ความ กาหล สุด มหรทึก คุยกับ 6 นักแสดงละครฟอร์มยักษ์แห่งช่อง one 31
พะนอนิจ ตัวละครสำคัญแห่ง กาหลมหรทึก นวนิยายเจ้าของรางวัลยอดเยี่ยมนายอินทร์อะวอร์ดประจำปี 2557 เอ่ยไว้ในบทสรุปของเรื่อง ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรก็ตาม แต่เลข 5 ของเรื่องนี้ก็มาสัมพันธ์กันกับการฉลอง 5 ปีของโว้กประเทศไทยได้อย่างบังเอิญและน่าประหลาดใจ เราตั้งใจและไม่รอช้าที่จะพาผู้อ่านทุกคนไปพบกับจุดเริ่มต้นของความโกลาหลที่ส่งเสียงอึกทึกไปทั่วทั้งกรุงเทพฯ พระมหานคร กับภาพแฟชั่นสุดพิเศษของเหล่านักแสดงนำจากละครเรื่องยิ่งใหญ่ที่ช่องวัน 31 นำมาจัดสร้างให้แฟนๆ ตัวยงของนวนิยายได้รับชมกัน
โดยเรายกกองไปถ่ายภาพแฟชั่นกันในสถานที่ถ่ายทำจริงย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ พร้อมเครื่องแต่งกายจริงที่เหล่านักแสดงสวมใส่ในการรับบทเป็นตัวละครต่างๆ ซึ่งในเรื่องนี้เราจะได้ชมการแสดงชั้นยอดจากเหล่านักแสดง 40 กว่าชีวิตที่มารวมตัวกันเฉพาะกิจทั้งบทเล็ก บทใหญ่ จนถึงแค่มาปรากฏกายประกอบในเรื่อง เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องใหม่ที่ยิ่งใหญ่ด้วยความตั้งใจและความแปลกใหม่ที่คนดูต้องแปลกใจ และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของนักแสดงที่เรามีโอกาสฟังเรื่องเล่าส่งตรงจากกองถ่ายที่ได้ชื่อว่าสนุกและขนลุกมากที่สุดกองหนึ่ง
"เล่นเป็นพะนอนิจค่ะ เป็นครูสอนภาษาไทย เป็นภรรยาของพี่ป้อง ด้วยความเป็นครูภาษาไทย คาแร็กเตอร์ก็เลยจะชอบงานศิลปะต่างๆ รวมถึงศิลปะการใช้ภาษา โคลงกลอนต่างๆ ซึ่งก็ถือว่าตรงกับวิวอยู่บ้าง ตรงที่วิวเรียนโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พะนอนิจจะเป็นคนจริงจัง ช่างคิด ฉลาด ชอบดูแลเทกแคร์คนรอบข้าง เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีของสามี" ดาราสาวเบอร์ต้นๆ จากช่องวันเล่าถึงบทบาทใหม่ของเธอ
"วิวตื่นเต้นตั้งแต่ได้เล่น เริ่มถ่ายจนจบ เพราะว่าตัวละครตัวนี้มีการเติบโต วิวเล่นเองยังลุ้นไปกับตัวละครด้วย ยิ่งเล่นยิ่งสนุก เรื่องนี้ค่อนข้างเหมือนการแสดงหนัง คือเล่นน้อยแต่ความรู้สึกมันต้องแน่นๆ ซึ่งก็ท้าทายดี ทำให้รู้สึกตื่นเต้นที่ต้องตีความการแสดงในบทนี้ ทำอย่างไรให้ตัวละครของเราโดดเด่นขึ้นมา พยายามใส่เทคนิคทางการแสดงในแต่ละฉาก เราต้องทำการบ้านคิดมาเองก่อนเข้าฉาก เรียกว่าต้องรู้ทันตัวละครว่าเขามีบุคลิกอย่างไร ในส่วนของภาษาที่ใช้ในเรื่อง ด้วยความที่เรียนโบราณคดีมาเลยไม่ค่อยตกใจกับภาษายุคเก่าๆ เท่าไร เพราะผ่านหูผ่านตามาหมดแล้ว"
