อดีตนางเอกดังป่วยหนักท้อจนเคยคิดลาโลก ซ้ำเจออุปสรรคการมีลูก
นิ้ง : แข็งแรงขึ้น สามารถใช้ชีวิตนอกบ้านได้ แต่ต้องระวังเรื่องติดเชื้อ เรื่องอาหาร แล้วก็ยังต้องทานยาเคมีบำบัติ ยาพุ่งเป้า ยากดภูมิวันละ 6 เม็ดตลอดชีวิตทุกวัน ต้องตรวจเลือดทุกเดือน รวมถึงทานยาซึมเศร้าทุกคืน
ความรักอยู่ข้างๆ กันมากว่า 15 ปี จุดเริ่มต้นความรักคือที่ไหน จำได้ไหม?
นิ้ง : จำได้
พี่ใหญ่ : คือเริ่มต้นจากการที่ สายการบินเริ่มเปิด ทางนิ้งติดต่อมาเพื่อจะถ่ายรายการสดว่าอาชีพในฝันของนักแสดงคนนี้คืออะไร นิ้งเลือกเป็นแอร์โฮสเตส แล้วมาถ่ายที่สายการบิน ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน
พี่ใหญ่ปิ้งเลยไหม?
พี่ใหญ่ : แน่นอน ตอนนั้นเขาโดดเด่น ยังอยู่ในวงการ มีชื่อเสียงโด่งดัง พอเข้ามาในบริษัททุกคนตื่นเต้น อยากเจอ
พี่นิ้งตอนเจอพี่ใหญ่ครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้าง?
นิ้ง : ยังไม่รู้สึกอะไร จริงๆ เจอพี่ใหญ่ครั้งแรกที่ห้องทำงาน พี่ใหญ่เป็น Management ด้วย แล้วก็นิ้งต้องไปแลกตารางเพื่อไปบินเช้า แล้วตอนเย็นไปเรียนปริญญาอีกใบ ก็จะเจอพี่เขาบ่อยๆ สมัยก่อนจะมีลูกเรือรุ่น 5 พี่ใหญ่รุ่น 1 ก็จะมีกันอยู่ไม่กี่สิบคนก็จะไปทานข้าวกัน ไปสนุกสนานกันหลังจากไฟลท์บิน มีอยู่วันนึงนั่งตรงข้ามกัน เฉียงกันนิดหน่อยแล้วพี่เขาวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ เราก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ พอวางเสร็จก็เอ๊ะ...โทรศัพท์เหมือนกันเลย นี่เป็นคนเริ่มต้นก่อน ถามว่าใช้โทรศัพท์เหมือนกันเลยนะคะ เป็นการเริ่มต้นคุยกัน แล้วในกลุ่มที่ทานข้าวกันบอกว่าเรามาแลกโทรศัพท์กันดีไหม เผื่อมีปัญหาอะไรกันจะได้ปรึกษา ก็เลยเริ่มแลกโทรศัพท์"
พี่ใหญ่ : ต้องยอมรับว่าช่วงที่นิ้งเริ่มไปเป็นแอร์โฮสเตสใหม่ๆ เขามีทั้งฟีดแบคทางด้านบวก ด้านลบก็มี บางทีเขาก็โดนค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ผมคิดว่าผมอยู่ในวงการนี้มาค่อนข้างเยอะพอสมควรแล้ว อาจจะเป็นที่ปรึกษาให้เขาได้ คือช่วงนั้นยังไม่ได้คิดอะไรจริงๆ อยากให้งานมันไปได้ดี บางทีเคยได้ยินจากเพื่อนเขาแบบบางทีนิ้งโดนเยอะเหมือนกันพี่ใหญ่
แล้วพี่ใหญ่เริ่มคิดตอนไหน?
พี่ใหญ่ : อันนี้เรื่องยาว ต้องให้นิ้งบอก
คือคบกัน 3 เดือนกว่าขอแต่งงาน?
