‘ตุ้ย ธีรภัทร์’ ตอบชัดสาเหตุหย่าภรรยา ‘แอนนา นาตาชา’
"ก็เป็นความจริงครับ"
ข่าวว่าหย่าได้4-5 เดือนแล้ว
"ก็โดยประมาณนั้นครับ"
เห็นบอกว่าแยกกันอยู่
"ก็ก่อนหน้านั้นสักพักใหญ่แล้วครับ"
ตลอด2 ปีที่ผ่านมามีข่าวมาตลอดว่าเตียงหักคือเรื่องจริงใช่มั้ย
"เตียงไม่ได้หักครับ(หัวเราะ) ก็คงจะเหมือนชีวิตคู่ของหลายๆคนแหละครับมันก็คงจะมีทั้งราบรื่นบ้างมีปัญหาบ้างครับก็ใช้คำว่าค่อนข้างจะเป็นช่วงที่จะปรับตัวเข้าหากันแล้วก็ทำให้มันดีขึ้นแต่ว่าก็คงจะมาถึงจุดที่เราทั้งสองคนเห็นตรงกันแล้วก็ตัดสินใจกันด้วยเหตุและผลที่จะเปลี่ยนสถานะครับ"
สาเหตุหลักๆในการหย่า
"คงจะเป็นเรื่องของทัศนคติแล้วก็เรื่องของมุมมองในการใช้ชีวิตที่อาจจะไม่สอดคล้องกัน"
อายุที่ห่างกัน5 ปีนี่มีส่วนไหม
"ไม่เกี่ยวครับผมไม่เชื่อว่าในมุมของอายุมันจะมีผลแต่ผมเชื่อว่ามันคงเป็นที่ความคิดและมุมมองชีวิต"
เรื่องลูกตกลงเรื่องดูแลกันไว้ยังไง
"หลักๆก็อยู่ที่แอนนาแต่ว่าก็อยู่ไม่ไกลกันหรอกครับ"
มีข่าวลือว่ามีมือที่3
"ไม่มีแน่ๆครับ""ไม่มีหรอกครับเพราะว่าที่ผ่านไม่คิดว่าประเด็นนี้จะมีผลอะไรทั้งสิ้นในการตัดสินใจ"
ที่บอกว่าทัศนคติไม่ตรงกันอันนี้รู้ตัวเมื่อไหร่ว่าไม่เหมือนเดิมแล้ว
"มันก็คงจะเป็นระยะๆเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เวลามีความคิดเห็นมุมมองในเรื่องต่างๆก็ใช้เวลาปรับตัวเพื่อจะดำเนินต่อแต่ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เราตัดสินใจตรงกัน"
ในวันที่ตัดสินใจว่าจะแยกทางกันมันมีความลำบากใจมากน้อยขนาดไหนเพราะเราก็อยู่ด้วยกันมานาน
"อืม...ก็แน่นอนครับมันก็ต้องเป็นความเสียใจผิดหวังอยู่แล้วเพราะว่าจุดเริ่มต้นมันการสร้างครอบครัวมันก็ต้องเกิดจากความตั้งใจที่ดีความรู้สึกที่ดีๆครับถ้ามันถึงช่วงหนึ่งของชีวิตของเส้นทางที่ดำเนินมาแล้วมันไม่สามารถไปต่อได้ก็ต้องยอมรับความจริงแล้วก็คุยกันว่าเราจะตัดสินใจที่จะเปลี่ยนฐานะเปลี่ยนบทบาทเป็นคุณพ่อและคุณแม่ที่จะดูแลลูกที่น่ารักต่อไปครับ"
ใครเป็นคนเริ่มต้นตัดสินใจแยกทาง
"มันไม่มีใครเริ่มต้นครับมันไม่มีจุดเริ่มต้นมันไม่ใช่ฉากหนังเพราะฉะนั้นมันจะผ่านการพูดคุยกันแล้วก็ยอมรับในธรรมชาติของกันและกันมากกว่า"
ลูกชายเรารับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นไหมเราอธิบายเขาอย่างไร
"อืม...ถามถ้าตอนนี้คือไม่ทราบหรอกผมไม่ทราบว่าเขาเข้าใจหรือไม่เข้าใจเพราะว่าในมุมเราเราก็มองว่าเขาก็คงต้องเข้าใจในวันหนึ่ง"
มันจะต้องมีการตั้งคำถามเกิดขึ้นเพราะว่าปกติลูกจะเห็นพ่อแม่อยู่ด้วยกันแล้ววันหนึ่งกลับไม่ได้เห็นแล้วเราเตรียมคำตอบนี้ไว้อย่างไร
"ไม่ต้องเตรียมครับผมเชื่อว่าลูกผมก็คงจะมีสัญชาตญาณในการปรับตัวและเข้าใจด้วยเซ้นส์ของเขา"
เรากังวลไหมเพราะลูกยังเด็กเราจะประคับประคองลูกอย่างไรต่อไป
