พระเอกดังยุค90 ย้อนเล่าอดีตแรงหนัก โดนค่ายเรียกด่า

พระเอก ออย ธนา สุทธิกมล อดีตดูโอ้ผู้เคยโด่งดังยุค90 ในชื่อ ลิฟท์กับออย ล่าสุด ออย ได้มานั่งย้อนเล่าวีรกรรมสมัยเด็ก ในรายการ Saran อดีตเคยแรง ของหนุ่ม พอร์ช ศรัณย์

ออย เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเป็นเด็กที่ไม่พูดเลย แต่มันมีจุดเปลี่ยน เราเกเรแล้วเราก็ไม่ไปเรียน พอเริ่มเข้าเรียนก็เริ่มอยากเป็นที่ยอมรับและมีตัวตน ก็เริ่มคิดว่าสูบบุหรี่แล้วเท่ โดดเรียนแล้วเท่ อะไรที่มันผิดระเบียบแล้วรู้สึกเท่มาก ตอนนั้นโดนทำโทษทุกวัน คิดว่าการโดนทำโทษบ่อยๆ ทำให้ไม่อยากไปโรเงเรียน แต่ที่บ้านไม่รู้ว่าไม่ไปโรงเรียน จนใกล้จะสอบรู้สึกว่าถ้าเราขาดเยอะกว่านี้จะไม่มีสิทธิสอบ ก็เลยไปโรงเรียน แต่เจอเพื่อนทักว่ามาโรงเรียนด้วยเหรอ ก็เลยถอยหลังไม่เข้าโรงเรียน และออกไปเลย
ตอนนั้นอายุประมาณ 15 ปี พอเราไม่ไปโรงเรียน ที่บ้านไม่รู้ จากนั้นก็เลยขโมยเงินที่บ้าน แล้วหนีออกจากบ้าน และเริ่มเป็นเด็กค้างตามบ้านเพื่อน หลอกเขาว่าปิดเทอมบ้างอะไรบ้าง และเริ่มไม่มีรายได้ เดินเที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆ

วันนั้นจำได้ว่าไปเดินเที่ยวห้างพาต้า ปิ่นเกล้า เพราะอยากไปดูคิงคอง แต่ขากลับเขามีประท้วงปิดถนน รถเมล์วิ่งไม่ได้ ก็เลยต้องเดินกลับ เดินไปเรื่อยๆ จนไปเจอโมเดลลิ่งพอดี ชื่อพี่กร เขาอยู่อีกฝั่งของถนน ก็วิ่งเข้ามาหาเรา ถามว่าอยากเป็นดารามั้ย เราก็ส่ายหัว มันไม่ใช่ตัวเรา เพราะเราเป็นคนขี้อาย

แต่ในใจก็อยากลองทำ เพราะตอนนั้นหาเงินเรียนเอง เราเริ่มกลับมาเรียนแล้ว ก็หาเงินเรียนเอง ไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่คาเฟ่ ได้เดือนละ 600 บาท สมัยนั้นเยอะมาก

จากนั้นก็ไปแคสต์งานกับพี่กร โมเดลลิ่ง ซึ่งไม่เคยได้งานเลย ช่วงนั้น ธัญญ่า กับแอนดริวเอาไปกินหมด ท้อใจมาก อยู่มาเป็นปีไม่เคยได้งาน กระทั่งไปได้เป็นตัวประกอบในหนังเรื่อง กาเหว่าที่บางเพลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรามีงานเยอะขึ้น

กระทั่งไปเดินที่สยาม จนเจอแมวมองอีกคนชื่อ พี่หมี เธอกับฉัน พี่เขาก็เรียกไปถ่ายแบบ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือเธอกับฉันนะ เพราะเรายังไม่หล่อ ก็เอาไปถ่ายแฟชั่นเซตในหนังสือ GM

พอเริ่มมีงานสักพักก็ได้เจอกับ พี่พชร์ อานนท์ และเริ่มได้ถ่ายปกหนังสือครั้งแรก แต่พอได้เงินจากการเดินแบบ ถ่ายแบบเยอะแล้ว ก็ไม่ได้ไปทำเป็นเด็กเสิร์ฟแล้ว