นิ้ง : จริงค่ะ จริงๆ เราเริ่มคุยกันตั้งแต่ปี 2004 คุยกันเริ่มต้นจากวันที่แลกเบอร์โทรศัพท์กัน พี่ใหญ่โทรมาตอนเรากำลังกลับ เขาบอกขับรถกลับบ้านดีๆ นะ เราก็ตอบว่า ค่ะ แค่นี้ก็จบไป แล้วทานข้าวกันบ่อยๆ มากขึ้น คุยกันมากขึ้น เขาก็เริ่มโทรมา ครั้งแรกเลยจำได้ เขาบอกว่าพี่ใหญ่นะ เราก็บอกว่า ค่ะ เห็นว่านิ้งมีปัญหา แล้วใหม่กับวงการบิน ถ้ามีอะไรอยากให้พี่แนะนำบอกได้นะ เราก็ค่ะ พอวันที่ 2 เขาก็โทรมาอีก เออคนนี้คงอยากช่วยแก้ปัญหาให้ ก็เลยเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับการบิน คุยไป คุยมาเป็นคนไม่ชอบโทรศัพท์เลย ถ้าใครรู้จักก็จะรู้เลย โทรมาก็ค่ะๆ แล้วก็วาง ไม่คุยอะไร จนเขาโทรมาทุกวันโดยที่มันซึมไปเรื่อยๆ จากเรื่องงาน กลายเป็นเรื่องส่วนตัว ชีวิตรัก ปัญหา ครอบครัว สิวขึ้น ทุกอย่างระบายหมดเลย จนไปคุยกับเพื่อนสนิท ตอนนั้นก็ 30 -31 แล้ว เพื่อนสนิทก็บอกว่าพี่อย่าไปคุยเรื่องเครียดกับผู้ชายนะ อายุก็เยอะแล้วเดี๋ยวผู้ชายหนี เราก็แบบจริงๆ เดี๋ยวผู้ชายหนี เอาเป็นว่าวันนี้จะไม่คุยเรื่องนั้นดีกว่า พี่เขาก็โทรมา วันนี้ก็ไปคุยเรื่องอื่น กลายเป็นว่าพี่ใหญ่พูดว่าวันนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลยเหรอ เรารู้สึกว่าทำไมผู้ชายคนนี้เขาอยากฟังปัญหาเราจังเลย ก็เลยเล่าเรื่องเครียดต่อ พอเล่าไป เล่ามา เพื่อนสนิทอีกมายุยงว่าคุยแบบนี้แสดงว่าเขาต้องจีบ ไปถามเขานะ ถ้าเขาไม่จีบจะได้รีบออกมาก่อน เดี๋ยวไม่ทันอายุก็เยอะแล้ว พี่เขาโทรมา คุยเรื่องอื่นเสร็จ นิ้งถามพี่จีบนิ้งเหรอ เขาเงียบเลย
จริงๆ คือจีบใช่ไหม?
พี่ใหญ่ : จริงๆ เราไม่ได้เริ่มต้นจากชอบ จีบกัน ผมมองว่าผมมีอายุพอสมควรแล้ว จากที่ได้คุยกับนิ้งค่อนข้างเยอะแล้ว ผมว่าผู้หญิงคนนี้ตั้งคำจำกัดความเรื่องความรักไว้ค่อนข้างสูง ไม่พร้อมสำหรับการผิดหวัง และกำแพงที่ตั้งไว้ก็ค่อนข้างสูง จริงๆ ไม่ได้คิดถึงขั้นแต่งงานกัน
สุดท้ายก็แต่งงานกัน อยู่กันมา 15 ปีได้ไหม?
นิ้ง : เข้าปีที่ 16 ธันวานี้
ทุกคู่ที่แต่งงานก็อยากมีลูก คู่พี่นิ้งกับพี่ใหญ่ก็พยายามมาค่อนข้างเยอะ?