ด้วยความที่เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้การตีความการแสดงและการเตรียมตัวมีความยากและซับซ้อนมากขึ้นไปอีก และต้องอาศัยการเตรียมตัวค่อนข้างมากทีเดียว
"อย่างแรกคือไปเรียนคัดภาษาไทย ฝึกเขียนกระดานด้วยชอล์ก เพราะบทเราต้องเล่นเป็นครูสมัยก่อน วิวอยากเขียนเองตอนถ่ายทำด้วย เลยอยากเรียนให้ได้ ต้องไปฝึกหาข้อมูลความรู้เรื่องโคลงกลอน ก่อนถ่ายก็พยายามทำความเข้าใจการทำหน้าที่ของครูให้มากขึ้น ให้เหมือนคุณครูตัวจริงที่มีความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ท่องไปตามบท พยายามทำตัวให้ชินกับการใช้ภาษา พูดให้ชัดเจน" ตั้งใจเตรียมตัวมาขนาดนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้แฟนๆ ของนวนิยายผิดหวังนั่นเอง
นี่คือความในใจที่ป้อง ณวัฒน์มีให้กับตัวละครตัวล่าสุดของเขา ละครเรื่องใหม่ที่เจ้าตัวดูจะภาคภูมิใจกับมันอยู่ไม่น้อย
"ผมเล่นเป็นสารวัตรเวทางค์ เป็นคนเถรตรง รับผิดชอบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นอย่างโหดร้าย เขาเป็นคนเชื่อมั่นในกฎหมายไม่ว่าใครก็ตามต่อให้ใหญ่แค่ไหน ถ้าผิดเขาจับหมด ไม่สนใจ เป็นคนมุ่งมั่นในการทำงานมีลูกน้องคู่ใจ 2 คนคือหมวดกบี่และหมวดแชน เหมือน 3 สหาย ไปไหนไปกันสู้ด้วยกันตลอด" นักแสดงหนุ่มระดับขวัญใจชาวเอเชียเล่า
"เรื่องนี้ถือว่ายากกว่าเรื่องอื่นเพราะเป็นโครงละครไทยที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นที่ผมเคยเล่นมาที่เป็นแนวตลาดจ๋าๆ ทำให้ต้องทำความเข้าใจกับบทมากขึ้น เพราะไม่ใช่แนวคุ้นเคยที่เราเคยเล่น มีเรื่องของภาษาไทย โคลงกลอนเข้ามาเกี่ยว ทำให้ไม่มีการอ่านบทหน้าเซต ต้องทำการบ้านมาอย่างหนักหน่วง และด้วยความที่เป็นละครพีเรียดทำให้ต้องปรับตัวนิดหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องภาษาและเทคนิคการแสดง ที่ถ้าเราเล่ามาก เปิดมาก พอไปเฉลยตอนจบคนดูก็ถูกสปอยล์ไปแล้ว ทำให้ต้องคุยกับผู้กำกับเยอะๆ อย่างฉากตอนสืบสวนมันจะมีเรื่องของการคิดภาพสันนิษฐานที่ต่างกันไปหลายแบบ เราก็ต้องคิดตามให้ได้หมด" ซึ่งถือเป็นความท้าทายของนักแสดงในเรื่องนี้ทุกคนเช่นกัน และมันก็คือเหตุผลที่ทำให้นักแสดงทุกคนอยากมีส่วนร่วมกับการสืบสวนสอบสวนในเรื่องที่นำโดยเขาคนนี้
