เปิดใจฟิลลิปส์หมดเปลือก น้องสุดน่ารักมีเสน่ห์
ฟิลลิปส์เกิดที่ไหน พ่อแม่เป็นคนไทยหรือเปล่า ทำไมพูดไทยไม่ชัด ?
"พ่อแม่ผมเป็นคนไทยแท้ ๆ ทั้งสองคนครับ มีพี่สาว 1 คน กับน้องชายอีก 2 คนครับ ผมเกิดที่สตอกโฮล์ม สวีเดน ผมเป็นคนที่พูดได้ 3 ภาษาคือ ภาษาสวีเดน, อังกฤษ, ไทย ตอนที่อยู่ที่สวีเดน พ่อแม่เขาก็จะพูดไทยกับน้อง คือน้องฟังเข้าใจหมดครับ แต่ตอนที่ตอบเขาก็พูดเป็นสวีเดน แล้วพอมาอยู่เมืองไทยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นก็เริ่มที่จะเรียนภาษาไทย ตอนนี้ก็พูดได้เยอะขึ้น แต่ยังมีสำเนียงที่ผิดอยู่ ก็ต้องฝึกต่อไปครับ ส่วนการอ่านก็อ่านภาษาไทยออก แต่เขียนยังไม่ค่อยเก่งครับ"
ทำไมฟิลลิปส์แทนตัวเองว่าน้อง ?
"คือคุณแม่เขาเรียกผมว่าน้องครับ น้องก็แทนตัวเองว่าน้องมาตลอดเลยครับ เวลาคุยกับใครก็แทนตัวเองว่าน้องตลอดครับ"
ตอนนั้นตัดสินใจมาอยู่เมืองไทยเพราะอะไร ?
"ที่มาเพราะว่ามีงานในวงการ ช่วงที่น้องเรียนจบ พ่อแม่ก็ซื้อตั๋วเครื่องบินให้มาเที่ยวเมืองไทย แล้วมีอยู่วันหนึ่งพาไปเที่ยวเซ็นทรัลเวิลด์ ก็เจอคุณม้า อรนภา แม่น้องก็บอกว่าให้ไปถ่ายรูปกับคุณม้า แบบแม่ปลื้มคุณม้า แล้วพอเข้าไปขอถ่ายรูปเสร็จ คุณม้าก็บอกว่าน้องมีโอกาสทำงานในประเทศไทยนะถ้าอยากทำ ก็เลยแลกเบอร์กัน จากนั้นน้องก็ได้เจออีกหลายคนครับ แล้วก็ได้เจอพี่เมย์ ผู้จัดการ และก็ได้เจอคนอีกเยอะมาก และหลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสถ่ายแบบงานแรกเลยครับ เป็นงานหมาแมวของพี่เก๋ ชลลดา แล้ววันนั้นก็ได้เจอพี่ ๆ ดาราเยอะมาก วันนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการถ่ายแบบ แบบจริงจังมาก ๆ คือน้องเกร็งมาก เพราะว่าน้องเป็นคนแพ้ขนสัตว์ พอถ่ายเสร็จก็ต้องรีบไปล้างมือ แต่วันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ ไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้น แล้วพอโปสเตอร์เสร็จได้เห็นตัวเองครั้งแรกในโปสเตอร์ ก็ตื่นเต้นมาก เพราะว่ามันออกมาดี ก็ภูมิใจมากกับงานชิ้นแรกของตัวเอง"
มาอยู่เมืองไทย 3 ปี ได้เรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง ?
"เยอะมากเลยครับไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องการทำงาน เรื่องศาสนา เรื่องรถติด (หัวเราะ) สิ่งที่เราชอบมากสำหรับเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯคือเป็นเมืองที่ไม่หลับไม่นอน เหมือนเซเว่นฯ (หัวเราะ) ถ้าเทียบกับสวีเดน คือหลังจาก 3 ทุ่มก็จะเงียบเลย รถอะไรก็ไม่มีเลย ทุกคนเข้าบ้านนอนกันหมด แต่ประเทศไทย ตี 3 ยังขายผัดไทยกันอยู่เลย ซึ่งผมชอบมากสนุก"
"ที่เข้าไปประกวดตอนนั้นก็ทั้งพี่เมย์ พี่ ๆ อีกหลายคนก็สนับสนุนให้เข้าไปประกวด ตอนนั้นก็แบบไปออดิชั่นครั้งแรก เจอคนประมาณ 500 คน ถึงแม้เราจะมีความมั่นใจขนาดไหน ถ่ายโฆษณามาเยอะขนาดไหน แต่พอต้องแข่งกับคน 500 คน มันไม่ได้ง่ายเลยนะครับ ตอนนั้นความรู้สึกมีทุกอย่างเลย กลัว เสียว หนาว มาหมดเลยครับ แล้วยิ่งเราสัมภาษณ์รอบแรกเจอป้าตือ คือนั่งอยู่ได้ยินป้าตือคอมเมนต์คนอื่นเราก็แบบรู้สึกกดดัน ไม่อยากเข้าเลย (หัวเราะ) แต่พอเราเข้าไปก็เจอสัมภาษณ์นิดหน่อย แล้วเขาก็ให้ผมลองเล่นแอ๊ค ติ้งให้เขาดู จากตรงนั้นผ่านก็เข้ารอบ 40 คน ก็สบายใจได้ระดับหนึ่ง และจากนั้นก็ผ่านการทดสอบไปเรื่อย ๆ จนเข้ารอบสุดท้าย น้องทุ่มเทสุดตัวเลยครับ คือใส่เต็มเลย แล้วพอผ่านมาถึงวันสุดท้ายที่เหลือกันทีมละคน วันนั้นในหัวผมคิดว่า "กูชนะแล้ว กูชนะแล้ว" (หัวเราะ)" คือผมทุ่มเทมาก ๆ แล้วในใจของเราก็บอกอีกว่า พุทโธ่ พุทโธ่ ๆ ในชีวิตไม่มีอะไรที่เที่ยงนอกจากความตาย แล้วก็หลับตาจับมือพี่เกด รอฟังประกาศ แล้วพอเขาประกาศเป็นชื่อของเรา ผมอยากจะวิ่งออกไปเลยครับคือดีใจมาก แต่คิดได้ว่าถ่ายทอดสด ก็เลยวิ่งไปกอดพี่เกด กอดทุกคน แล้วจากนั้นผมก็เดินอย่างมั่นใจมาก ตอนนั้นน้องรู้สึกว่ามันเป็นความสุขที่ทำให้เราลืมทุกอย่าง มันเป็นเหมือนเราได้เป็นไอดอลใหญ่ของน้องคือ ไมเคิล แจ๊คสัน เหมือนน้องได้เจอไมเคิล แจ๊คสัน แล้วได้จับมือเขา ตอนนั้นมันมีความรู้สึกกลัวนิดหน่อยด้วยนะ แต่ก็มีความสุขมาก"
หลังจากที่ได้ตำแหน่งแล้ว คิดว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมั้ย เพราะถูกจับตามองแล้ว ?
"ไม่เลยครับ ผมก็ยังเป็นตัวเองเหมือนเดิมนะ แต่การเปลี่ยนแปลงก็น่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษาไทยของน้อง เพื่อที่จะได้เล่นละครได้ เล่นหนังได้ หรือเรื่องของการแสดง ต้องเรียนแอ๊คติ้งเพิ่ม ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเอง และอีกอย่างที่ต้องเรียนเพิ่มคือการทำอาหารด้วยคือที่บ้านของน้องมีแต่อาหารแช่แข็ง แล้วที่บ้านก็มีตลาด คือเราต้องกินอกไก่เยอะขึ้น คือต้องดูแลรูปร่างของตัวเองให้มากขึ้น เลยต้องฝึกทำอาหารครับ แต่จริง ๆ ก็พอจะทำได้แล้วนะ แต่การทำอาหารคลีน ต้องมีความรู้ด้วย ว่าเราจะใส่น้ำมันอะไรดี ใส่เกลือได้มั้ย ใส่อะไรได้บ้าง"...
ขอถามเรื่องส่วนตัว ฟิลลิปส์เป็นคนแบบไหน คุยเก่งมั้ย หรือเป็นคนเงียบ ๆ ?
