ความจริงในใจ วิกกี้

ชั่วโมงนี้คงไม่มีข่าวไหนฮอตและตกเป็นเป้าของความสนใจ เท่าข่าวคราวของนางเอกสีผิวน้ำผึ้ง "วิกกี้-สุนิสา เจทท์" จาก ช่อง 3


ซึ่งถูกโยงเป็นมือที่สามของคู่ หนุ่มชาย-ชาตโยดม และ สาวออม-นวดี หลังจากเจออาถรรพณ์เลข 7 ปี อวสานความรักที่มีลุ้นถึงขั้นเตรียมลั่นระฆังวิวาห์ แต่แล้วทุกอย่างก็มลาย แถมยังดึงเอา สาววิกกี้ ไปชุลมุนชุลเกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่กระจ่างแจ้งถึงเหตุผลที่แท้จริงของรักสะบั้นครั้งนี้ จนมีภาพปาปารัซซีของ ชาย และ วิกกี้ แพร่สะพัดออกมา แม้ว่าทั้งคู่จะออกมาให้สัมภาษณ์แล้วก็ตาม


วันนี้ ดาวต่างมุม เลยมือไว รีบเคลียร์คิวนางเอกสาว วิกกี้ มานั่งสนทนาแบบเจาะลึกถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ ก่อนที่จะถูกเหมารวมว่าเป็นมือที่สาม


ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับสาวมาดมั่นที่เติบโตที่สหรัฐอเมริกา ถูกบ่มเพาะท่ามกลางการเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง แถมยังต้องมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยกับพี่ชายแค่ 2 คน จนกระทั่งมีโอกาสเข้ามาโลดแล่นในเส้นทางบันเทิง  ที่กี้เข้าวงการฯมาได้ เพราะญาติ ๆ ชวน ซึ่งคุณพ่อก็สนับสนุนด้วย ช่วงที่เรียนเกรด 11 กี้กลับมาเที่ยวเมืองไทย ช่วงนั้นก็มีแมวมองมาติดต่อเยอะ เลยอยากลองดู ก็มาเจอ พี่ปิ๊ก ผู้จัดการ ตอนแคสติ้งเขามาขอเบอร์ติดต่อไว้ จากนั้นพี่เขาก็โทรฯไปบอกว่ามีหนังเรื่องหนึ่ง เรื่อง “ฟ้า” อยากให้เล่น เป็นเวลาที่กี้กลับมาเมืองไทยพอดี เลยรับงานบันเทิงครั้งแรกค่ะ
ตอนนั้นแอบดื้อกับคุณพ่อเหมือนกัน แบบว่าเล่นเสร็จก็จะกลับอเมริกาเลย

ยังเด็ก ติดเพื่อน อยากกลับไปเรียนให้จบก่อน แล้วกี้ก็มีแพลนเรื่องเรียนไปหมดแล้วด้วย ไป ๆ มา ๆ ตั้งแต่ตอนนั้นกี้ก็ไม่ได้กลับไปต้องโอนมาเรียนต่อเกรด 12 ที่ รร.นานาชาติร่วมฤดี จากนั้นต่อระดับปริญญาตรีที่เอแบคเลย


พอเข้าวงการบันเทิงเต็มตัวเป็นอย่างไรบ้าง?


“รู้สึกดี ว่าอายุเท่านี้นะ พอทำไปเรื่อย ๆ มันก็อยู่ได้นะ อีกอย่างเราสามารถช่วยจุนเจือครอบครัวได้ด้วย กี้ค่อนข้างมีหลายครอบครัว เพราะคุณพ่อแต่งงานมาก กว่าหนึ่งครั้ง ส่วนคุณแม่ก็แต่งงานใหม่ กี้ก็มีน้อง ๆ อะไรอย่างนี้ จริง ๆ กี้ก็ให้เขาบ้างนะ อยากช่วยเขาค่ะ แต่กี้ก็มีเก็บไว้เองด้วย ตอนนี้ก็เพิ่งซื้อของตัวเองด้วย ซื้อรถเอง ซื้อของให้คุณแม่ ให้เงินคุณพ่อ มันรู้สึกดีนะ ที่เรามาทำงานอยู่ตรงนี้”

อยู่วงการมา 10 ปี ได้อะไรจากตรงนี้อีก?

