เปิดชีวิตลูกคุณหนูบ้านล้มละลาย สู่อาชีพดูดวงแถวหน้าของวงการ
หมอช้าง : ถ้าถอยหลังไป 20 กว่าปีที่ผ่านมา เด็กในยุคนั้นโตขึ้นไม่มีใครอยากเป็นหมอดู มันไม่เหมือนในยุคปัจจุบัน ในตอนนั้นตกกระไดพลอยโจน
หมอช้างโตมาแบบไฮโซๆ คุณหนูๆ หน่อย?
หมอช้าง : ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ฐานะทางครอบครัวค่อนข้างดีมีธุรกิจ มีกิจการของครอบครัวเป็นโรงงานก็ใหญ่โต คุณพ่อเป็นวิศวะกร แล้วคุณพ่อท่านเสียไปแล้ว ท่านตั้งใจเรามีโรงงานลูกเรียนจบแล้วตามสูตรก็เป็นผู้จัดการโรงงาน อันนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกวางรากฐานมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ว่าเหตุการณ์ชีวิตคนเรา แม้กระทั่งชีวิตหมอดูเองมันไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป
เกิดอะไรขึ้น?
หมอช้าง : ที่เราจำได้มันจะมียุคที่เกิดวิกฤติฟองสบู่ปี40 ผ่านมา 25 ปี ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ธุรกิจใหญ่ๆ มีปัญหากันหมด รวมไปถึงธุรกิจของที่บ้านด้วย แต่ด้วยความโชคดีผมเรียนจบพอดี จากแพลนเดิมเราไปทำงานที่บ้านสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไร วิศวะกรเป็นอาชีพที่ตกงานเยอะที่สุดในยุคนั้น เหมือนกับโควิดธุรกิจการท่องเที่ยว ไกด์ก็ไปหมด แต่ว่าในยุคนั้นเป็นวิศวะกร ทีนี้ไปสมัครงานก็ยากแล้ว สิ่งที่เราคิดได้เรามีความรู้ที่เรียนมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นเรียนโหราศาสตร์ เรียนดวงไม่ได้อยากเรียนด้วย คือเรียนเอาใจพ่อ เพราะพ่อเป็นคนชอบเรื่องนี้ พอไปเรียนก็ให้ค่าขนมเพิ่ม
หมอช้าง : สมัยก่อนตอนเรามีฐานะเราจะมีรถดีๆ เปลี่ยนรถทุกวัน มีคนขับรถ พอมันล้มละลายปุ๊บรถมันก็หายไปทีละคันสองคัน จนผมต้องมาขึ้นรถเมล์
ความรู้สึกตอนนั้นคือมันพลิกเลย?
หมอช้าง : ที่บ้านดีอยู่อย่างหนึ่ง คือคุณพ่อแกไม่ได้เริ่มต้นมาสำเร็จเลย แกเป็นเด็กต่างจังหวัดมาทำธุรกิจ เป็นเด็กวัดมาก่อน ถึงแม้ในช่วงที่เรามีฐานะเขาก็สอนให้เราเห็นคุณค่าของเงิน เขาอยู่กับพระศึกษาเรื่องโหราศาสตร์ เขาเตือนเราตลอดว่าชีวิตมันไม่แน่นอนหรอก วันนึงเราขึ้นรถเมล์หันไปเห็นรถเบนซ์สีฟ้าที่เราเคยนั่งสวยมาก เราคิดว่าเมื่อ 2 เดือนที่แล้วเรายังนั่งอยู่ แต่มาคิดอีกทีวันนี้เราโชคดียังนั่งรถมีคนขับด้วย เพียงแต่เรามีเพื่อนนั่งเยอะขึ้น มันก็เปลี่ยนกลับมาศูนย์ใหม่ ชีวิตผมตลก ตอนเด็กก็ลำบาก มาเริ่มมีฐานะตอนมีธุรกิจที่บ้านตอนเราเป็นวัยรุ่น คือจากจนแล้วมารวย รวยแล้วมาจน มาเริ่มนับหนึ่งใหม่ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าความรู้วิศวะในวันนั้นมันยังหางานไม่ได้ อีกความรู้หนึ่งที่เรายังมีคือในเรื่องของโหราศาสตร์ จากเดิมดูเป็นงานตบไหล่ ดูเสร็จปุ๊บก็ขอบคุณ มันเลยรู้สึกว่าความรู้นี้มันต้องมาเลี้ยงชีพ เพราะเหตุผลแรกก็คือไม่อยากให้พ่อแม่ต้องกังวล และไม่อยากให้พ่อ แม่ต้องมาเดือดร้อนดูแลเรา เราดูแลตัวเองได้ แต่ต้องเรียนเลยว่าในวันนั้นมันไม่มีความภูมิใจ คือแม่จะกังวลตลอดเวลาให้ไปสมัครงาน ให้ไปหางาน เพราะว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันจบปริญญาตรีวิศวะก็ต้องต่อ MBA ที่อเมริกา มันเป็นสูตรในยุคนั้น ซึ่งไปกันหมดเลย แต่เราก็ติดอยู่ที่เมืองไทย แต่เราก็บอกคุณแม่ให้มั่นใจว่าถ้าเราจะทำอาชีพพยากรณ์เนี่ย เราจะทำด้วยความซื่อสัตย์ จรรยาบรรณของอาชีพเรา เราไม่ได้ไปหลอก ไปโกงใคร วันนั้นเราพูดไม่มีใครเห็นภาพเหตุการณ์วันนี้ เราคิดแค่ว่าค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ ดู
คนแรกที่ดูแบบมีค่าครูจำได้ไหม?
