จะพูดถึง “พิม-พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร” ณ วันนี้ ต้องบอกว่าเธอไม่ใช่นางเอกที่มี “ความสวย” โดดเด่นเหนือกว่าคนอื่น
แต่ “พิม” เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ก็มีบางมุมที่น่าค้นหา คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” ในวันนี้เราจึงเชิญเธอมาเปิดเผยตัวจริง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ความรัก” ที่หลายคนมีข้อสงสัย วันนี้เรามีคำตอบมาฝากกัน
รักไม่จำกัด นิยาม ของพิมพ์มาดา
มุมหนึ่งคุยเรื่องงานกันก่อน ตอนนี้ “พิม” มีงานอะไรบ้าง
“ตอนนี้มีละครอยู่ 2 เรื่อง คือ อธิษฐานรัก และ เป็นต่อ สำหรับ อธิษฐานรัก จะมีสองแบบ คาแรกเตอร์จริง ๆ ของ อิงฟ้า จะเป็นนักเรียน นอก ค่อนข้างมั่นใจ มีความเชื่อมั่นเป็นตัวของตัวเอง และถูกส่งไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็กเพราะว่าพ่อไม่อยากจะให้เราเจอแม่ กลัวแม่ปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ วันที่กลับมาเมืองไทยเพราะว่าแม่ป่วย สุดท้ายแม่ก็ตาย แต่ก่อนแม่ตายแม่ก็ฝากเราให้ไปตามหาคนรักของแม่ให้หน่อย ซึ่งอยู่ที่ลำปาง พอเราไปก็เจอพระเอกโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาคือลูกของคนที่แม่ให้เราตามหา ดำเนินเรื่องราวจนเกิดความรักแต่ความรักครั้งนี้ไม่ได้จบลงง่าย ๆ เพราะพ่อจะไม่ยอม จนเราเกิดอุบัติเหตุความจำเสื่อม แล้วกลับกรุงเทพฯ พอกลับมาพ่อก็ใส่ทุกอย่างให้เราใหม่เป็นคุณหนู ซึ่งในเรื่องเราต้องเล่นเป็นสองแบบ เป็นสาวที่ทันสมัยและคุณหนู ต้องบอกว่าเรื่องนี้ยากที่สุด และสนุกมาก”
ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้โดนจับตามองมาก เพราะต้องเล่นกับ “กัปตัน” ซึ่งเป็นแฟนเก่า ตอนที่ตัดสินใจรับ เราคิดนานมั้ย
“ไม่ได้กังวล แต่กังวลตอนที่เล่นเรื่องแรกด้วยกันมากกว่า ซึ่งตอน ทาสรักทระนง กระแสจะแรงมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่กลับมาเล่นด้วยกัน คนจะคอยจ้องว่าจะรีเทิร์นมั้ย สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองแล้ว ความกังวล ต่าง ๆ ก็ลดน้อยลงไป มันมองถึงเรื่องการทำงานว่าเราจะทำยังไงให้มันแตกต่างจากเรื่องที่แล้ว เข้าฉากด้วยกันก็เกร็งแล้ว แต่จะกังวล กลัวว่าตัวเองจะทำออกมาไม่ดี เพราะเรื่องนี้มันกดดัน เราจะทำยังไงที่ไม่ให้คนดูติดภาพจากเรื่องที่แล้ว”