“สิ่งที่ได้กี้ว่าค่อนข้างเยอะเลย มันเหมือนบังคับให้โตเร็วขึ้น เพราะเราต้องรับผิดชอบค่อนข้างสูง คือเวลาทำงานเลิกดึกต้องขับรถไปเอง ที่สำคัญเราต้องเรียนด้วย มันยากตรงนี้ ดีที่อาศัยคุยกับกองถ่ายได้ มันทำให้กี้เป็นผู้ใหญ่ ทำให้สามารถแก้ปัญหาได้เอง ทำให้เราเจอคนหลายแบบ คนดีและคนไม่ดี เราจะรู้ว่าแก้ปัญหาอย่างไร ผิดหรือถูก และควรรับมือกับคนสไตล์นี้อย่างไร เรียนรู้ด้วยตัวเอง เหมือนฝึกความอดทนด้วย อีกอย่างคือ สามารถหาเงินได้เอง และก็ได้เรียนรู้กับการใช้เงินด้วยค่ะ”

ในเมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทย พร้อมพี่ชาย (ไรอัน เจทท์) ตามลำพัง ด้วยสาเหตุนี้ด้วยรึเปล่า จึงดู วิกกี้ มีนิสัยห้าว ๆ ลุย ๆ แบบผู้ชาย?

“ตอนเด็ก ๆ กี้มีเพื่อนน้อย เลยจะสนิทกับเพื่อนพี่ชายมากกว่า อีกอย่างเด็ก ๆ แม่ไม่ค่อยให้ไปไหน มีแต่เพื่อนพี่ชายมาที่บ้าน เราก็จะตามเกาะแกะพี่ชายไปเรื่อย ๆ เค้าเล่นอะไรก็เล่นด้วย นิสัยบางส่วนก็คล้ายคุณแม่ รักความสะอาด จู้จี้จุกจิกระดับหนึ่ง แต่กับเพื่อนไม่เป็นนะ เพื่อนกี้ก็จะมีนิสัยคล้ายกี้เนี่ยแหละ เป็นคนพูดจาตรง ๆ บางทีก็ตรงเกินไป คงเพราะกี้โตแบบฝรั่งด้วยมั้ง อีกอย่างกี้ถูกสอนมาว่า“เรามีความคิดอะไรให้พูดออกมา”แต่กี้ก็รู้นะว่าอาจใช้คำพูดที่ไม่ถูกต้องสำหรับความคิดของคนไทยจะเรียกว่า“เถียง” หรือ “ก้าวร้าว”
ตอนมาเมืองไทยแรก ๆ ถูกว่าแบบนี้บ่อย ๆ ซึ่งตัวเองก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ต้องปรับตัวนิดหน่อย เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ว่าต้องทำตัวอย่างไรมันมีวิธีพูดที่ดีกว่านี้นะ ให้ฟังดูน่ารักไม่ลบหลู่ผู้ใหญ่ ก็ต้องเรียนรู้กันไป แต่กับเพื่อนกี้ก็จะพูดตรง ๆเป็นปกติ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้มันปรับกันได้ค่ะ แต่ยังไงคนก็ดูว่ากี้เป็นคนตรงอีกอย่างกี้เป็นลูกสาวคนสุดท้องด้วย คุณพ่อจะเลี้ยงตามใจคงเป็นนิสัยธรรมดามั้งคะ” 


เวลามีปัญหาขึ้นมา ใครจะคอยแนะนำหรือว่ากล่าวตักเตือนบ้าง?


