นอะไร?
มาย : เฟรนด์ ออฟ เกอร์แลง ต้องขอบคุณแบรนด์ด้วย ผมเป็นในพาร์ตของน้ำหอม เดือนที่แล้วไปฝรั่งเศสมา ไปดูของเกอร์แลง ทั้งเกอร์แลง ทั้งดิออร์ การทำงานเขาเจ๋งมากในทุกส่วนจริงๆ แล้วโปรดักส์เขาดีมากๆ
https://www.facebook.com/teeneedotcom