นิ้ง : ค่ะ รอบแรกอยู่ประมาณ 3 ปี แล้วก็ไม่มีน้องสักที ทำยังไงดีอยากมีลูก เนื่องจากว่าพอเรามีอายุลูกจะได้เลี้ยงเราคิดแบบนั้น จนไปทำน้อง ทนทราบว่าท่านอื่นเวลาเร่งไข่จะมีเป็น 10-20 ฟอง ของเรามากสุด 2 ฟอง วันนั้นไปหาคุณหมอเสร็จก็วนไปที่ภูมิแพ้ เพื่อไปเอายาพ่นจมูก วันนั้นอาจารย์หมอไม่อยู่โอนไปหมอปอด หมอบอกว่าก่อนจะตรวจ ขอเอ็กซเรย์ปอดก่อน พอเอ็กซเรย์ก็เจอสิ่งแปลกๆ ขึ้นมา ให้ไปเอ็กซเรย์รอบที่ 2 ทีนี้เขาขอ ทีซีสแกนเลย ช่วงระหว่างรอผล ช่วงที่รอผลพี่ใหญ่กำลังเดินทางไปมาเก๊า ช่วงเทคออฟ แล้วพอหมอมาแจ้งข่าวว่าพี่เสี่ยงจะเป็นวัณโรค เราไม่มีที่ปรึกษา จะถามพี่ใหญ่ก็ไม่ได้ ก็ทำตามที่หมอบอกให้ทานยา 6 เดือนห้ามหยุด ถ้าหยุดเมื่อไหร่เนี่ย เพราะเวลาเราหยุดถ้าเป็นอะไรขึ้นมา ทานยาแก้อักเสบจะดื้อยาทันที
พี่ใหญ่ : ก็เลยทานยาวัณโรคประมาณ 6 เดือน
นิ้ง : ท่านอื่นอาจจะไม่เป็น แต่พี่นี่ผิวแห้ง ปากแห้ง ตัวลอก ผมร่วง คล้ำไปหมดเลย แล้วปวดปลายเส้นประสาท คุณหมอให้เลือกระหว่างทานตอนเข้าหรือก่อนนอน พี่เลือกทานก่อนนอน พอทานเสร็จกลางคืนก็จะปวด ปวดไปทั้งตัว จะเอายาแก้ปวดไว้หัวเตียง
พี่ใหญ่ : ก็ทานยาไป บอกหมอว่าตอนนี้กำลังจะทำลูกนะ คุณหมอบอกว่าเบรกก่อนแล้วกันนะ ขอให้ทานยาคอร์สนี้ไปก่อน ทานยาแล้วฟอลโลว์อัพ แต่คุณหมอท่านนี้เขาไม่ค่อยพูด ถามก็ตอบ เราก็เลยไปหาคุณหมออีกท่านหนึ่ง คุณหมออีกท่านวินิฉัยว่าเท่าที่ผมดูไม่น่าใช่วัณโรค เหมือนเป็นเนื้องอกขึ้นมานิดนึง เป็นก้อนประมาณ 2.5 เซนต์
แบบนี้ที่กินยาไปโดยที่ไม่ได้เป็นวัณโรค?
นิ้ง : ใช่ๆ ตอนแรกก็โกรธนะคะ แต่คิดไป คิดมา โอเคไม่เป็นไรทานอีก 2 เดือนก็หมดแล้ว แล้วเราไปทำงานเจอผู้โดยสารที่เป็นวัณโรคเราอาจจะไม่ติดก็ได้
แล้วทานไปก้อนที่เป็นอยู่ 2.5 หายไหม?
นิ้ง : ไม่หายค่ะ วิธีการคืออาจารย์หมอบอกว่ามี 2 ทาง คืออยู่อย่างมีความสุขและไม่เครียด ทำให้เขาเป็นเพื่อนของเรา แล้วก็ฟอลโลว์อัพว่าเขาไม่เปลี่ยนทรง ไม่ใหญ่ขึ้น แล้วไม่กระจาย กับวิธีที่ 2 คือเจาะแล้วผ่า แล้วตัดเนื้อปอดออก ซึ่ง 2.5 นี้จะต้องตัดถึง 3 กว่า เนื้อปอดหาย ซึ่งจะเป็นพนักงานบนเครื่องบินไม่ได้
พี่ใหญ่ : คุณหมอบอกว่ามันจะมีผลต่อการหายใจ จาก 100% อาจจะเหลือ 94-95 ซึ่งนิ้งทำงานบนเครื่องบินออกซิเจนน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ก็อาจจะทำให้มีปัญหาในการทำงาน คุณหมอก็เลยเลือกว่ามอนิเตอร์ไปก่อนแล้วกัน ถ้ามันไม่ใหญ่ขึ้นก็ไม่น่ามีอะไรรุนแรง อยู่กับเขาไปแบบนี้ ก็กลายเป็นต้องหยุดทำลูกอีก
ก็ไม่ผ่ารักษาเนื้องอกไป?