“คุณพ่อคุณแม่ค่ะ พี่ชายไม่ค่อยพูดอะไร เค้าเงียบ ๆ เค้ารู้ว่ากี้ดูแลตัวเองได้ เลยไม่ค่อยยุ่งกับเรา แล้วถ้ามีปัญหาขึ้นมาจริง ๆ ส่วนใหญ่กี้จะอยู่กับตัวเองเป็นอันดับแรก กี้ชินกับการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เพราะเราอยู่เมืองไทยโดยไม่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ข้าง ๆ เลยกลายเป็นนิสัยแบบขอคิดเองก่อน สงบสติอารมณ์จนพร้อมถึงจะเล่า ถ้าพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่หมายความว่ากี้จะเล่าแบบไม่สะเทือนใจ ไม่เครียดมาก ในที่สุดก็จะบอกกับคนอื่นเอง เลือกบอกกับคนที่เราไว้ใจและแนะนำเราได้”

ในชีวิตเคยเจอปัญหาอะไรที่รู้สึกแย่ที่สุด?

“ที่กี้เจอมาไม่ใช่เรื่องข่าวในวงการบันเทิงแน่ ส่วนมากที่หนักคือ เรื่องครอบครัว ขอไม่บอกรายละเอียดก็แล้วกัน เรื่องงานเครียดยังไงก็ยังมีวิธีแก้ สุดท้ายย่อมมีทางออกที่เราตัดมันได้”

การที่จะมีชีวิตคู่เป็นของตัวเองกลัวมั้ย? ในเมื่อชีวิตครอบครัวของคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

“เรื่องนี้คิดอยู่แล้ว คิดมาตลอด มันคือประสบการณ์ชีวิต รอบตัวกี้มีแต่การหย่าร้าง กี้ยอมรับหลาย ๆ คู่ที่เลิกกันไป สุดท้ายเค้าพบอะไรที่ดีกว่า เค้ามีความสุข มันดีแล้วที่เค้าเลิกกัน เรื่องนี้กี้ไม่รีบ ไปเรื่อย ๆ”

แล้วกว่าจะตกลงปลงใจกับใครสักคน ต้องใช้เวลาศึกษามากน้อยแค่ไหน?

“ก็คงใช้เวลาเยอะค่ะ เรื่องนี้เป็นอะไรที่กลัวมากกว่าคนอื่น คนที่ เค้ามีครอบครัวที่สมบูรณ์ เค้าคงคิดว่าจะอยู่กันไปตลอดชีวิต ส่วนกี้ที่ผ่านมาจะมองเรื่องนี้ในแง่ลบมากกว่าเป็นเรื่องที่เราเจอมาทำให้เรากลัวเรื่องนี้เลยไม่รีบค่ะเมื่อก่อนถ้าใครถามเรื่องแต่งงานกี้จะตอบทันทีเลยว่าไม่ตอนนั้นคงยังเด็ก ๆ ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยถ้าจะแต่งกับใครกี้ต้องดูเขาไปสักพัก คบจนแน่ใจในหลาย ๆ ด้าน เดี๋ยวนี้ผู้หญิงแต่งงานช้าก็ไม่สายหรอกสมัยนี้ 30 ต้น ๆ ก็ยังทันเลย แต่เรื่องมีลูกรอไปก่อน ยังไม่อยากมีตอนนี้ รู้สึกเรายังดูแลตัวเองไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยจะให้ไปดูแลคนอื่นเหรอเอาไว้มีเมื่อพร้อมดีกว่ามั้ง”


หลายวันก่อนได้ยินว่า กี้เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่อยากพูดเรื่องส่วนตัวเยอะ มันเหมือนถูกล้ำอาณาเขตส่วนตัวมากไปรึเปล่า อันนี้เป็นเพราะอะไร?