"จริง ๆ เป็นคนที่พูดมากนะครับ ถ้าสนิทแล้วจะพูดเยอะมาก และก็เก่งกินด้วย กินเยอะมาก น้องแนะนำเลยนะครับ ถ้าจะเลี้ยงข้าวน้องให้เลี้ยงบุฟเฟ่ต์ครับ รับรองคุ้มมาก (หัวเราะ)"
แล้วฟิลลิปส์เป็นคนโลกส่วนตัวสูงมั้ย ?
"คือจะมีโลกส่วนตัวก็ต่อเมื่อน้องใส่หูฟังครับ น้องเป็นคนที่ชอบฟังเพลง ชอบที่จะนั่งรถเมล์ นั่งเรือ แล้วใส่หูฟังฟังเพลงแล้วมองวิวไปเรื่อย ๆ มันก็เหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง เหมือนการนั่งสมาธิ คือฟังก็ฟังไป มองก็มองไป อยู่ที่เดิม คืออยู่กับตัวเอง มันชิลมากเลยนะครับ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมากครับ เจอกันก็เข้ามาทักทายกันได้นะครับ คือตอนนี้มีคนเข้ามาทักทายขนาดที่เข้าห้องน้ำชาย กำลังฉี่อยู่ เขาก็ทักว่านี่น้องฟิลลิปส์หรือเปล่าครับ ผมก็ครับ (หัวเราะ) คือเราไม่ได้ว่าอะไรนะ เขาก็ไม่ได้มองข้างล่าง เขามองหน้าผมแบบทักทายจริง ๆ"
ขอถามเรื่องสาว ๆ บ้าง มีแฟนแล้วยังตอนนี้ ?
"ไม่ครับ น้องโสดมา 3 ปีแล้วครับ เพราะว่ามาอยู่เมืองไทยแล้วเขาอยู่ที่โน่นคือมันไกลกันมาก แล้วเขาไม่เชื่อเรื่องรักทางไกล ทำให้ตอนนี้โสดมา 3 ปีแล้วครับ"
แล้วสเปกชอบแบบไหน ?
"คือเรื่องหน้าตาไม่ได้ซีเรียสครับ แต่จะดูที่นิสัย แล้วจะบอกว่าสเปกของน้องสูงมากครับ คือน้องชอบผู้หญิงแข็งแรง ออกกำลังกาย เราเล่นอะไรกับเขาได้ อยากเจอคนที่รักในการฟังเพลงทุก ๆ แนว อยากเจอคนที่ชอบดูหนัง และอยากจะเจอคนที่คุยอะไรกับเขาก็ได้ เหมือนโลกกว้าง คุยกันเรื่องการเมือง เรื่องเที่ยว เรื่องกิน เรื่องหุ้น ก็คุยกันได้ คือน้องชอบผู้หญิงสนุก ๆ บ้า ๆ บอ ๆ กับเราได้ ไปไหนกับเราได้ และอยากเจอคนที่เต้นได้ด้วย และมีระเบียบวินัยในตัวเอง และมีเป้าหมายในชีวิต และที่สำคัญห้ามกินทุเรียนด้วย เพราะน้องไม่ชอบทุเรียน (หัวเราะ) คือมันเหม็น สเปกผมสูงมั้ยครับ (หัวเราะ) คือผมก็เป็นแบบที่พูดนั่นแหละครับ อยากจะเจอคนที่เหมือน ๆ กัน แต่ตอนนี้ยังไม่เจอเลยครับ แต่ก็ไม่เครียดน้องเชื่อว่าถ้าถึงเวลาจะเจอก็เจอเอง ตอนนี้ก็ทำงานไปก่อน มีอะไรที่ท้าทายรอน้องอยู่อีกเยอะเลยครับตอนนี้"
เรียกได้ว่าอนาคตไกลที่เดียวสำหรับหนุ่มน้อยคนนี้ ส่วนเสาร์หน้าเราก็ยังมีหนุ่ม ๆ หน้าใส มานั่งพูดคุยเหมือนเคยแต่จะเป็นใครนั้น ก็ต้องรอกันในวันเสาร์หน้านะจ๊ะ....
https://www.facebook.com/teeneedotcom