พี่ใหญ่ : ใช่ครับ
นิ้ง : ต้องฟอลโลว์อัพทุกปี
ตอนนี้ยังคงอยู่?
นิ้ง : ยังอยู่ค่ะ
พอเราดูแลตรงนี้เสร็จก็จะทำลูกต่อ?
นิ้ง : ใช่ พอรอบสองก็เตรียมตัว ความพร้อมเหมือนเดิมเร่งไข่ ทำเหมือนเดิม ได้ 2 ฟองเหมือนเดิม พอเสร็จเรียบร้อย เป็นช่วงที่เราฟอลโลว์อัพร่างกายทุกปี ก็ไปเกิดเนื้องอกใหญ่ขึ้นมา 2.7 ตอนทำรอบ 2 ก็ต้องหยุดทำ เพราะเป็นความเสี่ยงที่เราไปเร่งเขาอาจจะใหญ่มากขึ้นต้องหยุดรอบ 2
พี่ใหญ่ : คุณหมอต้องการเช็กให้มั่นใจมากขึ้น ตอนแรก 2.5 มอนิเตอร์ไปเดือน สองเดือน หกเดือน คุณหมอบอกว่ามันก็ไซท์เท่าเดิมนะไม่มีอะไรเปลี่ยน คุณหมอบอกว่าเข้าโพรเซสทำลูกต่อก็ได้ไม่มีปัญหาอะไร นิ้งก็เตรียมตัวคุณหมอฉีดกระตุ้นฮอร์โมน กระตุ้นอะไรพวกนี้ พอมันถูกกระตุ้นปุ๊บ มันใหญ่ขึ้นประมาณ 2 มิล คุณหมอปอดที่ดูอยู่ เขาบอกหยุดก่อนแล้วกัน รออีกสักพัก รอให้มันนิ่งจริงๆ ก่อนแล้วค่อยไปทำ มอนิเตอร์จนรอบ2 ก็ถูกเลื่อนไปอีกจากการทำลูก เลยยังไม่ได้เข้าไปทำ
นิ้ง : นั่นคือรอบที่ 3 ก็เตรียมความพร้อมเหมือนเดิม แต่ว่าตอนนั้นไปบินอยู่เชียงใหม่ ช่วงวันสุดท้ายที่ไปพักที่เชียงใหม่ตื่นมาก็มีเลือดเต็มเตียงเลย ก็ตกใจนึกว่าประจำเดือน แต่มันเยอะมากกว่าประจำเดือน ก็ใส่ผ้าอนามัยแล้วบินกลับมา แล้วมาบอกพี่ใหญ่ว่ามีเลือดออกเลยไปตรวจที่สูติ ส่องกล้องเข้าไปเจอแผลประมาณ 1-2 เซนต์ที่ปากมดลูก แล้วมีเลือดออกมา คุณหมอตัดชิ้นเนื้อตรงนั้นเลยเอาไปตรวจ อาทิตย์นึง รีบโทรมาแล้วบอกผลว่าโชคดีที่มาก่อน 4-6 เดือน ถ้ามาหลังจากนั้นก็เป็นมะเร็งปากมดลูกขั้นที่ 1 ให้หยุดทำลูก เหมือนลางบอกว่าอย่ามีเลย
พอเรารักษาตรงนั้นไป?
