โดย เอสเธอร์ กล่าวว่า จริงๆ เรียกว่าเป็นเหมือนก้าวแรกของทั้งคู่ อย่างน้องชายของหนูเป็นคนที่ชอบเพลงมาก และหนูก็เห็นถึงพรสวรรค์ที่เขามีมาตั้งแต่เด็ก เล่นดนตรีหลายชนิด พอโตมาเขาทำเพลงได้ เลยแบบไม่ว่าเขาจะทำอะไรหนูก็จะสนับสนุน ยิ่งพอเขามีโอกาสได้มาเจอกับพี่เคนซึ่งชอบฟังเพลงและดูงานแนวนี้ จนมีวันนึงที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสไปเรียน แล้วก็เป็นความฝันของทั้งคู่ได้ก้าวเข้ามาเป็นดีเจ. อยากให้ทุกคนลองเปิดใจ เพราะว่ายังไม่เคยมีใครเห็นทั้งคู่ในแนวนี้ หนูคิดว่าทุกคนก็ต้องมีจุดเริ่มต้น เพราะไม่แน่ว่าดีเจ.ไทยเก่งๆ อาจจะมีโอกาสได้ไปในระดับโลกก็ได้ เพียงแค่ว่าคนไทยกันเองต้องเปิดโอกาสให้คนไทยด้วยกันและช่วยเหลือกัน
"พี่เคนกับน้องชายของหนูเรียนทำเพลงที่เมืองไทย แต่ว่าตอนที่ไปเกาหลีคือไปดูงานเพลงเพื่อที่จะมาเป็นไอเดียในการทำงานค่ะ"
ต่อข้อถามกรณีมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการได้มาเป็นดีเจ.ในงานโร้ดทูของเฟสติวัลนี้ ดูก้าวกระโดดเหมือนใช้เส้นสายหรือเปล่า เอสเธอร์ตอบว่า อย่าเรียกว่าเส้นสายเลย ทั้งคู่ทำทุกขั้นตอนเหมือนที่คนอื่นทำ กว่าจะได้มาแบบนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ น้องชายกว่าจะไปเรียนและสอบมาได้ใช้เวลาหลายปี น้องชายเรียน 3-4 ปี เริ่มจากเรียนดนตรี เรียนทำเพลง เรียนมิกซิ่ง และเรียนซีดีเจ.ช่วงหลังๆ แต่เขาก็ซ้อมหนักมากพอสมควร ด้วยความที่เขามุ่งมั่นที่จะเป็นดีเจ.อย่างมาก ทุกวันนี้พี่เคนกับน้องชายก็เข้าขากันได้ดี เพราะว่าไปในทิศทางเดียวกันเรื่องเพลง วันที่ 10 ก.ค.ถ้าไม่ติดงานอะไร จะไปให้กำลังใจทั้งคู่ในการทำหน้าที่เป็นดีเจ.ครั้งแรก
"ก็บอกน้องชายว่าไม่ว่าคนจะพูดอะไร คือคนเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นผลงานของเราในด้านนี้ ฉะนั้นอย่าไปสนใจ เตรียมอะไรมาก็ทำให้เต็มที่ที่สุด อีกอย่างน้องชายก็ชอบอยู่เงียบๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกมากเท่าไหร่กับกระแสที่มีคนดราม่า" ดาราสาวกล่าว
https://www.facebook.com/teeneedotcom