เขาว่า หมิง เป็นมือที่สาม

หมิง ชาลิสา บุญครองทรัพย์ อดีตนางสาวไทยที่เข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ยังไม่พ้นตำแหน่ง และจากนั้นไม่นาน หมิง ชาลิสา เธอก็มีข่าวคราวตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะข่าวเสีย ๆหาย ๆ และเหมือนเป็นตราประทับหน้าเธอกับคำว่า “เจ้าแม่มือที่สาม” ฉายานี้ ไม่มีลูกผู้หญิงคนไหนอยากได้ เช่นเดียวกับหมิง ชาลิสา ที่วันนี้ เธอจะมาเปิดใจกับเรา ถึงทุกเรื่องราว ในชีวิตเธอ


ชีวิตตอนเด็ก เป็นไงคะ ?
 
 “หมิงเป็นเด็กดื้อ  เงียบ และเอาแต่ใจนิดหนึ่ง เพราะเป็นลูกสาวคนแรก ส่วนความฝันไม่เคยฝันอยากจะเป็นนางงามเลย เด็ก ๆ อยากเป็นทูต เพราะว่าคุณแม่ชอบเที่ยวต่างประเทศ เลยอยากให้ลูกเป็น   ทูต ก็ตั้งใจว่าโตขึ้นเราจะเรียนรัฐศาสตร์     การทูต แต่สุดท้ายความฝันนั้นก็เปลี่ยนไปค่ะ  มันเหมือนถูกลิขิต มาแล้ว”


เปลี่ยนความคิดจริง ๆ ตอนไหน ?

“ตอนที่เข้าไปเรียนธรรมศาสตร์นี่แหละค่ะ นอกจากจะเป็นลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัยแล้ว มันเหมือนเป็นความบังเอิญ วันหนึ่งหมิงนั่งดูทีวี ก็เห็นมีการประกาศรับสมัครนางสาวไทย ดูแล้วตอนนั้นรู้สึกว่ายิ่งใหญ่มาก แล้วได้ของเยอะมาก ได้คทา ได้ผ้าคลุม มานั่งคิดว่าทำไมเรามองข้ามการประกวดอันนี้ไป ถ้าได้มันเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล และความภาคภูมิใจของเรานะ เลยบอกคุณแม่ว่าจะไปสมัคร แม่เลยถามว่า ป่วยหรือเปล่า (หัวเราะ) แม่บอกให้กลับมาคิด ส่วนคุณพ่อบอกว่า ถ้าไม่ได้จะอายเขามั้ย ก็มานั่งคิดอีก ก็คิดว่าไม่อาย ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว ก็เลยไปสมัคร”



วันที่เดินเข้ากองประกวดคิดว่าตัวเองจะได้หรือเปล่า ?

“ไม่เลยค่ะ เพราะว่าคนที่เข้ามาแต่ละคนเขามีดีกรีดี ๆ กันทั้งนั้น แล้วพอเข้าไปเก็บตัวได้ 2 วัน ตอนนั้นจำได้ร้องไห้ โทรฯ กลับบ้านหาแม่ บอกแม่อยากกลับบ้าน รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง กดดัน รู้สึกเหนื่อย เครียด แต่แม่บอกว่าให้คิดว่าเราไปเที่ยวเล่น อย่าคิดว่าเราไปแข่งขันกับใคร เราก็เลยปรับความคิดใหม่ คิดแต่ว่าทำยังไงแต่ละวันให้เราสนุกและมีความสุข แล้วหมิงก็ผ่านเข้ารอบไปเรื่อย ๆ จนไปถึงรอบสุดท้าย

แต่ก่อน ที่จะถึงคืนสุดท้าย หมิงได้มาสองรางวัล

คือ ผมสวย กับขวัญใจช่างภาพ ตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงไม่ได้อะไรแล้วล่ะ ตอนนั้นป่วย หมิงท้องเสีย หมดแรงและโทรมมาก แต่พอเหลือสองคนสุดท้าย หมิงคิดว่าเรามาไกลมากเลยนะ คิด   ว่าพี่เขาต้องได้ แต่พอประกาศว่าเราได้ ก็มองหน้าแต่แม่อยากเห็นว่าเขา  รู้สึกยังไง 

ตั้งแต่คืนนั้นชีวิตเปลี่ยนไปหมดเลย

เหนื่อยมาก ๆ แต่ชีวิตของ  การเป็นนางสาวไทย ได้อะไรมากมาย ให้ทำงานเป็นดาราอีก 100 ปี ก็เทียบไม่ได้กับการเป็นนางสาวไทย เพราะหมิงมีความรู้สึกว่าเราเหมือนเจ้าหญิง ไปไหนมาไหนมีแต่คนมาต้อนรับอย่างดีมาก คนใหญ่คนโตมาต้อนรับ อย่างเวลาไปต่างประเทศ ได้รับการต้อนรับรถเป็นขบวนใหญ่โตมาก ทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้จักการวางตัว เป็นประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วจริง ๆ กับการตำแหน่งนี้ 