นิ้ง : 3 เดือน
พี่ใหญ่ : ก็ทำลูกต่ออีก ตอนนั้นฉีดตัวอ่อนเข้าไป ทุกอย่างตอนนั้นตรวจร่างกายก็คอมพลีสแล้วไม่ได้มีอะไร คุณหมอเลยฉีดตัวอ่อนเข้าไป นิ้งเริ่มรู้สึกตัวเองว่าท้องบวม
นิ้ง : อุ้ย...แพ้ท้องแน่เลย อยากทานมะเขือเทศสีดาจิ้มวิปครีม ซึ่งเวลาพี่ใหญ่ไปบินก็ต้องซื้อมาให้แล้วทานอะไรที่มันแปลกๆ แต่จริงๆ มันไม่ใช่หรอก ด้วยความที่ว่าท้องบวมคือการเร่งไข่ เราก็เลยบวม แต่เรานึกว่าเราท้อง เราก็คิดว่าฉันแพ้ท้องแล้วหรือเปล่า เป็นนู้น เป็นนี่ จนครบ 14 วันไปหาคุณหมอเพื่อตรวจเลือดนะคะ ในช่วง 2 ชั่วโมงที่รอผลเลือดก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ จอดูแพ็คเกจการคลอดหน่อย เป็นไปได้ไหมขอดูห้องคลอดด้วยได้ไหมค่ะ ทุกคนก็ตกใจ ตรวจเลือดเช็กเลือดหรือยัง ก็บอกตรวจแล้ว รอผลอยู่ท้องแน่ๆ สุดท้ายคุณหมอบอกว่าไม่ติด พอไม่ติดก็กลายเป็นร้องไห้เหมือนคนบ้าเลย พี่ใหญ่คงสงสารแล้วก็บอกกับเราว่าไม่เป็นไรนะ พักก่อนดีกว่าช่วงนี้พักให้สบายใจแล้วก็ค่อยมาลองใหม่ แล้วในช่วงที่ลองเนี่ย ช่วงที่พัก เวลาไปไหนเขาเหมือนมีจิตวิทยาอย่างหนึ่ง เขาเห็นผู้สูงอายุเดินจูงมือกัน ซึ่งเราสองคนจะเดินจูงมือกันตั้งแต่วันที่เป็นแฟนกัน จนทุกวันนี้ก็เดินจูงมือกัน ก็ชี้ให้ดู พอชี้เสร็จก็กลายเป็นว่าให้เราเห็นคนสูงอายุเข็นรถเข็น คนสูงอายุทานข้าวกันสองคน เขาจะชี้ให้เราเห็นจนกลายเป็นความชิน จนวันหนึ่งเขาพูดกับพี่ว่า เนี่ยเห็นไหมคนสองคนรักกันได้โดยที่ไม่มีบุตร ก็อยู่กันได้นะ ถ้าเรามีบุตรแล้วลูกเราไม่ดี โตไปทำให้เราเสียใจ เราจะเสียใจหนักกว่าที่เราไม่มีลูกนะ ก็เหมือนกับปรับมายเซ็ตของเรา เราก็เลยรู้สึกว่าจริง แล้วเขาก็พูดคำว่าพี่จะดูแลนิ้งให้ดีที่สุด ก็กลายเป็นว่าโอเคไม่มีก็ไม่มี ถ้าน้องจะมาก็ให้น้องมาเอง
แต่มันยังไม่จบมันมีลูกที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นบททดสอบอันนึงเลยก็ว่าได้ ลูกสุดท้ายคือการป่วยของพี่นิ้ง?
นิ้ง : ไขกระดูกบกพร่องไม่สร้างเกร็ดเลือด ถ้าเราเรียกง่ายๆ คือพรีลูคีเมีย เป็นก่อนที่จะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มีอาการยังไง ทำไมถึงทราบว่าเป็นโรคนี้?