"คือผมเชื่อว่าความรักระหว่างความเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังเหมือนเดิมผมเชื่อว่าความรักเหล่านี้เขาสามารถรับรู้ได้ในความเป็นลูกแต่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนจะเป็นลักษณะไหนผมเชื่อว่าผมคงตอบวันนี้ไม่ได้นะครับแต่ผมแค่เชื่อว่าด้วยความรักของเราทั้งสองคนที่ยังพร้อมจะดูแลเขาต่อเขาก็น่าจะมีพลังในความรักของพ่อแม่ในการที่จะเติบโตไปในโลกที่หมุนเร็วมากและปรับเปลี่ยนเร็วมากได้อย่างแข็งแรง"
ก่อนที่เราจะออกมาให้สัมภาษณ์แอนนารับทราบแล้วใช่ไหม
"ก็คุยกันว่าในแนวทางนี้ก็คงจะถึงจุดที่อาจจะต้องชี้แจงว่าสถานการณ์เป็นยังไงก็เข้าใจตรงกัน"
เสียดายเวลา11 ปีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมั้ย
"เสียดายอยู่แล้วครับแต่ถามว่าเสียดายแล้วเราต้องเดินต่อมั้ยเราก็คงจะต้องเดินต่อ"
หลังจากนี้วางแผนชีวิตต่อไปยังไง
"เอาตรงๆเลยนะครับยังไม่ได้วางแผนอะไรทั้งสิ้นเพราะคิดว่าเราอยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุดครับหายใจลึกๆฮึบและเดินต่อไป"
ยังทำงานในวงการบันเทิงเหมือนเดิม
"ในส่วนงานบันเทิงยังทำต่อเนื่องครับ""คือเรื่องธุรกิจมันเป็นปัญหาที่ค่อนข้างละเอียดซับซ้อนนะครับถามว่าเกี่ยวกับเลิกมั้ยไม่เกี่ยว"
เป็นเรื่องของคนสองคนที่ไม่เข้าใจกันแล้ว
"เป็นเรื่องของทัศนคติในการใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกันมากกว่า"
ถึงแม้จะเลิกกันแล้วณวันนี้ยังรักแอนนาอยู่มั้ย
"อืม... ก็รักในฐานะของเอ่อ.. ของความเป็นเพื่อนที่ดีการเป็นทีมเวิร์กที่ดีและการที่เราจะแชร์ความรักของเราไปให้ลูกของเราให้ดีที่สุด"
ตอนนี้พอจะทราบถึงสภาพจิตใจของแอนนามั้ยว่าเป็นอย่างไร
"แน่นอนว่าต่างคนต้องผ่านระยะเวลาของการเสียใจแต่ว่าก็คงจะเป็นระยะเวลาที่เราต้องปรับตัวและเดินต่อไปในทิศทางที่เราคิดว่าเหมาะสมที่สุด"
หลังจากหย่ากันแล้วมีการตกลงเรื่องสินสมรสและสิทธ์ของลูกยังไง
"ถ้ารายละเอียดตรงนี้ต้องขออนุญาตไม่ชี้แจงดีกว่า"
เห็นว่าคุณพ่อ(บิ๊กหอยธวัชชัยสัจจกุล) ไม่ทราบเรื่องว่าหย่ากันแล้ว
"พ่อผมก็อยู่อีกที่หนึ่งนะครับนานๆจะนัดกินข้าวกันทีท่านก็อายุมากแล้วก็เลยไม่อยากเอาเรื่องไม่สบายใจไปรบกวนจิตใจตอนนี้ก็คุยกับท่านเรียบร้อยแล้วท่านก็ว่าอ้าวหรอแล้วก็หัวเราะฮ่าๆคุณพ่อก็ให้กำลังใจตลอดในมุมของการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นวิกฤตไหนๆในชีวิตก็ตามมันก็เป็นธรรมชาติของชีวิตมนุษย์คงไม่มีอะไรดีเสมอหรือว่าร้ายเสมอไม่ใช่สุขอย่างเดียวหรือทุกข์อย่างเดียวทุกอย่างมันก็ปะปนกันไปเราก็แค่มีสติที่ดีและดำเนินชีวิตต่อไปให้สมดุลที่สุดเท่าที่เราจะทำได้"
รู้สึกโล่งสบายใจขึ้นมั้ยได้ออกมาพูดแล้ว