"บทมันยากครับ ประเด็นในเรื่องน่าสนใจมากๆ เป็นบทที่ไม่มีเรื่องของผู้หญิงเข้ามาเกี่ยว เรื่องเอฟเฟกต์ต่างๆ ก็น่าสนใจ เหมือนยกระดับละครไทยสู่อินเตอร์ เวลาไปเล่าให้ใครฟังแล้วมันเท่ดี" ก่อนจะทิ้งท้ายว่าเขาอยากให้ทุกคนติดตามกันทุกตอนตามช่องทางต่างๆ ที่สมัยนี้ไม่จำเป็นต้องเกาะติดหน้าจอโทรทัศน์อีกต่อไปแล้ว "ผมเองก็อยู่มานาน เห็นความเปลี่ยนแปลงมาตลอด อย่างแต่ก่อนละครไพรม์ไทม์ก็คือหลังข่าว สองทุ่มครึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไพรม์ไทม์ไม่มีแล้ว มีแต่เวลาสะดวกที่ทุกคนจะกดดูเมื่อไรก็ได้ แต่ผมให้ความเชื่อมั่นในคอนเทนต์ ถ้าเนื้อเรื่องดี เรื่องราวสนุก อย่างไรคนก็ดู หน้าที่เราก็แค่ตั้งใจทำงานของเราให้ดีที่สุด อย่างเรื่องนี้ผมว่ามีข้อดีตรงที่คนดูสมัยนี้สามารถดูย้อนหลังได้ ผมว่าคนต้องตามดู เพราะถ้าพลาดแม้แต่ตอนเดียวอาจจะไม่เข้าใจ"
"ศึกษาบท ทำการบ้าน วิเคราะห์ตัวละคร วางแบ็กกราวด์ทุกอย่าง รวมถึงหาความสัมพันธ์ของตัวละคร ซึ่งผมรู้สึกว่าโตขึ้นในการทำงานแสดง มีความเปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ก่อนเล่นแต่ซีรี่ส์วัยรุ่น พอมาเจอละครผู้ใหญ่มันต่างออกไปมากๆ เพราะทุกคนเขาจริงจังมากในการแสดงและถ่ายทำ ต้องมีระเบียบมากขึ้น ทำให้ความคิดหลายๆ อย่างของผมเปลี่ยนไปเลย"
หนุ่มน้อยเจ้าของความสูงเกิน 180 เซนติเมตรตรงตามคาแร็กเตอร์ของนายพงษ์ศรีตามที่นวนิยายว่าไว้เล่าให้เราฟัง
"มันยากตรงที่เป็นละครพีเรียด ซึ่งผมไม่เคยเล่นมาก่อนเลย พอต้องมาเล่นบทที่ไกลตัวตอนแรกก็คิดว่ามันยากนะครับ แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ก็ปรับตัวได้ ชินในการรับบทเป็นอีกคนหนึ่ง การทำการบ้านก่อนมาแสดงช่วยได้เยอะมากครับ เพราะตัดปัญหาเรื่องการจำบทไม่ได้และโฟกัสไปที่อารมณ์ของตัวละครมากกว่าการจำบทเท่านั้น"
คงต้องไปติดตามว่าภาพใหม่ในฐานะนักแสดงละครหลังข่าวเรื่องแรกของเงินจะเป็นอย่างไร แต่เมื่อเราลองให้เขาวิเคราะห์การกระทำของตัวละครตามความเข้าใจในฐานะของเขาเองคำตอบที่ได้ก็ดูเหมือนว่าเงินเข้าใจตัวละครตัวแรกของเขาตัวนี้จริงๆ
"ผมว่าเขาทำถูกแล้วนะ แต่ไม่ต้องเป็นคนซื่อขนาดนั้นก็ได้ ไม่ต้องยึดความถูกต้องขนาดนั้นก็ได้ บางทีมันก็เกินไปในยุคนี้ ถ้าเป็นผม ผมก็คงทำแบบเขา แต่คงไม่เยอะเท่าที่ตัวละครของผมทำ ผมว่าผมเองคงเหมือนกับนายพงษ์ศรีอย่างหนึ่งตรงที่เป็นคนกล้า ยึดถือในสิ่งที่ถูกว่าอะไรควรทำ"