นิ้ง : เริ่มไปตรวจวันที่ 11 กรกฎาคม ปี 19 แต่ก่อนหน้านั้นเดือน สองเดือน สามเดือน ไม่แน่ใจ เริ่มรู้สึกล้า เหนื่อย อยากจะนอน ไม่อยากจะพูดกับใคร ไม่อยากทำอะไรทั้งๆ ที่เป็นคนออกกำลังกาย แต่พอ 1 อาทิตย์ก่อนที่จะไปตรวจก็เริ่มมีจั้มที่ขาใหญ่มากเลย ก็ไม่ได้คิดอะไร ใส่ถุงน่องสีดำเทาอยู่แล้ว จน 2 วันก่อนไปตรวจกลายเป็นว่าขึ้นแขนเร็วมาก แบบเยอะเลย วันที่ 11 เลยไปตรวจ คุณหมอเรียกพี่ใหญ่ให้ไปคุยส่วนตัวว่าเป็นอะไร บอกว่าให้แอดมิทด่วน ก็จับเจาะไขกระดูก ก็มารู้ว่าเกร็ดเลือดตัวเองเหลือแค่ 6 พัน จากคนปกติ 150,000-450,000 ต้องรีบให้เกร็ดเลือดด่วนไม่งั้นจะช็อก
พี่ใหญ่ : ผม 2 คนตรวจร่างกายทุกๆ 6 เดือนอยู่แล้ว ด้วยหน้าที่อาชีพนี้ แล้วผมก็ตรวจของตัวเองอีก คือ 1 ปีผมตรวจ 2 รอบ มันไม่ได้มีผลอะไรที่บอกว่าผิดปกติ อยู่ดีๆ ก็เริ่มต้นจากจั้ม เหนื่อยง่าย หายใจแบบเหนื่อย เดินขึ้นบันได บางทีเดินขึ้นได้สเต็ปขั้นนึงแล้วนั่งพัก เหนื่อยมาก
นิ้ง : รักษาแบบมะเร็งเม็ดเลือดขาว คือการให้เคมีบำบัด 8 คอร์ส คอร์สนึง 6 วัน ของพี่ให้ไม่ครบ เพราะเนื่องจากว่าให้ทีไรก็ติดเชื้อทุกที แล้วอยู่ที 2-3 เดือน จริงๆ การให้เคมีบำบัด 2 อาทิตย์เว้น 2 อาทิตย์ แล้วก็กลับมา 2 อาทิตย์เว้น 2 อาทิตย์ แต่ของพี่คอร์สแรกก็มีเอฟเฟคโดยทางเดินอาหารฉีก กระเพาะอาหารทะลุ เลือดก็ไหลไม่หยุด
พี่ใหญ่ : กระเพาะอาหารทะลุเป็นผลจากคีโมที่ให้
ต้องรักษายังไงกระเพาะทะลุ?
นิ้ง : ตอนนั้นอยู่ ICU หลับไป 5 วัน แล้ววันที่ 4 คุณหมอบอกว่าให้ทำถ้ายังหลับอยู่อย่างนี้ให้ญาติคุยกันว่าจะทำยังไง เพราะว่าใส่ท่อหายใจ ให้ยา ให้เลือด ให้พลาสม่า ให้เกร็ดเลือด เจาะข้างลำตัว ทำทุกอย่างเลยแต่ก็ไม่ตื่น แต่อยู่ดีๆ วันที่ 6 ก็ตื่น พอตื่นเสร็จก็รักษาแบบใส่ท่อให้อาหาร ทำพิกไลน์เพื่อต่อท่อมาให้คีโม แล้วก็ให้อาหารทางการแพทย์
เห็นว่ามีความท้อของพี่นิ้งด้วย ไม่อยากอยู่แล้ว?