หมอช้าง : คนแรกอะยาก แต่จริงๆ มันเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเรียนจบ แล้วบางทีมันไม่ได้เป็นเงิน แต่อาจได้เงินบ้าง 200 -300 บางทีได้เป็นขนม บางทีได้เป็นของเล่น แต่ว่าผมเคยมีชีวิตช่วงหนึ่งไปดูดวงอยู่แถวเซ็นเตอร์พ้อยท์ ถ้าจำได้ตรงนั้นมันมีลานน้ำพุอยู่ สมัยก่อนเคยมีร้านที่เราดูฮวงจุ้ยให้เป็นร้านถ่ายรูป พอเราไปดูฮวงจุ้ยให้ร้านเขาขายดี เขาเลยแบ่งที่ให้เรา ที่ไปตอนนั้นเพราะว่าอยากจะดูดวงเด็ก เพราะคนส่วนมากที่มาดูเป็นผู้ใหญ่ แต่รู้สึกว่าวัยเราก็ไม่ค่อยเยอะ แล้วเราไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นเท่าไหร่ ก็เลยไปเปิดตรงนั้นให้เด็กๆ วัยรุ่น แต่ดูไม่นาน สักพักก็เลิก เพราะเด็กมันไปบอกแม่ว่าผมดูดวงอยู่ตรงนี้ แม่ก็เลยมาใช้โควต้าเด็ก ราคาเด็ก ที่เราเปิดตรงนั้นเพื่อให้เด็กมาดูแล้วเราได้เก็บข้อมูล สถิติวัยรุ่นมีมุมมอง มีปัญหาหรือว่ามีเรื่องดวงอะไรที่น่าสนใจบ้าง
หมอช้าง : ใช่ บางคนบอกว่าผมเป็นหมอต้องนั่งหลับตา คือหลับตามองไม่เห็นนะ ต้องลืมตา แล้วอุปกรณ์ที่เราใช้ดูเดี๋ยวนี้เป็นคอมพิวเตอร์ เป็นอะไร คือถ้ามันไม่มีหลักการ ไม่มีวิชาการมันจะเป็นโปรแกรมได้ไง การเขียนโปรแกรม การผูกดวงมันต้องใช้สถิติจากดาราศาสตร์ที่เป็นเรื่องของดวงดาว และเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นวันนี้ โหราศาสตร์มาจากอินเดีย มันถึงมีคำว่าลักขณาราศีอะไรพวกนี้ที่เราเอาวัฒนธรรมตรงนั้นมาใช้ในคำของพยากรณ์ เป็นศาสตร์ที่มีความรู้ สมัยก่อนเราถึงขั้นมีตำแหน่งโหราธิบดี ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งราชการในรั้ว ในวัง
จากที่ดูดวงที่สยามสแควร์แล้วกลายมาเป็นหมอช้างที่เรารู้จักได้ยังไง?