พ้อยท์ ชลวิทย์ นักแสดงหนุ่มหล่อร่างสูงใหญ่ที่กำลังเป็นที่คุ้นตาของแฟนละครช่องวัน 31 เล่าถึงหน้าที่ของเขาในละครเรื่องนี้ที่รับบทนำในฐานะลูกน้องมือขวาคนสนิทของสารวัตรเวทางค์ที่รับบทโดยป้อง ณวัฒน์ และบทบาทล่าสุดนี้อาจทำให้เขาขยับเข้าไปใกล้คำว่านักแสดงมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับในวงการก็เป็นได้
"ผมเล่นละครจริงจังมาได้ 3-4 ปีแล้วครับ ตอนเล่นเรื่องแรกๆ ก็พยายามทำเต็มที่ตามความเข้าใจของเรา ไม่ได้นึกถึงภาพหลากหลายที่มันจะออกมาว่าจริงๆ แล้วการแสดงมีหลายแบบ ตอนเด็กเรายังไม่รู้ ค่อยๆ ทำงานเรียนรู้มาเรื่อยๆ จนเข้าใจว่าแต่ละกอง แต่ละผู้กำกับมีการทำงาน การเล่าเรื่องที่แตกต่างกันไป ค่อยๆ เรียนไปว่าเล่นแบบเรียลอย่างไร เล่นแบบเมโลดราม่าอย่างไร ดีไซน์การแสดงของเราเยอะขึ้นตามที่ได้เรียนรู้มา" ซึ่งนั่นรวมถึงผลงานล่าสุดนี้ด้วย "ไม่ใช่แค่บทของพ้อยท์แค่บทเดียว เรื่องนี้ถือว่ายากมาก เพราะว่าด้วยเรื่องของบท มันไม่ได้เป็นแบบละครไทยที่ผ่านๆ มาซึ่งมักว่าด้วยเรื่องของอารมณ์ แต่เรื่องนี้พูดถึงทฤษฎีทุกอย่างต้องเป๊ะ บางอย่างที่เราไม่รู้ที่ปรากฏในบท เราต้องไปค้นดูว่ามันคืออะไร ต้องเตรียมตัวกับตัวเองว่ากบี่จริงๆ เป็นคนอย่างไร ถ้าผมทำการบ้านในบทนี้ ผมก็ต้องทำให้เนี้ยบไม่ต่างจากนิสัยของกบี่ เพราะไม่งั้นผมก็จะเล่นไม่ได้"
ด้วยบทบาทของกบี่ที่ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ต้องดำเนินควบคู่ไปตลอดทั้งเรื่องในทุกๆ การสอบสวน ทำให้เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุดตามที่ทุกคนคาดหวัง
พอได้แสดงไปตามบทบาท พ้อยท์ก็ค้นพบว่าเขารักและเข้าใจตัวละครของเขา ไม่ต่างจากที่แฟนๆ นวนิยายรักและชื่นชอบในตัวกบี่เช่นกัน
"ผมรู้สึกว่าเข้าใจกบี่มากๆ ไม่มีอะไรที่จะเตือนหรือว่ากบี่เลย ตัวของกบี่มันมีเหตุผลของการกระทำทั้งหมด มันเข้าใจว่าทำไมกบี่เป็นคนแข็งกระด้าง ทำไมถึงชอบจิกกัด จิกกัดเพราะรัก แข็งกระด้างเพราะอยู่แต่ในกฎระเบียบ ผมมองว่าตัวละครที่ชื่อกบี่มันกลม ไม่น่าจะมีอะไรต้องติมันแล้ว"
แม้จะบอกกับเราว่าเขาไม่ขออะไรมากไปกว่าโอกาสจากคนดูเพื่อพิสูจน์ฝีมือการแสดงครั้งล่าสุดนี้ แต่เราขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่ช่วยยืนยันกับผู้ชมว่าจับตามองเขาให้ดี ละครเรื่องนี้จะเป็นการแจ้งเกิดของเขาอีกครั้งอย่างแน่นอน
จากบทบาทหนุ่มขี้สงสัยจอมสืบสวนจนสร้างชื่อให้เขาเป็นที่รู้จักจาก พิษสวาท เมื่อปีกลาย ล่าสุดเจษฎ์กลับมาอีกครั้งในบทบาทที่แตกต่างออกไปตามที่เจ้าตัวเล่าไว้ข้างต้น ซึ่งน่าจะโดนใจผู้ชมได้ไม่ยากเช่นกัน