นิ้ง : คือเริ่มต้นอาทิตย์แรก อาทิตย์ที่ 2 ยังไม่ค่อยรู้ตัว เพราะว่าอาจารย์หมอให้ยาซึม เหมือนนอนซึมๆ แล้วก็ยาแก้ปวดตลอดเวลาพออาทิตย์ที่ 3 เริ่มให้ฝึกเขียน เนื่องจากว่าเราพูดไม่ได้ พอฝึกเขียนก็วนๆ จะเขียน ก.ก็เขียนไม่ได้ แต่พอเริ่มเขียนได้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เขียนว่า อยากตาย เหมือนกับว่าคนเราทำงานตั้งแต่มหาวิทยาลัย จนมาทำงานที่เรารัก แล้วอยู่ดีๆ มานอนติดเตียง
พี่ใหญ่ : อันนี้คุณหมอบอกเลยว่าเป็นอาการของคนที่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนานๆ แล้วถูกรักษานานๆ แล้ววันที่เราเข้าโรงพยาบาล เราไม่ได้คิดว่าจะลงมาถึง ICU ขนาดนี้ พอเริ่มรู้สึกตัวปุ๊บ คุณหมอบอกว่าเป็นอาการปกติที่คนทั่วไปอาจจะพบได้ ก็คือมีความคิดว่ามันไม่อยากอยู่แล้ว ท้อแท้มาก นิ้งเขาก็เหมือนกัน เนื่องจากเขามีท่ออยู่ในปากคุณหมอเลยให้สื่อสารทางด้านการเขียน แต่ช่วงนั้นอาการแบบเบลอๆ ยังให้ยาแก้ปวด ก็เขียนมาว่าอยากตายคุณหมอก็เลยให้ผมแบบ คุณใหญ่ คุณนิ้งชอบอะไรเอามานะ ทำทุกอย่างที่เขาชอบ อย่างเช่น นิ้งเขาชอบฟังเพลง ผมก็ไปเอาลำโพงเล็กๆ มา คุณหมอก็อนุญาตใน ICU เปิดไปเถอะ แต่เปิดเบาๆ แล้วกัน คือเปิดเพลงวนๆ ไปให้นิ้งเขาฟังเพลงที่เขาชอบ แล้วผมก็อยู่ข้างๆ ตลอด ICU อย่างที่ทุกคนทราบมันเข้าไปไม่ได้ 24 ชม. แต่คุณหมอเขาให้ผมอยู่ ช่วงที่งดเยี่ยมผมก็ปิดม่านอยู่ข้างในนั่งจับมือเขา คอยให้กำลังใจเขา ตื่นมาทุกครั้งก็จะเจอผม มันคือการให้กำลังใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจที่ดีขึ้นที่จะอยู่ต่อไป คุณหมอเองก็มานั่งคุยกับนิ้ง เป็นคุณหมอรักษาโรคเลือด แต่เป็นหมอจิตวิทยาไปในตัว คุณนิ้งรอดมาถึงขนาดนี้แล้ว คุณนิ้งสู้ๆ นะ
นิ้ง : จะอยากตายทำไม เราต้องสู้กับเขานะ เราอุตส่าห์รอดมาถึงขนาดนี้ นิ้งหลับไปตั้งกี่วันรู้ไหม ตื่นมาเราควรจะใช้ชีวิตกับคนที่เรารักสิ เราต้องสู้ คุณหมอ เอกพันธ์ คือท่านดีมาก
พี่ใหญ่ : คุณหมอชมนิ้งเก่ง
หลักๆ เลยคือกำลังใจจากพี่ใหญ่ถูกต้องไหม?
นิ้ง : ใช่ค่ะ ทุกครั้งที่ลืมตามาแล้วหันไป มือพี่เขาจะจับมือของพี่แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งจำได้เลยว่าหันไปแล้วก็เห็นเขาก้มหน้า ซึ่งตัวเองได้ยินเสียงเครื่องช่วยหายใจเสียงดังมาก แต่เสียงเขาร้องไห้ดังกว่า แต่เขาบอกเขาไม่ได้ร้องไห้เขานั่งสวดมนต์อยู่ ไม่จริงอะ เพราะมันดังกว่าเครื่องช่วยหายใจอีก
พี่ใหญ่ดูแลพี่นิ้งดีมากๆ ถึงขั้นพี่นิ้งต้องกราบพี่ใหญ่เลย ต้องถามว่าพี่ใหญ่ดูแลเรื่องอะไรบ้าง?