หมอช้าง : ต้องบอกว่าผมไม่ได้มีวันที่สวมมงกุฎแล้วตื่นเช้ามาชีวิตเปลี่ยน เราไม่ได้เป็นแบบนางงามที่อยู่ๆ ชีวิตเปลี่ยนเลย ผมค่อยๆ สะสมในเรื่องของชื่อเสียง เริ่มจากการเขียนคอลัมน์ของ อิมเมจ เป็นเล่มแรก ซึ่งเขียนยากมาก เพราะว่าทาเก็ตคนอ่านหลากหลาย ตอนนั้นก็เริ่มมีแฟนคนอ่านคอลัมน์ของเรา ตอนนั้นเขียน 2 คอลัมน์เลย บ้าพลังมาก เขียนเรื่องดวง คอลัมน์นึง แล้วเรื่อง ฮวงจุ้ย คอลัมน์นึง พอเริ่มมีแฟนที่อ่าน ติดตามคอลัมน์เราเยอะก็ไปมีแม็คการซีน เล่มอื่นๆ ต่อ คนก็เริ่มเห็น เริ่มเป็นที่รู้จัก เริ่มมีการบอกต่อ ผมไม่ใช่หมอดูที่อยู่ๆ ไปทายว่านุ้ยจะท้อง แล้วนุ้ยท้องแล้วดัง คนไม่ได้จำเราในภาพนั้น แต่คนรู้จักเรามาเรื่อยๆ เขียนคอลัมน์มาก่อน แล้วคนเริ่มมารู้จัก ออกรายการวิทยุ ออกรายการโทรทัศน์อะไรแบบนี้ คอนเทนต์มันก็พัฒนาตามยุคสมัย สมัยก่อนดวงมันก็เป็นแค่ดวง เดี๋ยวนี้มันมีหลายอย่างเพิ่มขึ้นมา
อยากรู้ว่านักพยากรณ์เขาดูตัวเองกันไหม แล้วจริงไหมที่เขาบอกว่าห้ามดู?
หมอช้าง : ไม่ได้ห้ามดู แต่ว่าการดูตัวเองบางทีมันเข้าข้างตัวเอง เหมือนเราทำอาหารกินเองมันก็อร่อย คือผมจะบอกว่าถ้าคุณเป็นหมอดูแล้วไม่ดูตัวเอง ดูดวงตัวเองไม่ได้แล้วจะไปดูให้คนอื่นได้ยังไง ถ้าศาสตร์นี้มันมีความรู้ มีประโยชน์เราเอามาวางแผนชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วเราจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไง ครูคนแรกของเราก็คือตัวเราเอง ความรู้พวกนี้บางทีเป็นดาบสองคม ถ้ามันอยู่ในมือที่ผิดมันก็เอาไปใช้ในทางที่ผิดได้ ดังนั้นใครที่เป็นนักโหราศาสตร์หรือสนใจที่จะเรียนหรือศึกษาตรงนี้ ผมอยากจะบอกว่าเรื่องพวกนี้ต้องมีครู บางอย่างอาจอ่านหนังสือ อ่านตำราเองได้ แตสิ่งที่ครูจะให้เรานอกจากความรู้คือเรื่องจรรยาบรรณ
หมอช้าง : มันมี 2 กรณี อย่างเราเป็นผู้ดู เป็นผู้พยากรณ์ บางคนบอกว่าหมอดูไปทักเขาชีวิตหมอดูจะมีปัญหา คือผมจะบอกว่ามันอยู่ที่เจตนาของเรา ถ้าเราเตือนด้วยความหวังดี เตือนด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์มันไม่ได้เป็นเรื่องร้าย แต่บางคนไปเตือนด้วยความคาดหวังบางอย่าง หรือเตือนในเชิงผลประโยชน์อย่างนั้นมันจะเข้าตัวเอง ต้องบอกว่าในปัจจุบันคอนเทนต์เรื่องโหราศาสตร์มีเยอะมาก บางคนไปดูดวงมาเยอะกว่าผมดูให้ลูกค้าอีก อันนี้มันเลยมีคำว่าดวงช้ำ แต่จริงๆดวงไม่ได้ช้ำหรอก แต่มากหมอก็มากความ ผมเองมีหลักอย่างหนึ่งคือคนที่มาปรึกษาเรา ส่วนมากก็จะปรึกษาเราเป็นหลัก แต่ว่าคนที่วันหนึ่งดู 10 หมอ เราไม่ค่อยดูให้เขาหรอก เพราะเราไปแก้ปัญหาหมอคนอื่นไม่ได้ จะบอกว่าวันนี้ที่เราเห็นตามเว็บไม่ใช่จะจริงไปทั้งหมด
ดวงปีหน้าเป็นยังไง?
