หลังแสดงบท "คุณชายหมอ" ในละคร "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ" ตอน "คุณชายพุฒิภัทร" ทางช่อง 3 จนชาวบ้านติดกันงอม อยากเป็นคนไข้ให้คุณหมอมาช่วยรักษา
วันนี้จึงพลาดไม่ได้ ที่จะขอทำความรู้จักกับพระเอกใหม่ป้ายแดงสุดฮอตคนนี้
เข้าวงการได้ยังไง
เจมส์ - "เริ่มจากประกวด ฟรายเดย์ ดิ ไอดอล ปี 2 ตอนนั้นเริ่มจะเข้ามหาวิทยาลัย มีคนนั้นคนนี้ติดต่อให้ไปเข้าสังกัด จนพี่ปิ๊ก (ชาญฉลาด) เห็นผมจากเฟซบุ๊กเพื่อน เขาสนใจก็ ติดต่อแช็ตมา แต่ผมดันเปิดแบบสาธารณะเลยไม่ได้อ่านข้อความ?
"แต่พี่ปิ๊กก็พยายามติดต่อผมจนได้เบอร์ผอ.โรงเรียนมา แล้วผอ.ก็โทร.หาครูประจำชั้นเพื่อหาเบอร์คุณพ่อ แต่ไม่รู้บอกเบอร์ผิดหรืออะไร โทร.ไปบ้านตรงข้าม เขาต้องข้ามถนนมาบอกคุณพ่อ ในที่สุดก็ได้เจอได้คุยกันก็ตกลง เพราะตอนนั้นผมจะย้ายมาเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ พอดี ผมมองว่าเหมือนเป็นโชคชะตาเหมือนกันที่จะได้อยู่วงการนี้ ตั้งแต่เด็กไม่เคยคิดเป็น แล้วพอมีคนสนใจก็ต้องหาทางติดต่อหลายทางกว่าจะเจอตัวผม"
เข้าวงการแล้ว เหมือนหรือต่างจากที่คิดไว้
เจมส์ - "คนละเรื่องเลย แค่ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว ตอนอยู่พิจิตรพอสองทุ่มไฟดับทั้งเมือง ทุกบ้านปิดประตูนอนกันแล้ว แต่กรุงเทพฯ สองทุ่มบางคนเพิ่งออกจากบ้าน ยิ่งมาอยู่วงการบันเทิงก็เป็นอีกชีวิตหนึ่ง ซึ่งผลงาน แรกในวงการ คือ ประกวด ฟรายเดย์ ดิ ไอดอล ปีที่ 2 จากนั้นมีหนัง ที่โปรโมต จ.พิษณุโลก แต่ยังไม่ออกฉาย แต่ผลงานที่สร้างชื่อคือละคร "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ" ตอน "คุณชายพุฒิภัทร" ตอนที่รู้ว่าจะได้เล่นเกร็งมากเพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง ยิ่งเล่นเป็นคุณชายพุฒิภัทรยิ่งหนักใจ เพราะเด็กต่างจังหวัดไม่เคยรู้ว่าชีวิตแบบคุณชายเป็นยังไง"
"แถมต้องมารับบทหมออีก หนักใจมาก ต้องไปศึกษา ไปคุยกับคุณหมอจริงๆ ไปดูว่าชีวิตคุณหมอต้องทำอะไรบ้าง วิธีพูดคุยกับคนไข้ วิธีเย็บแผล ดูอนาโตมี่จากอาจารย์ใหญ่ ไปอ่านบทต่อบทที่ออฟฟิศตลอด ไปเรียนการแสดงกับครูเงาะ (รสสุคนธ์ กองเกตุ) ด้วยเป็นละครเรื่องแรกทุกอย่างยากไปหมด แต่ก็ตั้งใจเต็มที่"
หลังละครออนแอร์ฟีดแบ็กเป็นอย่างไรบ้าง
เจมส์ - "ดีมากครับ ช่วงละครออกอากาศจะมีทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กขึ้นกันเยอะมาก ประมาณว่าป่วยอีกแล้ว อยากให้คุณชายหมอมารักษา เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเรียกเจมส์แล้ว ไปไหนมีแต่คนเรียกคุณชายหมอบ้าง คุณชายพุฒิภัทรบ้าง ผมแฮปปี้มากเพราะการเป็นนักแสดงจะต้องทำให้คนดูเชื่อและจำภาพในตัวละครที่เล่นได้"
คิดอยากเป็นคุณหมอจริงๆ บ้างหรือเปล่า
เจมส์ - "ไม่เลย ขนาดแค่เล่นละครยังรู้สึกว่าอาชีพนี้ต้องเสียสละมากๆ อีกอย่างผมไม่ถนัดแนวนี้ แต่ก็ศรัทธาคนที่ทำอาชีพนี้มากๆ"
ประเดิมละครที่เป็นโปรเจ็กต์ยักษ์ช่อง 3 แถมยังเป็นพระเอกด้วย กดดันและเกร็งไหม
เจมส์ - "ยอมรับว่ากดดันและเกร็ง คล้ายว่าถูกคาดหวังเยอะ ตอนละครออกอากาศวันแรกนั่งดูตัวเองกรี๊ดเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะไปอยู่ในทีวี ผมว่าตัวเองกรี๊ดหนักแล้ว แต่คุณแม่กรี๊ดหนักกว่า เพราะเป็นความฝันที่เห็นลูกอยู่ในทีวี (หัวเราะ) ส่วนการได้มาเป็นพระเอก จริงๆ มองว่าตัวเองมาทำหน้าที่เป็นนักแสดงมากกว่า ไม่ได้ยึดติดกับคำว่าพระเอก"
ด้วยหน้าเด็กมาก กลัวอนาคตจะหาบทที่เหมาะยากไหม
เจมส์ - "หน้าเด็กก็ดีนะ แต่สำหรับการทำงานผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการแสดงมากกว่าที่จะทำให้คนเชื่อว่าตัวเราเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย หน้าเด็กหรือไม่เด็ก การสร้างความเชื่อในตัวละครสำคัญที่สุด"
รู้สึกอย่างไรที่มีแฟนคลับเยอะมาก
เจมส์ - "งงเหมือนกัน ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีแฟนคลับหรือคนมาชอบเยอะขนาดนี้ ทั้งหมดนี้ถือเป็นกำลังใจให้ผมมีแรงทำงานต่อไป ยิ่งละครออกอากาศก็มีแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กมัธยมครับ"
คุ้มไหมกับชีวิตส่วนตัวที่ต้องหายไป
เจมส์ - "ผมไม่ค่อยคิดเท่าไหร่เพราะงานตรงนี้เป็นโอกาส ไม่ใช่ว่าจะมีกันทุกคน ทุกงานก็ต้องมีการเสียสละเวลาส่วนตัวทั้งนั้น ผมเลยมองว่านี่คือการเรียนรู้ที่ผมต้องแลกกับมัน"
ผลงานหลังจากนี้มีอะไร
เจมส์ - "เดี๋ยวจะมีละคร "รักสุดฤทธิ์" ของคุณตู่ (ปิยะวดี) เล่นคู่กับพี่พั้นช์ (วรกาญจน์) เรื่องนี้จะพลิกคาแร็กเตอร์แบดบอย ขี้โวยวาย ขึ้นแท่นพระเอกเดี่ยวก็ตื่นเต้นดี เดี๋ยวต้องลองลุ้นว่าผมจะเล่นออกมาเป็นยังไงบ้าง"
https://www.facebook.com/teeneedotcom