“ตอนนี้มีละครอยู่ 2 เรื่อง คือ อธิษฐานรัก และ เป็นต่อ สำหรับ อธิษฐานรัก จะมีสองแบบ คาแรกเตอร์จริง ๆ ของ อิงฟ้า จะเป็นนักเรียน นอก ค่อนข้างมั่นใจ มีความเชื่อมั่นเป็นตัวของตัวเอง และถูกส่งไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็กเพราะว่าพ่อไม่อยากจะให้เราเจอแม่ กลัวแม่ปลูกฝังสิ่งต่าง ๆ วันที่กลับมาเมืองไทยเพราะว่าแม่ป่วย สุดท้ายแม่ก็ตาย แต่ก่อนแม่ตายแม่ก็ฝากเราให้ไปตามหาคนรักของแม่ให้หน่อย ซึ่งอยู่ที่ลำปาง พอเราไปก็เจอพระเอกโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาคือลูกของคนที่แม่ให้เราตามหา ดำเนินเรื่องราวจนเกิดความรักแต่ความรักครั้งนี้ไม่ได้จบลงง่าย ๆ เพราะพ่อจะไม่ยอม จนเราเกิดอุบัติเหตุความจำเสื่อม แล้วกลับกรุงเทพฯ พอกลับมาพ่อก็ใส่ทุกอย่างให้เราใหม่เป็นคุณหนู ซึ่งในเรื่องเราต้องเล่นเป็นสองแบบ เป็นสาวที่ทันสมัยและคุณหนู ต้องบอกว่าเรื่องนี้ยากที่สุด และสนุกมาก”
ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้โดนจับตามองมาก เพราะต้องเล่นกับ “กัปตัน” ซึ่งเป็นแฟนเก่า ตอนที่ตัดสินใจรับ เราคิดนานมั้ย
“ไม่ได้กังวล แต่กังวลตอนที่เล่นเรื่องแรกด้วยกันมากกว่า ซึ่งตอน ทาสรักทระนง กระแสจะแรงมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่กลับมาเล่นด้วยกัน คนจะคอยจ้องว่าจะรีเทิร์นมั้ย สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองแล้ว ความกังวล ต่าง ๆ ก็ลดน้อยลงไป มันมองถึงเรื่องการทำงานว่าเราจะทำยังไงให้มันแตกต่างจากเรื่องที่แล้ว เข้าฉากด้วยกันก็เกร็งแล้ว แต่จะกังวล กลัวว่าตัวเองจะทำออกมาไม่ดี เพราะเรื่องนี้มันกดดัน เราจะทำยังไงที่ไม่ให้คนดูติดภาพจากเรื่องที่แล้ว”
จริง ๆ แล้วตัวตนของ “พิม” เป็นยังไง
“พิมเป็นคนอารมณ์ดีและไม่ค่อยคิดอะไรมาก เป็นคนสนุกสนานกับสิ่งที่ทำ ไม่มีมุมเก็บเงียบ ไม่ชอบอยู่คนเดียวจะอยู่กับคนอื่นตลอด พิมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวน้อยมาก อย่างที่บอกว่าชอบอยู่กับเพื่อน ดังนั้นมุมส่วนตัวจึงไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่”
ถึงตอนนี้ “พิม” วางแพลนชีวิตตัวเองไว้ยังไงบ้าง
“ด้วยความที่ผ่านมาพิมทำงานเยอะมาก แทบจะไม่มีเวลาพักเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องละคร เพลง ดังนั้นพอจบละครเรื่องนี้ก็แพลนไว้อย่างเดียวเลยว่าอยากจะพักนิ่ง ๆ เพื่อจะได้คิดว่าตัวเองอยากจะทำอะไร พิมอยากหาอะไรเรียนเพิ่มเติม คิด ๆ อยู่ว่าจะเรียนอะไรดี ส่วนงานเพลงยังไม่ได้พูดคุยเลย ถามว่า ซาซ่า มันน่าจะจบมั้ย พิมก็ตอบไม่ ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวเราฝ่ายเดียว มันอยู่ที่ทางค่ายด้วยว่าถึงเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า แต่ละคนก็ต่างโตขึ้น อย่างแก้วอย่างหวานเขาก็มีแนวทางของตัวเอง ส่วนตัวพิม อยากทำอยู่แล้ว ไม่อยากจะให้ซาซ่าจบเลย”
