เปิดภาพล่าสุด น้องณัชชา ลูกสาวพี่บ๊อบ โตเป็นสาวแล้ว เผยเหตุเลิกทำรายการ
ล่าสุด น้องณัชชา ที่ตอนนี้เริ่มโตเป็นสาวแล้ว ก็ได้มาร่วมพูดคุย เปิดใจในรายการ "คุยแซ่บSHOW" ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร และ ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล เป็นพิธีกร พร้อมด้วยครอบครัวสุดอบอุ่น นำโดย พ่อบ๊อบ แม่เฮี้ยง และน้อง ๆ เล่าถึงเส้นทางในวงการบันเทิงของน้องในวัยเด็ก และชีวิตปัจจุบัน รวมถึงเรื่องเศร้าของครอบครัว กับการสูญเสียลูกแฝดคนที่ 3
บ๊อบ : ณัชชาเขามีธรรมชาติของเด็กจริง ๆ แล้วคุณแม่เขาก็ชอบถ่ายคลิป แล้วคลิปเหล่านั้นพอมีคนเห็น มีผู้บริหารช่อง 3 เห็นก็เอาณัชชาไปออกรายการ นั่นคือต้นกำเนิดเลย เพราะเขาบอกว่าขอแบบนี้ไปอยู่บนทีวี
แล้วทำรายการให้ช่อง 3 อยู่กี่ปี
ณัชชา : ตอนนั้นรายการณัชชา ทำอยู่ 2 ปี พอเริ่มเข้าปีที่ 3 เราควรจะทำอะไรใหม่ ๆ เพราะเราเริ่มโตแล้ว เริ่มไม่น่ารักเหมือนเดิมแล้ว
บ๊อบ : คือถ้าเป็นเด็ก ๆ พอทำรายการคนก็จะรู้สึกน่ารักจังเลย แต่พอโตขึ้นวัยความน่ารักก็จะค่อย ๆ น้อยลง แต่ความเป็นมืออาชีพมันต้องมากกว่านั้น ก็เลยไปทำรายการ
ตอนนี้น้องณัชชาเป็นสาวแล้ว ลูกสาวเคยมาปรึกษาเรื่องหนุ่ม ๆ หรือยัง
บ๊อบ : อยากให้เร่งมีเพราะลูกสาวมีเพื่อนผู้หญิงน้อย มีเพื่อนผู้ชายเยอะกลับมาก็เรื่องชกต่อยกันด้วย มีแขนเขียวกลับมา ซึ่งเราคิดว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนนี้ก็ห่วงว่าจะเป็นสาวช้าเหลือเกิน คืออยากให้เขาเป็นสาว เขาควรจะดูแลตัวเอง ดูแลผิวพรรณ แต่เขาไม่ได้เป็นลูกผู้หญิ๊งผู้หญิง แต่แบบนี้ก็ดี ความปวดหัวก็น้อยหน่อย เรื่องผู้ชายผมไม่ห่วง เพราะเขามีสเปกผู้ชายในอุดมคติ
ณัชชา : ก็ต้องเรียนใช้ได้ต้องไม่เรียนแย่กว่าเรา เล่นกีฬาเก่ง หน้าตาพอใช้ได้ นิสัยดี ส่วนเรื่องในวงการถ้าใครให้โอกาสณัชชา ณัชชาก็พร้อมที่จะลุยและทำให้เต็มที่ แต่ว่าตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องเรียนก่อน เพราะเรื่องเรียนมันมีผลต่ออาชีพของณัชชาในอนาคตได้
ได้ข่าวว่าพอณัชชาอายุ 13 คุณบ๊อบจะปล่อยเลย
บ๊อบ : จริง ๆ แล้ว มันเป็นข้อตกลงตั้งแต่เขาเป็นเด็กเพราะเราเคยไม่เข้าใจกัน แล้วณัชชาแกล้ง มีงอแง เชื่อฟังป๊าน้อยลง ผมเลยบอกเขาว่าถ้าเมื่อไหร่เข้า 13 ซึ่งเป็นช่วงวัยรุ่น พ่อจะทำหน้าที่เป็นพ่อที่เงียบที่สุดให้ลูก แต่ก่อนหน้านั้น พ่อบอกอะไรอยากให้ลูกฟัง เพราะหลังจากนั้นพ่อจะไม่แนะนำ จะไม่พูดจนกว่าลูกจะมีคำถามมา พ่อจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ ซึ่งวันเกิดเขาจะเป็น 13 กรกฎาคม ซึ่งอีกไม่กี่เดือน ถามว่าผมทำใจได้ไหม ก็ต้องทำใจตามที่เคยบอกลูกไว้