แต่พอได้ตำแหน่ง 5 เดือน หมิงเข้ามาเล่นละคร

ตอนที่เป็นนางสาวไทยได้ 5 เดือน ตอนนั้นถ่ายละครเรื่อง “พ่อดอกรักเร่” “พระสุพรรณกัลยา” และพิธีกรรายการทีวี และเรียนด้วย ตอนนั้นคิดว่าไม่อยากดร็อปเรียน เพราะคิดว่าเราทำได้   ถึงจะเหนื่อยก็ยอม เราไม่อยากทิ้งการเรียน ไม่อยากทิ้งโอกาสที่เข้ามา ก็พยายามทำให้ดีที่สุด จำได้ว่าวันที่อำลาตำแหน่ง ป่วยเข้าโรงพยาบาลเลย”


พอเข้าวงการบันเทิง ข่าวคราวก็ตามมา ? 
 
“หมิงเข้าใจการทำงาน เข้าใจวงการนี้ แต่หมิงเป็นห่วงครอบครัว คนรอบข้างมาก หมิง ยอมรับว่าถ้าประเด็นไม่แรงหนังสือขายไม่ได้ หมิงเลยมานั่งทำความเข้าใจว่าเรารับได้แค่ไหน ถ้าเรารับได้เราก็อยู่วงการนี้ได้ เคยคิดที่อยากจะออกจากวงการ แต่พอดีว่า ได้คุยกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาบอกว่าการที่เราเข้ามาในวงการนี้ถือว่าเราเป็นคนของประชาชนแล้ว ถึงแม้ว่าหมิงจะบอกว่าออกจากวงการ ไม่รับงาน แต่หมิงทำอะไรทุกคนก็ยังจับตามองเหมือนเดิม ข่าวก็ยังเหมือนเดิม แล้วหมิงจะออกทำไม เราก็ต้องสู้เดินหน้าต่อไป เลยฮึดสู้”

แล้วแต่ละข่าวที่ออกมา เคยมานั่งคิดไหมว่าที่มาที่ไปของมันมายังไง?

“เคยนั่งวิเคราะห์ ก็คิดว่าเราดวงไม่ดีเอง ขนาดเราไม่ได้เป็นคนทำ แต่หมิงเป็นบุคคลที่เข้าไปอยู่ในเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ก็มานั่งคิดว่าเราคงทำอะไรมา ไม่รู้ชาติที่แล้วชาตินี้เราทำสิ่งไม่ดี  มาหรือเปล่า มันเลยมาเป็นผลถึงตอนนี้ เราก็ต้องทำใจอย่างเดียวเลย และเลือกที่จะรับ เลือกรับเอาแต่สิ่งที่ดี ๆ และอยู่กับปัจจุบัน”


ส่วนฉายาที่เคยได้มา “เจ้าแม่มือที่สาม” เครียดไหมกับฉายานี้ ?

“แต่ตอนนี้ไม่ใช่หมิงแล้ว ตอนนั้นก็เครียดนะเพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย ด้วยความที่เรื่องราวต่าง ๆ มันมาผนวกกัน ทำให้แบบพอมีเรื่องอะไรมาก็คิดว่าเราทำ พอใครเลิกกันก็คิดว่าเป็นเราอีก แต่เคยคิดบ้างไหมว่า ผู้หญิงคนหนึ่งโดนประณามอย่างนี้ หมิงคิดว่าไม่มีใครชอบหรอก ถามคำหนึ่งว่าการที่เราจะมีแฟนสักคน จากการที่เราไปแย่งมา มันภูมิใจไหม ไม่มีลูกผู้หญิงคนไหนภูมิใจหรอก แล้วหมิงจะทำทำไม หมิงไม่ทำอยู่แล้ว หมิงว่าการที่หมิงมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้เนี่ย หมิงมีคุณค่าพอ มีเกียรติพอ  ที่จะไม่ทำอะไรอย่างนั้นให้ตัวเองเสื่อมเสีย เราคงไม่แลกชื่อเสียงของเรากับผู้ชายคนหนึ่ง

จริง ๆ เรื่องข่าว หมิงเคยออกมาเคลียร์ตัวเองไปครั้งหนึ่ง

 หมิงว่าหมิงเคลียร์ทุกอย่างเลย แต่คนไม่เชื่อ ข่าวก็ยังออกมาเสมอ มันเหมือนเป็นการตอกย้ำตราตรึงเราไว้ยังงั้น และอีกอย่างการที่ว่าเราไปเกาเหลากับคนโน้นคนนี้ หมิงถามว่า การที่เราไปเจอกันในงาน แต่หมิงไม่ได้รู้จักเขา ก็ไม่รู้ว่าจะไปทักเขายังไง หมิงไม่ใช่คนที่แบบว่าเจอใครก็ทักไปหมด หมิงเป็น  คนที่จะสนิทกับคนง่ายเฉพาะกับคนที่หมิงรู้จักไว้ใจซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเราไม่รู้จักจะเป็นคนนิ่ง ๆ เฉย ๆ ส่วนใครจะคิดว่าหมิงเป็นยังไงก็แล้วแต่ เพราะทุกวันนี้หมิงเลือกรับ เลือกรับเฉพาะแต่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข



อีกอย่างจะบอกว่า หมิงเป็นพวกสุขนิยม

เลือกที่จะทำแต่ความสุข ทำแล้วมีความสุขก็ทำ ไม่มีความสุขไม่ทำ มีคนถามว่าแคร์ไหมกับขี้ปากชาวบ้าน เราก็แคร์นะ แต่ถ้าจะให้เรามานั่งแคร์คำพูดของคนทุกคนก็ไม่ไหว เราจะอยู่ได้ยังไง แคร์คนมาก ๆ ถามว่าเขาทุกข์กับเราไหม เวลาที่เราทุกข์ เขาไม่ทุกข์แต่เขาสนุกเวลาที่เขาพูดถึงเรื่องของเรา

รู้สึกอึดอัดบ้างไหม กับการที่ถูกจับตามองและเป็นข่าวไม่ค่อยดีตลอดเวลา ?

อึดอัดค่ะบอกตรง ๆ แต่ตามที่หมิงคิดและรู้สึกนะ หมิงมีหมวกสองใบ หมิงอยากทำหน้าที่ในวงการ หมิงก็พยายามทำเต็มที่ให้ดีที่สุด แต่พอตอนไหนที่เลิกงาน ก็อยากเป็นตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ หมิงรู้สึกว่าฉันยังอยากมีชีวิตส่วนตัวอยู่


แล้วตอนนี้ หมิง มีแฟนหรือยัง ?

“ยังค่ะพูดได้เต็มปากเลย แต่หมิงว่า ช่วงนี้ของหมิงมันเป็นวัย มันไม่ผิดที่จะมีใครเข้ามาในชีวิต ที่จะได้หาประสบการณ์ใหม่ ๆ จากเมื่อก่อน    เราไปไหนมาไหนกับแม่ เพราะเรายังเด็กอยู่ แต่ตอนนี้เราโตขึ้น วุฒิภาวะ    เรามีมากขึ้น เราดูแลตัวเองได้มากขึ้น เรารู้จักคนมากขึ้น มันเป็นวัยที่กำลังค้นหา ซึ่งหมิงคิดว่าหมิงเองก็ยังค้นหาตัวเองไม่จบ



อีกอย่างค่านิยมของคนในสังคมมันเปลี่ยนไปนะ

จากเมื่อก่อนสมัยแม่ พ่อ เขาไม่เห็นจะต้องมีกิ๊ก ซึ่งเราเห็นเพื่อนเจอหลาย ๆ เหตุการณ์มา ก็มานั่งคิดว่า เราจะเจอยังงั้นไหม เพราะถ้าหมิงจะคบใคร หมิงไม่ทำอย่างนั้น และที่สำคัญคือความรัก ไม่ต้องรักเราเท่าพ่อแม่ เมื่อก่อนคิดว่าใครจะมา   รักเรา ต้องรักเราเท่าพ่อแม่ ลืมไปว่าเขาไม่ใช่พ่อแม่ แต่เอาแค่เขารักเราและเข้าใจเรา เห็นคุณค่าเรา และเมื่อไรที่เราจะต้องอยู่ตัวคนเดียว เขาจะดูแลเราได้แค่นั้นพอแล้ว 

เขาบอกว่าคนเราชาติหนึ่ง เรามีคู่หลายคน

คนที่เข้ามาจีบเราแต่ละคนก็ถือว่าเป็นคู่ของเรา แต่ว่าทำบุญกันมาไม่ถึงที่สุด หมิงเชื่อว่าวันนี้คู่ของหมิงก็อยู่บนโลกใบนี้แหละ แต่ยังไม่เจอกัน หรือว่าบางทีเราอาจจะมาเจอกันแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่รู้นะหมิง     เชื่อเรื่องอย่างนี้ เลยทำให้เราไม่รีบร้อน เราไม่ไขว่คว้า เพราะถ้าเราไขว่คว้ามันจะยิ่งวิ่งหนี และได้เจอแต่คนไม่ดี แต่ถ้าเราใจเย็น ๆ เราจะได้เจอแต่สิ่งที่    ดี ๆ คนดี ๆ จะเข้ามา และเราต้องปฏิบัติตัวให้อยู่ในศีลในธรรมด้วย คือคิดดีทำดี หมิงเชื่อว่าสิ่งดี ๆ จะเข้ามาหาเราเอง

เปิดใจกันขนาดนี้แล้ว ก็หวังว่าแฟน ๆ ละครจะเข้าใจ

 และได้รู้จักตัวจริงของอดีตนางสาวไทยคนนี้ไม่มากก็น้อย ในสิ่งที่เธอพยายามจะบอกกับเราว่า เธอก็คือ ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความรู้สึก ความคิด ความรัก กับเขาเหมือนกัน.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์