ถ้าเกิดวันหนึ่ง “ซาซ่า” ต้องจบไปจริง ๆ เราเตรียมใจกับมันได้มั้ย
“เตรียมใจได้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจกับมัน แต่อยากจะให้จบไปในความทรงจำ ให้แฟนเพลงจำเราในภาพที่ดี การที่จะมารวมกันอีกครั้งเพื่อปิดตำนานมันก็เป็นไปได้เสมอ และพิมเองก็พร้อม และเชื่อว่าแก้วกับหวานก็พร้อม แต่ตอนนี้ต่างคนต่างโตแล้วและอยากจะทำอะไรที่อยากจะทำ ถ้าแยกเดี่ยวพิมไม่พร้อมที่จะทำแน่ ๆ ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่รู้สึกว่าถ้าเป็นงานเพลงคนเห็นหน้าเราก็ต้องนึกถึง พิม ซาซ่า จะแยกเดี่ยวก็ไม่สมบูรณ์”
“พิมเป็นคนอารมณ์ดีและไม่ค่อยคิดอะไรมาก เป็นคนสนุกสนานกับสิ่งที่ทำ ไม่มีมุมเก็บเงียบ ไม่ชอบอยู่คนเดียวจะอยู่กับคนอื่นตลอด พิมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวน้อยมาก อย่างที่บอกว่าชอบอยู่กับเพื่อน ดังนั้นมุมส่วนตัวจึงไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่”
ถึงตอนนี้ “พิม” วางแพลนชีวิตตัวเองไว้ยังไงบ้าง
“ด้วยความที่ผ่านมาพิมทำงานเยอะมาก แทบจะไม่มีเวลาพักเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องละคร เพลง ดังนั้นพอจบละครเรื่องนี้ก็แพลนไว้อย่างเดียวเลยว่าอยากจะพักนิ่ง ๆ เพื่อจะได้คิดว่าตัวเองอยากจะทำอะไร พิมอยากหาอะไรเรียนเพิ่มเติม คิด ๆ อยู่ว่าจะเรียนอะไรดี ส่วนงานเพลงยังไม่ได้พูดคุยเลย ถามว่า ซาซ่า มันน่าจะจบมั้ย พิมก็ตอบไม่ ได้ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวเราฝ่ายเดียว มันอยู่ที่ทางค่ายด้วยว่าถึงเวลาที่เหมาะสมหรือเปล่า แต่ละคนก็ต่างโตขึ้น อย่างแก้วอย่างหวานเขาก็มีแนวทางของตัวเอง ส่วนตัวพิม อยากทำอยู่แล้ว ไม่อยากจะให้ซาซ่าจบเลย”
ถ้าเกิดวันหนึ่ง “ซาซ่า” ต้องจบไปจริง ๆ เราเตรียมใจกับมันได้มั้ย
“เตรียมใจได้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจกับมัน แต่อยากจะให้จบไปในความทรงจำ ให้แฟนเพลงจำเราในภาพที่ดี การที่จะมารวมกันอีกครั้งเพื่อปิดตำนานมันก็เป็นไปได้เสมอ และพิมเองก็พร้อม และเชื่อว่าแก้วกับหวานก็พร้อม แต่ตอนนี้ต่างคนต่างโตแล้วและอยากจะทำอะไรที่อยากจะทำ ถ้าแยกเดี่ยวพิมไม่พร้อมที่จะทำแน่ ๆ ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่รู้สึกว่าถ้าเป็นงานเพลงคนเห็นหน้าเราก็ต้องนึกถึง พิม ซาซ่า จะแยกเดี่ยวก็ไม่สมบูรณ์”
นอกจากงานที่ทำอยู่ตอนนี้ “พิม” อยากจะทำอะไรอีกหรือเปล่า