“บางทีกี้รู้สึกว่าการที่เราพูดเรื่องส่วนตัวไปปุ๊บเนี่ย เหมือนเป็นการเปิดประตูให้เค้าถามเพิ่ม ซึ่งจริง ๆ ไม่ได้อยากพูดค่ะ คือ เรารู้ว่าอยู่ตรงนี้เป็นธรรมดาที่คนอยากรู้เรื่องส่วนตัว ก็ขอพูดนิดนึง อีกส่วนขอเก็บไว้ เหมือน ช่วย ๆ กัน ไม่ใช่กี้ไม่พูดเลย เจอคนละครึ่งทางดีกว่า บางคนเค้าอาจแฮปปี้ที่จะเปิดเผย แต่กี้เลือกที่จะเป็นแบบนี้ ด้วยนิสัยด้วยล่ะ
ส่วนตัวก็ไม่ค่อยชอบออกงานอยู่แล้ว เป็นคนชอบชีวิตส่วนตัว แต่ไม่ถึงกับติสต์แตกนะ
 
ชอบชีวิตเรียบง่าย เพื่อนกี้ส่วนมากก็จะเป็นคนนอกวงการ เพื่อนในวงการมีแต่เจอกันน้อย ต่างคนต่างทำงาน ไม่ใช่กี้กีดกันใครหรือไม่เปิดตัวเองนะ กี้มีความสุขอย่างนี้ อยากมีเพื่อนที่แท้จริง กี้ไม่มายด์ที่ต้องมีเพื่อนเยอะ ๆ แต่มีเพื่อนที่คบกันจริง ๆแบบเพื่อนแท้ไปเลยดีกว่า อีกอย่างกี้แฮปปี้ที่มีเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ มันไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่จะเลือกคบคน มันเป็นสิทธิของเรา
คนที่รู้จักกี้ดีพอ จะรู้ว่านี่คือเรา มองโลกของความจริง อะไรไม่ชอบก็ไม่ทำ

ใครที่คิดว่าไม่คบก็ไม่คบ กี้เฟคไม่เป็น ไม่ได้หยิ่ง แต่เป็นนิสัยค่ะ จะเรียกว่าดื้อก็ได้ กี้รักที่จะเป็นตัวเอง ระยะยาวน่าจะดีกว่าค่ะ สุดท้ายคนจะเห็นว่าเราเป็นยังไง คิดว่าเราเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกจนจบเลยดีกว่า”



แล้วคิดมั้ยว่าบางเรื่องไม่อยากพูด แต่เหมือนถูกบีบให้พูด?


“รู้สึกอยู่แล้ว ดาราส่วนใหญ่น่าจะรู้สึก ไม่อยากพูดเรื่องส่วนตัวมาก ว่าเรายังไงกับใคร กี้รู้ว่าเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่ต้องพูดในบางโอกาส เพราะเราอยู่ตรงนี้ ต้องพึ่งสื่อ สื่อต้องพึ่งเรา ต้องคิดในแง่นี้บ้าง อย่างน้อยกี้ก็ไม่ได้หลบ ไม่ได้หนี ถ้าจะถามกี้จะพูดในแบบที่กี้สบายใจ ถ้ามากกว่านั้นคงไม่พูด โอเคกี้เดินมาหาพวกนักข่าวแล้วนะ คงมีคนชอบและเกลียดเราอยู่แล้ว กี้ไม่ซีเรียส”

หากเจอคนที่ถูกใจตัดสินใจจะคบล่ะกี้จะใช้คำว่า“เพื่อน”หรือ “แฟน” ?
“กี้ค่อนข้างสมัยใหม่ ถ้าจะคบกันก็เรียก “แฟน” ไปเลย ก็จะบอกว่าแฟนค่ะ”

ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เรื่องผู้ชายที่คบอยู่เนี่ย มักถูกปาปารัซซีถ่ายออกมาเผยแพร่ตลอด ตรงนี้คิดยังไง?