พี่ใหญ่ : ตั้งแต่โรงพยาบาลเลย หลังจากที่นิ้งติดเตียงมาเกือบๆ ปี ฝึกเดิน พอเริ่มช่วยตัวเองได้ เนื่องจากที่นิ้งเป็นคนขี้เกรงใจคน ขนาดผู้ช่วยพยาบาลจะเข้ามาเช็ดตัว ไม่ได้ๆ เดี๋ยวฉันทำเอง ก็ต้องเป็นผมแล้วครับที่ต้องคอยพาเขาเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดตัว อาบน้ำ
นิ้ง : อาบน้ำให้ เช็ดตัวใส่เสื้อผ้า
พี่ใหญ่ : เขามีสายระโยงระยางอยู่ ผมเลยต้องทำให้
พี่ใหญ่ : ใช่ครับ ใส่ให้ด้วย เขาช่วยตัวเองไม่ได้ยังไม่แข็งแรง แล้วอีกอย่างคุณหมอบอกเลยว่า คุณใหญ่ คุณนิ้งกลับไปที่บ้านนะห้ามล้มเด็ดขาด ถ้าล้มปุ๊บชีวิตเปลี่ยนแน่นอน ผมก็เลยไม่ได้ๆ ห้ามล้ม เอาง่ายๆ คือผมสิงเลย สิงไปเรื่อยๆ
นิ้ง : ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำกลางคืน เขาจะเด้งขึ้นมาทันทีแล้วมาประคองเรา เปิดประตูห้องแต่งคัว เปิดประตูห้องน้ำ เปิดฝาชักโครกให้เรานั่งก่อนแล้วพี่เขาจะไปยืนอยู่หน้าห้องน้ำ พอเราเสร็จธุระก็ประคองเรากลับไปนอนจนทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ทั้งทั้งที่เราเดินพอได้แล้ว กระทั่งถ่ายอุจจาระเป็นเลือดเพราะแพ้ยาเคมีบำบัด แล้วเป็นโรคฉวยโอกาสที่เวลาร่างกายเราเหมือนกับวีคโรคนี้จะขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นทางไหนของร่างกาย แต่ของพี่เข้าทางลำไส้เวลาฉายกล้องเข้าไป 10 กว่าเซ็นที่เป็นแผล แล้วก็เป็นแผลเน่าทำให้ถ่ายเป็นเลือด แล้วทุกครั้งที่ถ่าย พี่เขาจะต้องมาถ่ายรูป เขาไม่ให้ปิดประตูนะคะ เขาจะยืนอยู่หน้าประตูแล้วถือมือถืออยู่อันนึง พอพี่ถ่ายเสร็จเรียบร้อย พี่ก็ลุกยองๆ แล้วเขาก็เดินเข้ามาถ่ายรูปเพื่อส่งคุณหมอ เปิดโทรศัพท์มาจะเจอแต่อุจาระ
พี่นิ้งรักผู้ชายคนนี้ขนาดไหน?
นิ้ง : มากกว่าคำว่ารัก คิดแค่ว่าถ้าเราไม่เจอผู้ชายคนนี้ คิดกับตัวเองมาก่อน คือถ้าเราไม่มีคนที่ดีกับเราก็จะไม่แต่งงาน และคิดว่าถ้าไม่มีพี่เขาแล้วก็คงจะไม่แต่งงานอีกเหมือนกัน ไม่รู้จะพูดคำว่าอะไร พี่ใหญ่เป็นทุกอย่างของเรา คือแทบจะเป็นเราแล้ว
พี่ใหญ่รักผู้หญิงคนนี้ขนาดไหน?
พี่ใหญ่ : มันมีสิ่งที่ผมทำให้เขา ข้อแรกก่อน คือวันแต่งงาน ผมสัญญากับเขาว่าผมจะดูแลเขา ผมก็ต้องทำตามคำสัญญาที่พูด อันที่ 2 มีลูกให้เขาไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นมันต้องอยู่กัน 2 คน มันต้องดูแล ด้วยหน้าที่ที่ดูแล อีกอย่างผมชอบเขาตรงที่ว่า ตั้งแต่เดย์วันเลยเขาให้เกียรติผมมาตลอด ก็รักเขาก็ต้องดูแลเขา เป็นสิ่งที่ต้องทำ
https://www.facebook.com/teeneedotcom