“พิมอยากจะทำงานพิธีกร ทำรายการ มันเป็นอะไรที่พิมเคยลองมาช่วงหนึ่ง รู้สึกว่าเป็นงานที่สนุกมาก ตอนนั้นมันไม่สามารถให้พิมเข้าไปทำเต็มตัวได้ ตอนนี้เลยรู้สึกว่าเริ่มโต ก็เลยอยากจะกลับไปทำ พิมคิดว่างานพิธีกรเป็นอะไรที่ต้องมีความรู้รอบตัว ถ้าพูดถึงทั้ง 3 อย่าง ร้องเพลง เล่นละคร พิธีกร แต่ละอย่างก็แตกต่างกันไป อย่างงานเพลงเรียกว่าเป็นตัวเองมากที่สุด แต่งานละครเป็นอีกมุมหนึ่ง ถ้าใครไม่ได้เข้ามาสัมผัสก็จะไม่รู้ว่ามันยากมาก และพิมได้ประสบการณ์จากตรงนี้เยอะมาก งานพิธีกรพิมจะเน้นเป็นรายการท่องเที่ยว ซึ่งตรงนั้นเราก็ได้เปิดโลกอีกมุมหนึ่ง ส่วนงานเบื้องหลังก็เคยคิด พิมคิดอยากจะทำโฆษณา แต่พิมเรียนจบมาทางด้านการโรงแรม แต่ถ้าตั้งใจทำมันจริง ๆ ก็จะได้”
จริง ๆ แล้วงานในวงการไม่ค่อยมั่นคง “พิม” มีเตรียมตัวขยับไปทำธุรกิจบ้างมั้ย
“พิมเคยทำมาบ้างแล้ว สิ่งที่อยากทำต่อไปก็คงจะเป็นในเรื่องของความรักความชอบ ซึ่งอาจจะไม่คิดถึงเม็ดเงินหรือธุรกิจอะไรมากมาย อาจจะทำแล้วตอบโจทย์ตัวเองว่าเราชอบอะไรจะทำอะไร อาจจะเป็นแฟชั่น เสื้อผ้า แค่คิดไปเรื่อย ๆ แต่งานตอนนี้เยอะมากไม่มีเวลาไปคิดอะไร”
ถ้าพูดถึงการทำงานทุกวันนี้ “พิม” พอใจกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า
“พอใจค่ะ พิมรู้สึกว่าพิมก็มาจากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ หน้าตาดีมั้ย ก็ไม่ได้เทียบเท่ากับนางเอกคนอื่น ๆ อาจจะแค่พอดูได้ แต่เรามีโอกาสมากกว่า โอกาสที่ได้รับมา พิมพยายามที่จะรักษามันและทำมันให้ดีที่สุด โดยที่ผู้ใหญ่มอบหมายงานให้เราทำ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี เด็กใหม่เยอะก็ไม่เคยรู้สึกกดดัน เพราะ ณ วันหนึ่งเราก็เคยเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา การให้โอกาสคนเป็นสิ่งที่ดี ถ้าว่าเตรียมใจไว้มั้ย เมื่อวันหนึ่งตกลงจากนางเอก ตรงนี้พิมไม่เคยคิดเลย ถ้าถึงขั้นนั้นต้องตัดสินใจอีกที”
“พิมอยากจะทำงานพิธีกร ทำรายการ มันเป็นอะไรที่พิมเคยลองมาช่วงหนึ่ง รู้สึกว่าเป็นงานที่สนุกมาก ตอนนั้นมันไม่สามารถให้พิมเข้าไปทำเต็มตัวได้ ตอนนี้เลยรู้สึกว่าเริ่มโต ก็เลยอยากจะกลับไปทำ พิมคิดว่างานพิธีกรเป็นอะไรที่ต้องมีความรู้รอบตัว ถ้าพูดถึงทั้ง 3 อย่าง ร้องเพลง เล่นละคร พิธีกร แต่ละอย่างก็แตกต่างกันไป อย่างงานเพลงเรียกว่าเป็นตัวเองมากที่สุด แต่งานละครเป็นอีกมุมหนึ่ง ถ้าใครไม่ได้เข้ามาสัมผัสก็จะไม่รู้ว่ามันยากมาก และพิมได้ประสบการณ์จากตรงนี้เยอะมาก งานพิธีกรพิมจะเน้นเป็นรายการท่องเที่ยว ซึ่งตรงนั้นเราก็ได้เปิดโลกอีกมุมหนึ่ง ส่วนงานเบื้องหลังก็เคยคิด พิมคิดอยากจะทำโฆษณา แต่พิมเรียนจบมาทางด้านการโรงแรม แต่ถ้าตั้งใจทำมันจริง ๆ ก็จะได้”
