1. ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง
จา พนม มีความใฝ่ฝันที่จะได้หนังแอ็คชัน มาตั้งแต่เด็ก เขาได้เริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยตนเองตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยชอบและสังเกตศิลปะการต่อสู้ของเจ็ทลี เฉินหลง และบรูซ ลี และนำมาปฏิบัติตาม นั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝันของเด็กน้อยในต่างจังหวัดหลายๆคน แต่หลายคนต้องล้มเลิกความฝันนี้ไป ตามวาระและเส้นทางที่ชิวิต แต่ จา พนม เขามาถึงจุดหมายปลายทางสมดังใจหวัง
2. จงค้นหาอาจารย์ดี และฝากตัวเป็นศิษย์
เมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 เขาได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง เกิดมาลุย ที่แสดงโดยพันนา ฤทธิไกร (ครูสอนศิลปะการต่อสู้, นักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์) เขาได้ขอร้องให้พ่อพาไปหาพันนาที่จังหวัดขอนแก่นเพื่อจะขอให้พันนารับเขาไว้ เป็นนักแสดงแอ็กชั่น ขณะนั้นพันนากำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ปีนเกลียว ภาค 1 ครั้งแรกที่พันนาเห็นเขา คิดว่า จา พนม นั้นยังอายุน้อยเกินไปที่จะเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจัง จึงขอให้ จา พนม กลับไปศึกษาให้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อน แต่ยังอนุญาตให้ จา พนม มาฝึกประสบการณ์ในกองถ่ายภาพยนตร์ได้ช่วงปิดภาคเรียน
3. คนแน่แน่วเท่านั้นที่ชนะ
จา พนม ได้เริ่มเข้าวงการครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปี โดยเป็นคนเสิร์ฟน้ำ, ตัวประกอบ, ยกของ, ทำอาหาร ฯลฯ ในกองถ่ายภาพยนตร์ พร้อม ๆ กับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้กับสตันท์แมน ในเวลาต่อมาเขาจึงได้ร่วมกับ พันนา ฤทธิไกร ออกแบบคิวบู๊ ฉากต่อสู้ และถ่ายทำเป็นเดโม เพื่อเสนอเป็นแนวคิดในการสร้างภาพยนต์ ให้กับปรัชญา ปิ่นแก้ว จนได้ถูกสร้างมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก ในที่สุด ซึ่ง ภาพยนตร์ ได้รับการชื่นชมและสนใจจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับวงการศิลปะการต่อสู้และ ภาพยนตร์ด้านต่าง ๆ ในประเทศไทยและระดับโลกอย่างมาก นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของเขาที่ประสบความสำเร็จในวงการภาพยนตร์ แอ๊กชันระดับโลก
4. หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน
หลังจากความสำเร็จอย่างถล่มทลาย จา พนม กลายเป็นนักแสดงขวัญใจชาวไทย และชาวโลก แต่เขาก็มีปัญหาชีวิตมากมาย โดยเฉพาะข่าวลือต่างๆ ในเรื่องของการทำงาน และหลายๆข่าวที่พยามดิสเครดิตเขา รวมทั้งสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของจา พนม จากปัญหา การงาน ครอบครัว แต่ในที่สุดเขาก็ผ่านมันไปได้ และได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาก็คือผู้ชายปกติธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีชีวิต จิตใจความรู้สึก ไม่ได้เลวร้าย หรือคดโกง เอาเปรียบใคร
5. ภาษาอังกฤษ มันอยู่ที่ความมั่นใจ
จา พนม ได้เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศ เพื่อรับงานแสดงในวงการฮอลลีวูด และเขาก็ได้แสดงให้คนไทยเห็นแล้วว่า ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย มันอยู่ที่ความมั่นใจ
6. โลกยังต้องการคนที่มีความสามารถจริง ไม่ใช่แค่การสร้างภาพ
จา พนม ในสายตาของผมคือ ผู้ชายบ้านนอก ซื่อๆคนหนึ่ง ไม่ได้มีความสามารถรอบด้าน แต่เขามีความารถที่โดดเด่นเพียงหนึ่งคือ การแสดงบทบาทการต่อสู้และคิวบู๊ ในระดับพระกาฬ และแน่นอนว่า เวทีโลก พร้อมอ้าแขนรับเขาใจจะขาด และทุกคนอยากจะเป็นเพื่อนกับเขา
7. คิดบวก และก้าวไปข้างหน้า
ท่ามกลางมรสุมชีวิต ที่ถาโถมเข้าใส่หลังจากที่เขามีชื่อเสียงแล้ว มันเป็นการยากมาก ที่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง จากบ้านนอกคอกนา จะผ่านความยากลำบากนี้ไปได้ หลายครั้งที่เราได้เห็นน้ำตาของเขาในข่าวคราวความขัดแย้งต่างๆ แต่ในวันนี้ วันที่เขาโลดแล่นในวงการบันเทิงฮอลลี่วูต เราได้เห็นแล้วว่า ความคิดบวกช่วยให้เขาผ่านอุปสรรคไปได้ เราเห็นแววตาและความสุขของเขา มันออกมาจากข้างในจริงๆ
8. ข่าวลือร้ายๆ มักจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง
เราจะเห็นว่า จา พนม โต้ตอบข่าวลือน้อยมาก เขามุ่งมั่นทำงาน และปฏิเสธที่จะโต้ตอบข่าวลือและคำติฉินนินทาต่างๆ จะในที่สุด ความจริงก็จะค่อยๆอธิบายเรื่องราวของมันเอง เมื่อเวลานั้นมาถึง และเมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและมุ่งมั่นเป็นที่ประจักษ์ เสียงนกเสียงกาก็ค่อยๆจางหายไป
9. แพ้เป็นเพียงถ่าน ผ่านจึงเป็นเพชร
เรื่องนี้คงอธิบายได้ไม่ยาก กว่าจะมาเป็น จา พนม ในวันนี้ วันที่เขาฉายแวดเพชร น้ำเอกของโลก เขาได้ผ่านความยากลำบากอะไรบ้าง แม้แต่เราเองยังแอบคิดในใจหลายครั้งว่า ในช่วง องค์บาก3ว่า จา พนม อาจจะเหนื่อยและท้อ และคงจบเส้นทางการทำงานในวงการหนังเพียงเท่านี้ แต่ในที่สุดเขาก็ได้พิสูจน์ให้คนไทยเห็นแล้วว่า แพ้เป็นเพียงถ่าน ผ่านจึงเป็นเพชร
10. อย่าเอาคำว่าบุญคุณ มาอ้างเพื่อผลประโยชน์ธุรกิจ
แน่นอนว่า เราคนไทย คำว่า บุญคุณ เป็นสิ่งที่ค้ำคอเราอยู่ หากเราตกอยู่ในสภาพเดียวกับ จา พนม เราก็คงจะทำใจลำบากเช่นเดียวกัน เรืองราวทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ บัวขาว บัญชาเมฆ นักชกชวัญใจชาวไทย ในประเด็นเดียวกันคือ การเอาบุญคุณ มาอ้างเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ไทยอินโฟเน็ต
https://www.facebook.com/teeneedotcom