“มันเป็นอะไรที่กี้คิดว่ามีอยู่แล้ว กี้เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตปกติ อยากไปไหนก็ไป อยากซื้อของที่ไหนก็ไป ถ้าอยากไปจริง ๆ กี้คงไม่ให้อะไรมาขัดขวาง ถ้ากี้จะไป การที่มีรูปออกมากี้ก็ได้เตรียมใจไว้อยู่แล้ว ซึ่งเราตัดสินใจทำไปแล้ว”

แล้วคราวที่มีภาพกลางสระว่ายน้ำหลุดมาล่ะ?

“หลายคนบอกว่าภาพมันค่อนข้างแรง ตรงนั้นอาจเป็นเพราะกี้ไม่ได้ระวังตัวด้วย กี้คิดว่าอันนั้นคือเวลาพักผ่อนของเรา ก็น่าจะระวังตัวมากขึ้น จริง ๆ สถานที่นั้นมีคนเข้าออกตลอดเวลา ก็ควรระวัง กี้รู้ว่ามันต้องมี ก็อย่างที่กี้เคยพูด เค้าหาว่ากี้ท้า สาบานได้เลยว่าไม่ได้ท้านะ กี้พูดเล่น ช่วงนั้นกี้ไม่รู้จะพูดอะไร อึดอัด ไม่อยากพูดน่ะ พอถึงเวลานั้นก็ต้องพูดตัดบท ค่อยมาว่ากันใหม่ แล้วรูปก็ออกมา”

พอมีรูปออกมาในจังหวะที่พูดเหมือนท้าไปแบบนี้ จะเรียกว่า “ซวย” มั้ย?

“อย่าใช้คำว่าซวยเลยค่ะ ซวยต้องใช้กับเหตุการณ์ที่แย่กว่านี้เยอะ เรื่องแค่นี้ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้อยู่จุดนี้ ไม่มีบ้าน ไม่มีข้าวให้กิน ทำให้เราเปลี่ยนมุมมองในชีวิตดีขึ้น ถ้าเรามานั่งเครียดคงไม่ดี กี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ เราเจออะไรมา มันทำให้เราแข็งแรงขึ้น ถ้ามาคิดว่าซวยมันไม่มีประโยชน์กับตัวเองเลย คนอื่นไม่ได้มารู้กับเราด้วยนี่ว่าเราจะรู้สึกยังไง”

เรื่องความรักถ้ามีให้ใครสักคนแล้ว จะทุ่มไปเต็มที่เลยรึเปล่า?

“ถ้ากี้บอกว่ารักแล้ว กี้ก็แสดงออกเต็มที่ อาจคนละแบบกับความรักตอนเด็ก ๆ ที่พอคบใครก็จะหลับหูหลับตารัก พอโตขึ้นเราต้องทำอะไรด้วยเหตุผล กี้แสดงออกในแบบของกี้ กี้ไม่รู้ว่าถือว่าเต็มร้อยรึเปล่า เราให้เต็มที่ ถึงแม้ว่าจะบอกเตรียมใจไว้แล้ว รักแค่ครึ่งหนึ่ง กี้ไม่เชื่อคำนี้ เพราะยังไงจิตใจเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สุดท้ายถ้าเราจะปล่อยให้รัก มันก็คือรัก กี้ค่อนข้างอยู่บนโลกความจริงมาก ๆ” 

แล้วอนาคตต่อไปยังมีอะไรที่อยากทำอีกบ้างมั้ย?

“ตอนนี้อยากไปเที่ยวทะเล นี่ก็ถ่ายละครเสร็จไปบ้างแล้ว มีรอออก อากาศเรื่อง สาวพริกไทยกับนายใบข่า, ดั่งดวงตะวัน และบ้านวุ่นอุ่นไอรัก ค่ะ ปีหน้าอาจกลับไปเที่ยวอเมริกา เยี่ยมเพื่อนในหลาย ๆ เมือง ถ้าคิดไกลกว่านี้ก็อยากมีธุรกิจของตัวเอง ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วก็ทุนด้วย”

ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวนี้จะลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่เธอทำไปน่าจะผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมรับสภาพแบบนี้....


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์