เฮี้ยง : เราก็ทำหน้าที่เป็นแม่ของดูแล คอยบอกเขาเหมือนเดิม แต่อันนั้นเป็นคอนเซ็ปต์ของพ่อเขาที่อยากให้ลูกคิดเองตัดสินใจเองได้มากขึ้น
บ๊อบ : คอนเซ็ปต์นี้มีที่มาที่ไป คือเราคิดว่า การให้อบรมความรู้ บุคคลิกท่าทาง นิสัย ในช่วงวัยตั้งแต่เขารู้เรื่องตั้งแต่ 5-6 ขวบจนเขาอายุ 12 ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เพียงพอแล้วคือถ้าเขาฟังเขาจะได้ แต่ถ้าเขาไม่ฟังเขาก็คงไม่ได้ แล้วถ้าไปพูดตอนอายุ 13 เขาก็จะยิ่งไม่ฟังเรา
ณัชชา : เราก็รู้สึกว่า คุณพ่อเป็นคนที่ปล่อยให้เราทำอะไรอยู่แล้ว อยากทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าเราทำผิดพลาดท่านก็จะช่วยไกด์เราว่าเราควรจะทำแบบนี้ ควรปรับปรุงอย่างไร เราก็พยายามฟังท่านให้ได้มากที่สุด และนำคำที่ท่านพูดมาใช้ และนำมาปรับปรุงตัวเอง พอใกล้อายุ 13 แล้ว ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเป็นผู้ใหญ่ คือเรารู้สึกว่ามีหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ เราก็ควรจะถามคุณพ่อแหละ คือปกติเราจะไม่ถาม เราจะรอให้คุณพ่อเป็นคนบอก แต่พอเรา 13 แล้ว เราก็รู้สึกว่าควรจะต้องถามคุณพ่อบ้างแล้ว
ถ้าเขาเดินมาถามเราจะตอบเขาไหม
บ๊อบ : ตอบครับ ผมยังมีลูกที่ต้องดูแลอยู่ ถ้าเขาทำอะไรผิดพลาดเราจะไม่เข้าไปแล้วบอกว่า ณัชชา ปะป๊าว่าอย่างนี้ไม่ถูก คือเราจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว เราจะเป็นฝ่ายตั้งรับ จะเป็นผู้ปกครอง เป็นผู้ประคอง คือให้คำแนะนำคอยอยู่เคียงข้างแล้วเราจะลดบทบาทของผุ้ปกครอง และ ผู้เฝ้ามอง อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ที่ผมได้พัฒนามาจากองค์ความรู้ต่าง ๆ คือถ้าเราทำตัวเป็นผู้ปกครองลูก ๆ ลูกก็จะไม่สามารถเป็นผู้นำได้ เราจะฝึกให้ลูกเป็นผู้ตามตลอดไม่ได้ เพราะเขาต้องเป็นผู้นำตัวเองในอนาคต นำชีวิตตัวเองให้ได้
คุณเฮี้ยงคิดเหมือนกันไหม
เฮี้ยง : คิดเหมือนกัน เพราะเรามองว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญของเด็กยุคอนาคต ถ้าเราปล่อยมือเขาไม่ได้ เฮี้ยงเชื่อว่าถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีเราเขาจะอยู่อย่างไร
มาคุยเรื่องแฝดกันบ้าง
บ๊อบ : คือตอนแรกที่เราทำอิกซี่ ก็ใส่ไข่ไป 2 ฟอง เพราะเราคาดหวังว่าลูกเราจะเกิดปีมังกร ปรากฎว่า 2 ฟอง แตกออกเป็นแฝดแท้อย่างละคู่ ทีนี้เป็นกระบวนการตามธรรมชาติ คือไปไม่รอดใน 12 สัปดาห์แรก ก็เหลือ 3 เราก็ประคองจนคุณเฮี้ยงคลอด แต่คลอดเร็วมาซึ่งเขาออกมาทีหลัง