"เตรียมตัวเยอะครับ ถึงแม้ว่าผมจะมาแค่ 3-4 ตอน แต่มันก็ยากตรงที่การพูดต้องติดสำเนียงจีน รวมถึงลักษณะท่าทางต่างๆ ที่ต้องดูเป็นคนจีนสมัยก่อน ผมต้องไปหาหนังจีนเก่าๆ มาดูว่าเขาเดินกันอย่างไร พูดจาอย่างไร มีทัศนะอย่างไรในการใช้ชีวิต ส่วนเรื่องอินเนอร์เราก็เล่นไปตามบทบาท พยายามเข้าใจมันให้มากที่สุด เรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรเชื่อมโยงกับเรา มันเลยยาก เพราะมันดึงประสบการณ์จริงของตัวเองมาใช้ไม่ได้ เป็นละครย้อนยุคที่สมมติว่าเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย นิสัยใจคอของตัวละครจะมีความแตกต่างจากคนไทยมาก มีความเป็นจีนที่เราต้องทำความเข้าใจใหม่" แต่นี่ก็ถือเป็นประสบการณ์ทางการแสดงที่ดีอีกครั้งสำหรับการทำงานในวงการบันเทิงกว่า 5 ปีที่ผ่านมาของเขา
"ความสำเร็จในฐานะนักแสดงคนหนึ่งก็คือการได้รับคำชมจากนักแสดงท่านอื่นที่เก่งมากๆ เพราะสำหรับนักแสดงด้วยกันเอง เรารู้กันดีว่ากว่าเราจะออกมาแสดงแต่ละฉากมันมีขั้นตอนอะไรบ้าง" ซึ่งนั่นรวมถึงการมีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือคนอื่นๆ อยู่เสมอด้วย "อย่างเรื่องนี้ ดีใจมากที่ได้มาเจออาตู่ นพพล ผมชื่นชอบอาตู่มาตั้งแต่ได้ดูละครแรกๆ เลย รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เล่นละครเก่งมาก จนถึงปัจจุบันนี้อาตู่ก็ยังเท่เสมอสำหรับผม เลยรู้สึกว่ามันเป็นบุญที่ได้มาเข้าฉากร่วมกันถึงแม้จะไม่กี่ฉากก็ตาม แต่ก็เป็นฉากที่ผมจดจำได้ดี"
เมื่อถามถึงความประทับใจที่เขามีต่อเต็ง ตัวละครที่เขาต้องสวมบทบาทในครั้งนี้ เจษฎ์พูดถึงเขาอย่างเข้าใจ
"เขาไม่มีข้อเสีย เป็นคนดีมาก หวังดีกับคนทุกคน ถ้าอยากจะบอกอะไรเขาก็คงจะเป็น ‘ผมนับถือคุณ' เขายอมทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ยอมเหนื่อยแต่ไม่เคยบ่น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คิดถึงแต่จะให้คนอื่นเสมอทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเด็กเพิ่งจะอายุ 19-20 ปีเอง" นั่นเองที่ทำให้เขารู้สึกว่าคนดูน่าจะรักและชื่นชอบละครเรื่องนี้เหมือนเขาเช่นกัน "เป็นความแปลกใหม่สำหรับวงการละครไทย เราจะไม่ทำก็ได้ ไปทำละครที่มันดังแน่ๆ ก็ได้ แต่เราอยากจะขยายความหลากหลายของละครไทยให้กว้างขึ้น ให้คนดูชอบเหมือนกัน อยากให้คนดูเปิดใจเปิดรับ อยากให้มีละครแบบนี้เยอะๆ ในประเทศเรา มีละครหลายๆ แบบให้ทุกคนเลือกดู มันเป็นละครแนวใหม่ที่ทีมงานทุกคนชอบ แล้วหวังว่าสักวันเราจะทำละครแบบนี้ขึ้นมาให้คนไทยทั้งประเทศดู เหมือนซีรี่ส์ฝรั่งที่เราไม่เคยมี มันน่าสนใจไม่ต่างจากซีรี่ส์ต่างประเทศที่คุณดูมาเลย สำหรับแฟนนิยาย แน่นอนว่าทุกคนคงมีภาพต่างๆ อยู่ในหัวซึ่งไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เราพยายามหาตรงกลางที่น่าจะเป็นให้ถูกที่สุด อยู่บนเงื่อนไขของศักยภาพจากนักแสดงทุกคน"