จริง ๆ แล้วงานในวงการไม่ค่อยมั่นคง “พิม” มีเตรียมตัวขยับไปทำธุรกิจบ้างมั้ย
“พิมเคยทำมาบ้างแล้ว สิ่งที่อยากทำต่อไปก็คงจะเป็นในเรื่องของความรักความชอบ ซึ่งอาจจะไม่คิดถึงเม็ดเงินหรือธุรกิจอะไรมากมาย อาจจะทำแล้วตอบโจทย์ตัวเองว่าเราชอบอะไรจะทำอะไร อาจจะเป็นแฟชั่น เสื้อผ้า แค่คิดไปเรื่อย ๆ แต่งานตอนนี้เยอะมากไม่มีเวลาไปคิดอะไร”
ถ้าพูดถึงการทำงานทุกวันนี้ “พิม” พอใจกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า
“พอใจค่ะ พิมรู้สึกว่าพิมก็มาจากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ หน้าตาดีมั้ย ก็ไม่ได้เทียบเท่ากับนางเอกคนอื่น ๆ อาจจะแค่พอดูได้ แต่เรามีโอกาสมากกว่า โอกาสที่ได้รับมา พิมพยายามที่จะรักษามันและทำมันให้ดีที่สุด โดยที่ผู้ใหญ่มอบหมายงานให้เราทำ เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี เด็กใหม่เยอะก็ไม่เคยรู้สึกกดดัน เพราะ ณ วันหนึ่งเราก็เคยเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา การให้โอกาสคนเป็นสิ่งที่ดี ถ้าว่าเตรียมใจไว้มั้ย เมื่อวันหนึ่งตกลงจากนางเอก ตรงนี้พิมไม่เคยคิดเลย ถ้าถึงขั้นนั้นต้องตัดสินใจอีกที”
เข้าเรื่อง “ความรัก” ดีกว่า ณ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ถามว่าหลังจากเลิกกับพี่ตัน (กัปตัน) แล้วพิมปิดตัวเองมั้ย คงจะบอกว่าไม่เลย พิมไม่ได้ดึงใครมาเป็นปมของชีวิต ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดูจะใจแคบกับตัวเอง พิมไม่เคยปิดตัวเอง ไม่ใช่ว่าพอครั้งนั้นจบไปแล้วเราจะไม่มีความรักที่สดชื่น มันก็มีอยู่ตลอดกับสิ่งรอบ ๆ ตัวด้วย”
มุมมอง “ความรัก” เปลี่ยนไปหรือเปล่า
“ความรักพิมโตในจุดที่รู้ว่าความรักมันไม่ใช่แค่ความรักสดใส วัน ๆ ต้องคุยโทรศัพท์กัน แต่มันคือ ความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ พิมเรียนรู้ทุกอย่างก็จากตัวเอง ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีรักมั่นคงหรืออะไร เพียงแต่ว่าสื่อมวลชน อาจจะไม่ค่อยได้ยินความรักของพิม เพราะมันไม่หวือหวา มันเป็นมุมส่วนตัว ซึ่งเราก็อยากจะเก็บไว้ตรงนั้น ถามว่าเปิดมั้ย ก็ไม่ได้ปิดหรือเปิด ทุกวันนี้พิมก็มีคนที่ดูแล พูดคุย เป็นเรื่องปกติ”
ถ้าอย่างนั้นต้องถามเรื่องข่าวกับสาวหล่อ เรากลัวมั้ยว่าสังคมจะไม่ยอมรับ
“ในเรื่องความรักพิมว่าถ้าเราไม่ได้ทำเรื่องเสียหาย หรือในจุดที่พอเหมาะพอควรในสังคมไทยก็ไม่น่าจะมีปัญหา สังคมไทยทุกวันนี้เปิดกว้างเรื่องนี้ ถามว่าพิมอยากจะพูดเยอะมั้ย มันก็ต้องมีคน 2 กลุ่ม ที่รับได้และรับไม่ได้ ชอบกับไม่ชอบ พิมรู้สึกอะไรที่เราพูดมากเกินไปแล้วไม่ดีกับตัวเราและคนรอบข้าง เราก็ไม่อยากจะพูด แต่ถ้าเงียบไปเลยมันก็ไม่ใช่กับอาชีพเรา พิมก็ลำบากใจเหมือนกัน”
“ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ถามว่าหลังจากเลิกกับพี่ตัน (กัปตัน) แล้วพิมปิดตัวเองมั้ย คงจะบอกว่าไม่เลย พิมไม่ได้ดึงใครมาเป็นปมของชีวิต ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดูจะใจแคบกับตัวเอง พิมไม่เคยปิดตัวเอง ไม่ใช่ว่าพอครั้งนั้นจบไปแล้วเราจะไม่มีความรักที่สดชื่น มันก็มีอยู่ตลอดกับสิ่งรอบ ๆ ตัวด้วย”
มุมมอง “ความรัก” เปลี่ยนไปหรือเปล่า
“ความรักพิมโตในจุดที่รู้ว่าความรักมันไม่ใช่แค่ความรักสดใส วัน ๆ ต้องคุยโทรศัพท์กัน แต่มันคือ ความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ พิมเรียนรู้ทุกอย่างก็จากตัวเอง ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีรักมั่นคงหรืออะไร เพียงแต่ว่าสื่อมวลชน อาจจะไม่ค่อยได้ยินความรักของพิม เพราะมันไม่หวือหวา มันเป็นมุมส่วนตัว ซึ่งเราก็อยากจะเก็บไว้ตรงนั้น ถามว่าเปิดมั้ย ก็ไม่ได้ปิดหรือเปิด ทุกวันนี้พิมก็มีคนที่ดูแล พูดคุย เป็นเรื่องปกติ”
ถ้าอย่างนั้นต้องถามเรื่องข่าวกับสาวหล่อ เรากลัวมั้ยว่าสังคมจะไม่ยอมรับ
“ในเรื่องความรักพิมว่าถ้าเราไม่ได้ทำเรื่องเสียหาย หรือในจุดที่พอเหมาะพอควรในสังคมไทยก็ไม่น่าจะมีปัญหา สังคมไทยทุกวันนี้เปิดกว้างเรื่องนี้ ถามว่าพิมอยากจะพูดเยอะมั้ย มันก็ต้องมีคน 2 กลุ่ม ที่รับได้และรับไม่ได้ ชอบกับไม่ชอบ พิมรู้สึกอะไรที่เราพูดมากเกินไปแล้วไม่ดีกับตัวเราและคนรอบข้าง เราก็ไม่อยากจะพูด แต่ถ้าเงียบไปเลยมันก็ไม่ใช่กับอาชีพเรา พิมก็ลำบากใจเหมือนกัน”
ทางบ้านพอเห็นข่าวแล้วมีถามมั้ย
“คุณแม่ถามค่ะ เรื่องครอบครัวตัดไปได้ เพราะเราเข้าใจซึ่งกันและกันดี ถึงขั้นกังวลมั้ย ก็ไม่ได้กังวล ชีวิตเป็นของเราเอง ถ้าเราเอาไปยึดติดกับคนอื่นมันก็ไม่ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตเราก็หายไป ทุกวันนี้ยึดแต่ว่าทำอะไรแล้วไม่เดือดร้อนใคร และมีความรู้สึกว่าการที่เรายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับเด็ก ๆ พิมว่ามันน่าจะพอแล้ว”
ถ้าจะเลือกใครสักคนที่มายืนเคียงข้างเราเขาต้องเป็นยังไง
“ขออย่างเดียวเลยว่าต้องรักกันจริง ๆ และพร้อมที่จะดูแลซึ่งกันและกัน วันนี้ไม่ใช่ว่าเจาะจงด้วยซ้ำว่าเป็นใคร หน้าตาแบบไหน ขอแค่คนที่อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ ทุกวันนี้มุมมองความรักก็เปลี่ยนไป เพราะว่าเราโตขึ้น พิมก็มีประสบการณ์เรื่องความรักที่ไม่ใช่น้อยนิด เราก็สอนตัวเองไปในตัว ก็ดึงทั้งข้อดีและข้อเสียมาใช้”
