เปิดความติสท์ สามีแห่งชาติยุค 90 เจ มณฑล - เผยเหตุผลหายไปจากวงการ
"คุณพ่อเขาส่งไปประกวดมินิโดมอนไปเดินแบบ แบบขำๆ แต่ชนะมาก็เลยได้ทำงานในวงการมาเรื่อยๆ"
ชอบงานในวงการบันเทิงหรือเปล่า ?
"ผมชอบนะครับ ผมทำงานมาเรื่อยๆ แต่ว่าช่วงที่ผมทำงาน คือทำขนานกับการเรียนมาเรื่อยๆ ถ้าช่วงเราว่าง เราก็ทำงานถ่ายแบบ เดินแบบ ถ่ายโฆษณาอะไรไป เวลาที่เราเรียน เราก็ไปตั้งใจเรียน คนก็มักจะถามว่าเรากำลังพีคอยู่เราหายไปไหน ก็เพราะว่าเรามีหน้าที่ในการเรียนที่ต้องรับผิดชอบเราก็ไปเรียน"
เรามีความลังเลไหมเพราะงานกำลังรุ่ง เราคิดไหมจะเบรกเรียน แล้วรับงาน เรียนรอได้แต่งานรอไม่ได้ ?
"ผมรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ มันเหมือนเหตุการณ์หลายๆ อย่างบังคับด้วย เรารู้สึกว่างานที่เราทำเกี่ยวกับหน้าตา หรืออะไรเรารู้สึกว่าทำได้ไม่นาน 10 ปี อย่างมาก เราเลยเลือกที่ว่าจะไปเรียนในสิ่งที่เราสนใจดีกว่า เผื่อเรากลับมาทำงานในด้านอื่นได้ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้นำสิ่งที่เราเรียนมากลับมาทำงานอยู่ด้วย ผมมีความสนใจในด้านการสร้างเพลง ทำดนตรี นั่นคือสิ่งที่ผมทำอยู่ในตอนนี้"
"รู้ครับ รู้เพราะว่าตัวเองถ้าโดนบังคับอะไรที่ไม่ชอบจริงๆ มันจะทำไม่ได้นาน แล้วมันจะอึดอัดมากๆ นอกจากเราจะฝึกตัวเองถ้าไม่มีทางที่จะเลือกแล้วเราก็จะทำ แต่ถ้ามันมีโอกาสที่ทำอย่างอื่น เราลองไปหาความสามารถมาทำงานในด้านอื่นก็ได้เราก็จะเลือกในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันความสุขในสิ่งที่เราทำเราก็จะเลือกสิ่งนี้ เราไม่รู้ว่าที่เราเป็นแบบนี้เราเป็นอาร์ตติสท์หรือเปล่า แต่ผมจะเซนซิทีฟมากกับการที่เราบังคับให้ตัวเราเองทำ หรือคนอื่นมาบังคับให้เราทำบางอย่าง ผมรู้ตั้งแต่ตอนที่ผมไปฝึกงาน ไปทำงานแบบในออฟฟิศคือ ผมทำไม่ได้เพราะงานจะออกมาไม่ดีเท่านั้นเอง"
"คือผมไปอ่านหนังสือ แล้วมันมีโปรเจกต์ 3 ฤดู คือ สาม สาม สาม คือ 1 ฤดู เราจะใช้เสื้อ ผ้า รองเท้า ทุกอย่าง คือทั้งหมด 33 ชิ้น ถ้าเราจะซื้อชิ้นใหม่เข้ามาเราก็เก็บของเก่าที่เรามีอยู่เก็บเข้าไปแล้วรวบรวมให้ครบทั้งหมด 33 ชิ้น และอย่างเรารู้สึกว่าชิ้นไหนที่เราไม่ได้ใช้แน่ๆ ล่ะ เราก็นำชิ้นนั้นไปบริจาค มันก็เป็นการใช้ชีวิตแบบมินิมอล นิดๆ"
สีเสื้อผ้าที่ใส่ คือสีดำหมดเลยเพราะว่าอะไร ?
"ผมว่ามันง่ายดี แล้วคือมันสามารถใส่ได้ทุกงาน เข้ากับสีผมของผมสีดำ ถ้าไปงานที่ต้องไปงานที่ต้องมีสีสันเราก็จะถามงานว่าเอาสีที่ตามคอนเซ็ปท์ของงานมาผูก หรือติดตามตัวได้ไหม ถ้าเขาบอกว่าไม่ได้จริงๆ ผมก็จะบอกว่าไม่ได้เหมือนกัน แต่บางทีก็ได้อย่างไปงานแต่ง เราก็จะมีเสื้อเชิ้ตสีขาว"
แต่ความติสท์ของ เจ มณฑล คือไม่ได้อยู่แค่เครื่องแต่งกายเท่านั้น แต่อยู่ข้างในตัวเราด้วย ?
"ผมว่าเป็นระบบมากกว่า อย่างการใช้มือถือของผม ผมทำงานเยอะผมก็จะเช็กเยอะ ใช้เยอะ แต่ถ้าผมทำงานผมก็จะมีช่วงเวลาในการใช้มือถือ เป็นช่วงเวลาของผม อย่างตื่นมาตอนเช้าเราจะไม่ดูเลย เรามาเช็กช่วงเที่ยงๆ มาเช็กอีเมล์ มีใครโทรมาบ้าง มาเช็กโซเชียลต่างๆ ข่าวต่างๆ ถ้ามีคนโทรมาช่วงเวลาที่เราไม่ได้ตั้งไว้เราก็ไม่รับสายเลย เพราะว่าผมตั้งปิดเสียงไว้ ผมตั้งเวลาที่จะใช้มือถือไว้คือ ตอนเที่ยง กับอีกครั้งคือ 1 ทุ่มเลย เราเป็นที่ชอบทำอะไรเป็นเวลาตามเวลาที่เรากำหนดไว้"
"คือเราได้เข้าไปคุยแผนการตลาด เราไปคุยกับเด็กรุ่นใหม่มาไม่มีใครรู้จัก เจ มณฑล จิรา หรอก เป็นเพราะเขาลืมไปหมดแล้ว หรือเขาเกิดไม่ทัน ถึงว่าโปรเจคนี้ถือว่า เราคือ ศิลปินใหม่เลย เราก็คิดว่าดี เป็นการเริ่มต้นใหม่ เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของเรา ไม่กดดันนะครับ ไม่ค่อยเครียดด้วยอายุด้วยครับ เราเป็นคนทำเพลงที่มีหลัก เราทำเพลงมาเยอะไม่ได้เกี่ยวกับตลาด เพราะเพลงเรามันลึก มันฟังยาก เราเลยชินกับตรงนี้มาก แต่ 13 เพลงที่ผมทำออกมาล่าสุด ผมคิดว่ามันฟังไม่ยากนะ เพราะผมพยายามทำให้ฟังง่ายๆ แนวเพลงคือ เป็น POP เป็น โฟล์ค เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักหมดเลย"
https://www.facebook.com/teeneedotcom