เฮี้ยง : มันเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิตเพราะเด็ก 2 คนนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่รอดเขาจำเป็นจะต้องได้นมจากแม่เท่านั้นเพราะลำไส้เขายังไม่แข็งแรง ด้วยการที่เราคลอดก่อนกำหนดน้ำนมแทบจะไม่มา มายากมาก สองคือความเครียดที่เราเสียอีกคนไป พี่บ๊อบบอกคำเดียวว่าเราไม่มีทางได้เขากลับคืนมาดังนั้นเราจะต้องเดินหน้าเพื่อให้ลูก 2 คนนี้รอด ช่วงนั้นเราก็จะปั๊มนมไปร้องไห้ไป
ทำใจนานไหม
เฮี้ยง : 2 ปีแรก ยังพูดถึงไม่ได้ พูดถึงแล้วเราจะร้องไห้เลย ที่เราไม่เคยออกมาเล่าเรื่องนี้เพราะมันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเรามาตลอด ดังนั้นเราขอให้เราแข็งแรงที่จิตใจก่อนแล้วเราจะเล่า คือเล่าเมื่อไหร่เราก็ร้องไห้เมื่อนั้น ทุกครั้งไป ทุกวันนี้ก็โอเคแล้ว
แล้วคุณพ่อเหมือนแม่ไหม
บ๊อบ : คือผมอาจจะแตกต่างนิดหน่อย คือความเสียใจผมอาจจะไม่มาก เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราจมไปกับความรู้สึกนั้นแล้วใครจะเป็นคนที่ทำให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าได้ ผมจึงต้องเป็นผู้นำที่จะทำให้ทุกคนมองไปข้างหน้า ตอนผมเห็น 2 คนนี้ในตู้อบ หนึ่งโมเมนต์คือคนหนึ่งได้จากไปแล้ว ซึ่งผมก็อยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย ก็สวดมนต์เพื่อให้เขาไปในภพภูมิที่ดี ส่วนสองคนนี้ยังใส่เครื่องช่วยหายใจ พะงาบ ๆ บนตู้ออกซิเจน ใน ICU คือคนหนึ่งอยู่ 3 เดือน อีกคนหนึ่งอยู่ 5 เดือน
ณัชชา : คือตอนน้องเพิ่งเกิดหนูยังเด็กมาก เราไม่เข้าใจอะไรเลย พอโตขึ้นก็ได้ยินคุณแม่เล่าให้ฟัง เราก็รู้สึกว่าเรามีน้องที่เราไม่ได้มาเหรอ เราก็รู้สึกเสียใจ
แล้วพุฒกับพร้อมละ รู้สึกอย่างไรเพราะเราเกือบจะไม่รอดเลยนะตอนนั้น
พร้อม : ตอนนั้นคือจำอะไรไม่ได้เลยครับ
เห็นลูกในตู้อบแอบหวั่นไหมว่าเขาจะไม่รอด
เฮี้ยง : คือเฮี้ยงเจอสภาวะนี้ทุกวัน จนเฮี้ยงเข้าใจคำของหมออย่างคำว่าวันนี้ทรง ๆ มันไม่ได้แปลว่าดี คำ ๆ นี้มันทำให้หัวใจเราลุ้นทุกวันว่าเราจะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเขาไหม คือคุณหมอจะต้องจดอาการเป็นรายชั่วโมง แต่ถ้าดี คุณหมอจะพูดว่าวันนี้ดีมากนะครับคุณแม่
ทำไมถึงทำวิทยาศาสตร์
เฮี้ยง : คือตอนแรกเราทำธรรมชาติแล้วติดยากอาจจะเพราะเราทำงานเยอะ เราก็เลยคิดว่าลองดูแล้วกัน
รู้ไหมว่าสมัยก่อนเรามีพี่น้องเป็นแฝด
พุฒิ : ตอนแรกที่คลอดออกมาไม่รู้ แต่พอโตขึ้นมายายบอก ก็เลยทราบว่าเรามีพี่น้องอีกคนหนึ่งที่สูญเสียไปแล้ว
ค่าใช้จ่ายตอนที่ลูกอยู่โรงพยาบาลหลายเดือน เสียเงินเท่าไหร่
บ๊อบ : ก็ประมาณ 5-6 ล้านครับ ถามว่าเสียดายเงินไหม เสียดาย แต่พอลูกรอดออกมาเราก็โอเค
https://www.facebook.com/teeneedotcom