หมอช้าง : ถ้าเรามองในเชิงภาพใหญ่ถ้าให้คะแนน ปี2566 ดีกว่าปี 2565 เยอะมาก ดีเกินกว่า 70%
คนเกิดเดือนพฤศจิกายนปีหน้าเป็นยังไงบ้าง?
หมอช้าง : เราเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน ไปจนถึง 15 ธันวาคม ช่วงนี้เขาจะเรียกว่าเป็นช่วงของราศีพิจิก ดวงดาวที่เป็นการเงินได้ตำแหน่งราชาโชค ก็แสดงว่าจะมีโชคที่ดีในเรื่องของการเงินเข้ามา
คนเกิดเดือนพฤษภาคม
หมอช้าง : ตั้งแต่15 พฤษภาคม จนถึง 14 มิถุนายน เป็นช่วงราศีพฤษภ เป็นปีที่เหนื่อยในปี2566 แต่ข่าวดีคือปี2567 ต่อไปจนถึงปี 2568 จะเป็นปีที่ดีที่สุด
ราศีเมถุน?
หมอช้าง : เมถุนติดอันดับที่มีโชคมากที่สุดในปี2566 คือการมีโชคอย่าไปคิดว่าเป็นการถูกรางวัลอย่างเดียว คือโชคในทางโหราศาสตร์คือสิ่งที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน มีโชคทั้งเรื่องงานและเรื่องเงินเลย เรื่องความรักจะได้คู่ที่นำทรัพย์มาให้ด้วย ถ้านับ 1 ใน 3 คุณคือราศีที่ดวงดีในปีหน้า
มีราศีที่ต้องระวังตัวเองมีไหม?
หมอช้าง : จริงๆ เมื่อกี้พูดถึงพฤษกไป แต่แยกให้ออกนะ พฤษกเป็นราศีที่ต้องเตรียมตัวไม่ใช่ระวังตัว ระวังตัวคือเตือน แต่เตรียมตัวคือมันมีเรื่องที่ต้องเตรียมตัวหลายๆอย่าง
เอ ไชยา ผมต้องเดินทางเรื่อยๆ เลยอุบัติเหตุจะเป็นอย่างไรบ้าง อีกเรื่องเขาบอกว่างานจะปังมากๆ เลยจริงไหม?
หมอช้าง : ราศีมีน คือ 15 มีนาคม ถึง 13 เมษายน เป็นราศีที่มีเรื่องเสียเงินหนักมากในปีหน้า แต่เป็นราศีที่หาเงินได้เยอะมากด้วย ครึ่งปีหลังของปีหน้า เป็นช่วงที่คุณเดินทางเยอะมากในรอบ 10 ปี พอเดินทางเยอะ อย่าประมาณแล้วกัน เรื่องของอุบัติเหตุบางทีมันไม่เกิดจากเรา แต่มันเกิดจากคนนั้น คนนี้ มันเกิดได้หมดแหละ มั่นในเรื่องการทำบุญ
มิกซ์ ทองระย้า เกิดราศีพิจิก ถ้าปีหน้าจะทำธุรกิจสักอย่างจะทำได้ไหม?
หมอช้าง : เป็นราศีในเรื่องของการเงินแข็งแรง และเป็นราศีแห่งการบุกเบิก ก็เป็นปีที่ดี สามารถลงมือได้เหมือนกัน แต่ต้องเริ่มจากหลังปีใหม่ไทยไปแล้ว
รู้มาตลอดว่าหมอช้างยังโสดอยู่ โสดหรือเปล่า?
หมอช้าง : ไม่โสดครับ แต่งงานมีครอบครัวแล้ว คบกันมา ผมว่ามี 14-15 ปี นานมากแล้ว แต่ว่ายังไม่มีลูก เป็นคนชอบทำงาน คนจะคิดว่าเราเป็นหมอดูจะดูดวงทุกเรื่อง แต่ว่าในสมัยนั้นที่เจอไม่ได้บอกเขาว่าเป็นหมอดู สำคัญคือเราดูหน้า ดูบุคลิก ที่สำคัญเราเจอเรื่องกลิ่นก็สำคัญ ถ้าเป็นกลิ่นที่ดีก็สร้างความประทับใจให้คนนั้นได้เหมือนกัน
https://www.facebook.com/teeneedotcom