ซึ่งตอนนั้นพี่พชร์ไม่ได้จับเซ็นสัญญา หรือหักเปอร์เซ็นต์ค่าตัวอะไรเลย ก็เคยถามแกเหมือนกัน เพราะถ้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวก็จะมีหัก 20% แต่พี่พชร์บอกว่า อยากชวนเรามาทำงาน ขอแค่เราทำงานให้พี่

แต่มาเริ่มแจ้งเกิดจริงๆ ตอนที่พี่พชร์เอาไปเล่น MV ของพี่ต้อม เรนโบว์ เพลงที่สุดของหัวใจ พอเริ่มเล่น MV อาจจะเห็นเราจากการเล่น MV พี่พชร์ก็เลยให้ไปเทสต์เสียง บอกเลยว่าเราร้องเพลงแย่มาก เป็นคนที่ไม่เคยร้องเพลงออกจากปากเลย เรื่องเต้นยิ่งแล้วใหญ่ แต่ไปเพราะว่าพี่พชร์ดีกับเรา เราก็เลยไปให้ ในใจรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้หรอก

แต่ปรากฏว่าได้ ตอนที่เข้าไปเซ็นสัญญาเราก็ยังไม่ได้ออกอัลบั้มเป็นนักร้อง เพราะทางบริษัทมีแผนกเทรนด์ศิลปิน ผึกร้องผึกเต้น แล้วก็ไปจับคู่กับ ลิฟท์ (ลิฟท์ สุพจน์) ซึ่งนักร้องในรุ่นนั้นจะมี เจมส์ เรืองศักดิ์, นุ๊ก สุทธิดา, แร็พเตอร์ เราเข้ามาฝึกพร้อมกัน จนเขาออกอัลบั้มไปกันหมดแล้ว แต่ ลิฟท์-ออย ก็ยังไม่พร้อม

ตอนนั้นก็ไม่ได้เรียนแล้ว ใจแตกตั้งแต่ถ่ายแบบ หลังจากทำอัลบั้มเสร็จค่อยกลับมาตามเรียนทีหลัง หลังจากเป็นนักร้องก็ไม่ได้เรียน เพราะชีวิตมันเปลี่ยนไปหมด ไม่ค่อยมีเวลา ไม่ค่อยมีชีวิตมหาวิทยาลัย ซึ่งเราไปเป็นเด็กฝึกอยู่ 2 ปี ไม่ได้ออกอัลบั้มสักที เพราะเรายังไม่พร้อม

ด้าน ลิฟท์ สุพจน์ เป็นนักดนตรีอยู่แล้ว ตอนที่เจอกันครั้งแรกลิฟท์เกลียดออยมาก เพราะออยเป็นคนที่นิ่งมาก ไม่ยอมทัก ในวันที่เข้ามาบริษัทอาร์เอสมาพร้อมกัน เฮียฮ้อได้แนะนำให้รู้จักเพราะจะต้องทำอัลบั้มด้วยกัน ลิฟท์ถึงกับอุทานเกลียดออกมาทันที เราก็นั่งหน้าตึง หน้าเชิด ดูหมั่นไส้ ซึ่งลิฟท์ไม่ชอบเรา แต่เราเฉยๆ ด้วยความที่หน้าเราเป็นแบบนี้ คนอื่นมองอาจจะไม่ชอบ แต่จริงๆ ในใจเราไม่ได้คิดอะไรเลย

จน ลิฟท์กับออย มาสนิทกันจริงๆ ใช้วลา 2 ปี เพราะเราทำงานด้วยกันตลอด ถึงเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ สนิทกันมาก ไม่เคยทะเลาะกันเลย แต่มีมาทะเลาะกันจริงๆ โกรธกันมากเพราะเล่นวินนิ่ง เป็นครั้งเดียวที่โกรธกัน

ไลฟ์สไตล์ศิลปินในตอนนั้น ตอนที่เริ่มเซ็นสัญญาเขาจะมีกฎระเบียบออกมา ห้ามเที่ยวกลางคืน ห้ามเดินห้าง ห้ามปรากฏตัวเยอะ ห้ามรับงาน แต่เป็นคนที่กฎมีไว้แหก เขาห้ามอะไรเราก็ทำหมดเลย ซึ่งเฮียก็เรียกไปด่าบ่อยมาก และคนที่ถูกเฮียเรียกไปด่าบ่อยมากก็คือ ออย ธนา นั่นเอง ด่าจนหมดสัญญา.