ด้วยความที่มีข่าวกับสาวหล่อมันทำให้หนุ่มจริง ๆ หายไปบ้างมั้ย
“พิมไม่สนใจเลย จะมีมาหรือไม่มีมาก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการใช้ชีวิต ประจำวัน ซึ่งที่พิมอยู่ทุกวันนี้ก็พอแล้ว ชีวิตคู่ของพิมไม่จบลงที่แต่งงาน พิมรู้สึกว่าใครสักคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ใช้ชีวิตด้วยกันง่าย ๆ ไม่ได้กังวลอะไรก็พอแล้ว พิมยังไม่มองไกล ขอแค่มีความสุขทุก ๆ วัน”
และนี่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งของ “พิม-พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร” ที่เราหยิบมาฝาก เชื่อว่าคุณคงจะได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของเธอมากยิ่งขึ้น.
“คุณแม่ถามค่ะ เรื่องครอบครัวตัดไปได้ เพราะเราเข้าใจซึ่งกันและกันดี ถึงขั้นกังวลมั้ย ก็ไม่ได้กังวล ชีวิตเป็นของเราเอง ถ้าเราเอาไปยึดติดกับคนอื่นมันก็ไม่ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตเราก็หายไป ทุกวันนี้ยึดแต่ว่าทำอะไรแล้วไม่เดือดร้อนใคร และมีความรู้สึกว่าการที่เรายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับเด็ก ๆ พิมว่ามันน่าจะพอแล้ว”
ถ้าจะเลือกใครสักคนที่มายืนเคียงข้างเราเขาต้องเป็นยังไง
“ขออย่างเดียวเลยว่าต้องรักกันจริง ๆ และพร้อมที่จะดูแลซึ่งกันและกัน วันนี้ไม่ใช่ว่าเจาะจงด้วยซ้ำว่าเป็นใคร หน้าตาแบบไหน ขอแค่คนที่อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ ทุกวันนี้มุมมองความรักก็เปลี่ยนไป เพราะว่าเราโตขึ้น พิมก็มีประสบการณ์เรื่องความรักที่ไม่ใช่น้อยนิด เราก็สอนตัวเองไปในตัว ก็ดึงทั้งข้อดีและข้อเสียมาใช้”
ด้วยความที่มีข่าวกับสาวหล่อมันทำให้หนุ่มจริง ๆ หายไปบ้างมั้ย
“พิมไม่สนใจเลย จะมีมาหรือไม่มีมาก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการใช้ชีวิต ประจำวัน ซึ่งที่พิมอยู่ทุกวันนี้ก็พอแล้ว ชีวิตคู่ของพิมไม่จบลงที่แต่งงาน พิมรู้สึกว่าใครสักคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ใช้ชีวิตด้วยกันง่าย ๆ ไม่ได้กังวลอะไรก็พอแล้ว พิมยังไม่มองไกล ขอแค่มีความสุขทุก ๆ วัน”
และนี่ก็เป็นอีกมุมหนึ่งของ “พิม-พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร” ที่เราหยิบมาฝาก เชื่อว่าคุณคงจะได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของเธอมากยิ่งขึ้น.
ขอขอบคุณรูปภาพ จากอินแม็กกาซีน , Her World
ที่มา..แม็กกาซีนดี.คอม
https://www.facebook.com/teeneedotcom