"กิมท้อเป็นลูกคุณหนูที่ครอบครัวมีปัญหาจนต้องมาลงเอยเป็นนางโชว์ที่บ่อน เป็นเมียน้อยของเจ้าของบ่อน ความยากของมันคือต้องเล่นคู่กันกับเต็ง (รับบทโดยเจษฎ์) ซึ่งต้องแสดงให้ดูรักกันให้มากพอ เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าตัวละครตั้งใจมีชู้ แต่มันเกิดขึ้นเพราะความรักของทั้งคู่จริงๆ" นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจากละครดัง ดอกโศก ที่คราวนี้สลัดภาพสาวเจ้าน้ำตามาร้อนแรงและน่าสงสารในเวลาเดียวกันเล่าถึงความยากระดับที่เจ้าตัวยืนยันว่าทั้งเหนื่อยและสนุกไปพร้อมๆ กัน
"เหมือนมาทำงานกับครอบครัว เป็นกันเอง สนุก ถึงบทบาทของแต่ละคนจะหนัก แต่มันก็มีความผ่อนคลายปะปนมาด้วย ส่วนที่ยากและเครียดในการทำงานเรื่องนี้ก็คือการร้องเพลงจีนที่ยากมาก เพราะเราเล่นเป็นนางโชว์ ต้องท่องเนื้อเพลงจีนให้ตรง เพราะเราต้องแสดงด้วยตัวเอง อีกเรื่องก็คือคาแร็กเตอร์ของเราที่เป็นลูกคุณหนูมาก่อน ถึงแม้จะมาเป็นนางโชว์แต่ก็ต้องดูมีมาด คงความหยิ่งทระนง แตกต่างจากคนอื่นๆ หนูเอาชีวิตจริงของครอบครัวตัวเองที่บ้านเคยล้มละลายเหมือนกันมาปรับใช้ รวมทั้งนิสัยของเราเอง การปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดที่เราเคยผ่านมา"
รับรองว่าแฟนๆ ของเธอต้องประทับใจกับการแสดงในครั้งนี้ไม่ต่างจากทุกๆ เรื่องที่เธอเคยแสดงมา
"7 ปีที่ผ่านมาถือว่าเราโตขึ้นเยอะ จากเด็กที่ไม่รู้ว่ามุมกล้องอยู่ไหน ต้องหันหน้าฝั่งไหน ต้องเดินอย่างไร แสดงอย่างไร เวลามีคนถามแล้วมองย้อนกลับไป เราก็รู้สึกว่าเราเก่งขึ้นเยอะนะ แต่ยังไม่ได้เท่าที่เราอยากเป็น ยิ่งเวลาเห็นการแสดงของนักแสดงท่านอื่นๆ ที่ทำงานกันมายาวนาน ก็ถือว่าเรามาไกลแล้วเหมือนกัน พยายามเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อยากเป็นนักแสดงที่เวลาเล่นละครแล้วมีคนรอดูแบบพี่นก สินจัย พี่หมิว ลลิตา หรือสายป่าน รู้สึกมีความสุขทุกครั้งเวลาคนจำเราได้จากชื่อตัวละครที่เราเล่น ถึงคนจะจำชื่อเราไม่ได้ แต่จำตัวละครของเราได้ก็มีความสุขแล้วในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง"
https://www.facebook.com/teeneedotcom