"มันไม่เกี่ยวกับว่าวันนี้จะทำให้โล่งหรือพรุ่งนี้จะทำให้สบายนะมันก็คงจะเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราก็มองเห็นแล้วล่ะว่าถึงวันหนึ่งก็คงจะชี้แจงก็ให้ถึงเวลานั้นแล้วเวลานั้นก็คือวันนี้ถามว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ยังไม่ทราบเหมือนกัน"
ตอนที่มีข่าวใหม่ๆมีคนโทรมาหาเยอะไหม
"ส่วนใหญ่จะอยู่ในกองแหละครับจริงๆ เพราะเมื่อวานก็เพิ่งปิดกล้องไปส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในกองเลยไม่ได้ถือโทรศัพท์"
ตอนนี้ทำงานได้ใช่ไหมมีสมาธิใช่ไหม
"มีสติดีกว่ามีสติกกับทุกๆการตัดสินใจแล้วก็คงจะเห็นทางในการเดินต่อไป"
ได้เห็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกมาบ้างไหม
"อื้อ...เอาตรงๆเลยนะยังไม่ได้อ่านเพราะว่าเพิ่งปิดกล้องละครเมื่อคืนนี้(31 ส.ค.) นี้เอง"
หลายคนมองในเรื่องของมือที่สามเรื่องของความเจ้าชู้
"ไม่มีแน่ๆไม่มีๆ"
ถ้าวันหนึ่งมีใครคนใหม่เข้ามากลัวไหมว่าจะถูกจับตามอง
"อื้อ... ผมว่ามันอยู่ที่มุมมองว่าธรรมชาติของเราเป็นยังไงแน่นอนว่าในแรงกดดันหรืออะไรต่างๆมันต้องมีเป็นปกติอบู่แล้วแต่ก็ต้องเรียนว่าในการทำงานมาเกือบ20 ปีแล้วก็มีทั้งเรื่องราวที่สุ่มเสี่ยงบ้างเรื่องราวที่น่ายินดีบ้างหรืออาจจะไม่น่ายินดีบ้างมันก็ปะปนกันไปแต่ถาม่ามันจะกระทบกับการตัดสินใจของเรามากน้อยแค่ไหนผมก็คิดว่าในที่สุดแล้วก็อยู่ที่ตัวเราอยู่ที่ใจเราด้วย"
ยังสามารถเจอแอนนาพูดคุยกันได้ใช่ไหม
"ถามว่าพูดคุยคือเราพูดคุยกันอยู่แล้วและจริงๆแล้วก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากมีความห่วงใยให้กันและกันตลอดเวลาเพราะยังไงก็ตามแล้วเราก็ยังอยากสื่อสารความสุขกับลูกของเราอยู่เพราะผมเชื่อว่าตรงนี้ก็ยังเป็นส่วนสำคัญอยู่เพียงแต่ว่าก็เปลี่ยนชุดความคิดสักนิดหนึ่งเปลี่ยนให้มันเดินไปได้อย่างราบรื่นที่สุด"
วางแผนการเป็นพ่อแม่ต่อจากนี้ไว้ยังไงต้องเปลี่ยนแนวทางไหม
"ไม่ต้องวางแผงเพราะว่ายังดำเนินไปตามสถานการณ์ในปัจจุบันในฐานะของการเป็นพ่อแม่ไม่เปลี่ยนและจะไม่มีวันเปลี่ยนด้วย"
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มุมมองชีวิตคู่เปลี่ยนไปไหม
"กับตัวเองก็คงต้องกลับมาทำความเข้าใจกับตัวเองบ้างเพราะว่าวิกฤตครั้งนี้มันก็จะมีจุดที่เราต้องมองตัวเองวิเคราะห์ตัวเองว่าเราบกพร่องตรงไหนแล้วจะแก้ไขข้อบกพร่องได้ยังไงแล้วจะทำให้มีกำลังใจกลับมาเดินต่อมีพลังในการทำงานต่อได้อย่างไรมันก็ต้องกลับมาคิดถึงข้อบกพร่องตัวเอง"
เราเป็นนักธุรกิจอาจจะทำงานหนักจนมีเวลาให้กับครอบครัวน้อยหรือเปล่า
"ในส่วนของเวลามันก็มีผลกระทบอยู่แล้วอาจจะโดยธรรมชาติเราเป็นนักกีฬาเวลาลงสนามก็เต็มที่แต่ถามว่าจะเปลี่ยนธรรมชาติของการทำงานเราได้ไหมมันก็ต้องไปคิดมันยากพิสมควร"
แสดงว่ายอมรับว่ามีผลจริง
"ยอมรับครับ"
เคยคุยกันเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม
"ก็เคยมีครับ"
https://www.facebook.com/teeneedotcom