งานเข้าจนได้! ตูน ทำดีจริง แต่ไม่ควรรับผลประโยชน์แบบนี้..?

ชาวเน็ตระบุ ตูนทำดี-ทำในสิ่งที่รัฐไม่ทำ แต่ไม่ควรรับผลประโยชน์จากเงินบริจาค เนื่องจากผู้บริจาคจำนวนมากทั่วประเทศ ก็บริจาคโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน

ตามที่ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ประจำปี 2563 โดยมีรายชื่อของ นาย อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม นั้น ต่อมา ตูน บอดี้สแลม ยังได้รับผลประโยชน์ส่วนลดการรักษาพยาบาลจากมูลนิธิรามาธิบดี ด้วย เช่นกัน

ชาวเน็ตจำนวนหนึ่ง มีความเห็นว่า การวิ่งเพื่อรับบริจาค ของตูน เป็นสิ่งที่ดีและน่าชื่นชม เพราะตูน ทำในสิ่งที่เป็นหน้าที่ของรัฐ แต่ปัญหากลับถูกแก้ที่ปลายเหตุ เนื่องจากกลับเป็นรัฐเองที่ไม่สามารถจัดการแบ่งสรรงบประมาณมาเพื่อสนับสนุนทางการแพทย์ได้ เป็นเหตุให้ประชาชนต้องมาร่วมบริจาคช่วยเหลือกันเอง อย่างไรก็ตาม การกระทำของตูนนั้นถือเป็นการทำความดีโดยไม่หวังผล

ดังนั้น เมื่อมีการเสนอผลประโยชน์จากเงินบริจาค ตูน บอดี้สแลม ผู้รวบรวมเงิน ก็ควรกล่าวปฏิเสธ หรืออย่างน้อย กล่าวขอบคุณประชาชนที่ร่วมบริจาคเงินจำนวนมาก เพราะการวิ่งรับบริจาค จะไม่ประสบผลสำเร็จหากไร้ผู้บริจาค นอกจากนี้ การรับผลประโยชน์จากการทำรวบรวมเงินบริจาค สามารถรับได้ เช่น หากมีการเสนอให้รับการตรวจสุขภาพและรักษาสุขภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหลังการวิ่ง ก็สามารถรับผลประโยชน์ได้ เป็นต้น

ทั้งนี้ การรับผลประโยชน์ ที่มีความสำคัญต่อสังคมในวงกว้าง อาจต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากมีผู้บริจาคจำนวนมาก ที่สะสมเงินมาเพื่อการบริจาค รวมถึงบางคน ก็มีความลำบาก เป็นผู้พิการ มีรายได้น้อย แต่ก็เก็บออมมาเพื่อบริจาคเช่นกัน

การรับผลประโยชน์จากเงินบริจาคในบางผลประโยชน์ จึงทำให้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม เพราะผู้บริจาคจำนวนมาก ก็บริจาคเงินโดยไม่เปิดเผยตัวตน และไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งประชาชนจำนวนมาก ได้ร่วมกันบริจาค จนในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2560 มียอดรับบริจาคจากประชาชนทั่วประเทศ มากถึง 1,200 ล้านบาท

โดยผลประโยชน์จากการบริจาคให้ มูลนิธิรามาธิบดี ที่ ตูน บอดี้สแลม ได้รับ ได้แก่ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ และส่วนลดค่ารักษาพยาบาล ในฐานะ ผู้อุปการะกิตติมศักดิ์พิเศษ เมื่อมีการบริจาคมากกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนลดในการเข้ารับการรักษาพยาบาล มากถึงร้อยละ 30 (ผู้ป่วยนอก) ไปจนถึงร้อยละ 50 (ผู้ป่วยใน) ให้แก่ ผู้อุปการะ คู่สมรส และบุตร ตลอดชีพ