ซิวใจป๋อ เอ๋ รับแล้วเป็นแฟน

ออกมายอมรับซะที หลังจากที่กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก

ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้พูดคุยนางร้ายรายนี้เธอก็ได้เปิดใจว่า

“เรื่องบวชพี่ป๋อก็บอกแล้วค่ะ เอ๋ก็รู้สึกดีใจแทนพ่อแม่เขานะค่ะ มันเป็นเรื่องที่น่ายินดี เรื่องหมอนคงไม่ถือแน่นอน ยิ่งถูกเพ่งเล็งแบบนี้เขาก็คงจะให้ญาติเขาถืออยู่แล้ว แต่เอ๋ก็คงจะไปร่วมงานแน่ๆ อยู่แล้ว ถามว่าเอ๋จะไปช่วยหรือมีส่วนร่วมกับงานยังไงบ้าง เหมือนทุกคนค่ะ ช่วยอะไรได้ก็ช่วย เสิร์ฟน้ำเสิร์ฟกาแฟก็ว่ากันไป

แต่หลักๆ พี่เขาอยากจะให้เอ๋ไปร่วมกันทำบุญมากกว่า

ไปทำบุญกัน ไปเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ เอ๋ยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองจะตื่นเช้าไปใส่บาตรได้หรือเปล่า อย่างเรื่องถือหมอนเพราะเป็นแฟนกัน

สมัยนี้เขาไม่คิดกันแล้วละ เพราะวัยรุ่นสมัยนี้เขาไม่รู้แล้ว

ขนมธรรมเนียมประเพณีแบบเก่าๆ กันอีกต่อไปแล้ว จะเป็นแฟนกันก็ได้แต่ไม่ต้องถือหมอน ถึงหนูจะถือหรือไม่ถือก็ไม่เกี่ยวกับหนูอยู่แล้ว มันต้องให้เขาเป็นคนตัดสินใจ แต่ถ้าหากเขาจะให้ถือเอ๋ก็จะไม่ถือ

อีกอย่างมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งคนจับตามองก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

“บ้านราคา 50 ล้าน จริงหรือค่ะ ไม่รู้เรื่องเลยเพิ่งจะรู้จากพี่นี้แหละค่ะ ก็เขาเพิ่งจะซื้อบ้านไป จะซื้อใหม่อีกแล้วเหรอค่ะ รวยจัง ( ทำหน้างง ) เอ๋คิดว่าเรื่องนี้มันต้องถามเขา เรื่องอนาคตอันนี้เอ๋เชื่อว่าพี่ๆ ก็ต้องรู้กันดีอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ไปถามเขาดีกว่า ไม่อยากพูดเดี๋ยวเจ็บตัว เพราะอะไรที่เอ๋พูดแบบนั้น เพราะข่าวมักจะถูกแปลงไม่เหมือนกับที่เราพูดตลอด เอ๋ก็เลยรู้สึกเบื่อที่จะพูดอะไรมาก หนูไม่อยากจะพูดอะไรเลยที่เกี่ยวกับเขา ส่วนตัวเอ๋เองนะไม่อยากพูด ไม่มีเหตุผลว่าทำไม หนูอยากจะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ

หนูเองไม่อยากจะพูดอะไรเลย ถ้าอยากรู้อะไรให้ไปถามเขาเอาเอง

แต่เอ๋ก็ยอมรับแหละว่าเราคบกัน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านั้น เอ๋ว่าทุกคนมีเหตุผลเป็นของตัวเองกันหมดเลย ถามว่าเราสนิทกันจริงมั้ย เราก็สนิทกันจริงๆ ยอมรับ

เอ๋เชื่อว่าทุกคนรู้หมดแหละว่าเราสนิทกันประมาณไหน

ความจริงเรื่องแบบนี้เราเป็นผู้หญิงจะให้พูดอะไรมาก นอกจากจะเสี่ยงว่าคนจะมองไม่ดีแล้ว พอพูดไปแล้วข่าวไม่ได้ออกมาอย่างที่เราพูด เราก็เสียอีก หนูว่าเราก็เปิดเผยมากแล้วนะ มากถึงขนาดนี้แล้ว เชื่อว่าทุกคนคงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”