เรื่องย่อละครบ่วง
ณ ต้นกำเนิดของชีวิต อาจบรรจบกับจุดสุดท้ายของอวสาน
เป็นวัฏฏะที่เหล่ามนุษย์ต้องเวียนว่าย และเป็น “ บ่วง ” คล้องผูกพันกับกิเลสตัณหา
ไม่ว่าบ่วงบุญหรือบ่วงกรรม ต่างก็คล้องชีวิตให้ต้องวนเวียนเกิดขึ้นและจบลง
หน่วงให้ต้องทุกข์ทนในวังวนแห่งโลกและชีวิตอย่างมิรู้จบสิ้น
“ศามน” (พัชฏะ นามปาน) หนุ่มวัยทำงาน ตำแหน่งหน้าที่การงานดี เป็นถึงหัวหน้าฝ่ายบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาทั้งๆ ที่ยังอายุไม่มาก เขาเกิดที่เมืองไทยแต่ไปเติบโตที่อเมริกา เพราะต้องติดตามพ่อที่ทำงานเป็นทูตอยู่ที่นั่น
ศามนเกิดมาพร้อมด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติอย่างที่สาวๆ หลายคนพึงพอใจ แต่เขาเลือกแต่งงานกับ “รัมภา” (ศรีริต้า เจนเซ่น) สาวสวยที่เคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน แต่มีคนใจบุญรับเธอมาอุปการะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี รัมภาเป็นคนเพียบพร้อมทั้งกิริยามารยาทคู่ควรกับศามน สองคนพบรักกันที่อเมริกา และตัดสินใจแต่งงานกันจนมีลูกฝาแฝดชาย-หญิงที่น่ารักวัย 4 ขวบชื่อ “ศรุท” หรือ “รัตตี้” (ด.ช. ภัทรกร ประเสริฐเศรษฐ) และ “ศรัย” หรือ “ไลล่า” (ด.ญ. ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ) ครอบครัวนี้ถือว่าเป็นครอบครัวรุ่นใหม่ที่อบอุ่นและคอยเติมเต็มให้กันอย่างมีความสุข
วันหนึ่งศามนได้รับการติดต่อจากญาติให้เดินทางกลับกรุงเทพฯโดยด่วน เพื่อมาร่วมงานศพคุณยายทวด และมารับมรดกตกทอดของตระกูลที่บ้านสวนเก่าหลังใหญ่แถบชานเมือง ซึ่งมีเนื้อที่เกือบห้าไร่ เขาตัดสินใจย้ายครอบครัวกลับมาตั้งรกรากที่นี่ และทำเรื่องย้ายงานจากบริษัทแม่ที่อเมริกามาประจำสาขาในไทย เพื่อมาอยู่ที่บ้านสวนหลังนี้กับครอบครัว โดยให้รัมภาเป็นแม่บ้านอยู่บ้านคอยดูแลลูกๆ
ที่บ้านสวนแห่งนี้คนภายนอกมองว่าบรรยากาศน่ากลัวเพราะต้นไม้รกครึ้ม ไม่มีใครพักอาศัยอยู่เลย นอกจาก “ตาหล้า” (ชุมพร เทพพิทักษ์) “ยายคำ” (พิมพ์แข กุญชร ณ อยุธยา) และ “บุญสืบ” (ธงธง มกจ๊ก) ลูกชายจอมทะเล้น ข้าเก่าของคุณทวดที่คอยดูแลทำความสะอาดบ้าน ศามนไม่รู้สึกกลัวที่นี่เหมือนคนอื่น เพราะเขาเคยวิ่งเล่นมาตั้งแต่เล็กๆ แต่สำหรับรัมภาความรู้สึกแวบแรกตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาที่บ้านสวนแห่งนี้ เธอรู้สึกว่าที่นี่ดูวังเวงและชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ที่เพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีกคือ หลังจากที่คุณทวดเสียชีวิตลง ศพของท่านยังคงบรรจุใส่โลงตั้งเอาไว้บนเรือนหลังใหญ่เพื่อรอการเผา รัมภามองรูปหน้าศพรู้สึกว่าคุณทวดมีแววตาแข็งกร้าว ดุดัน แต่เมื่อมองนานๆ เหมือนอุปทานว่าเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นจากมุมปากของท่าน
เมื่อมาถึงที่นี่ในคืนแรก มีเหตุการณ์ลึกลับที่ทำให้รัมภาต้องอกสั่นขวัญหายเกิดขึ้น ลูกแฝดของเธอหายตัวไปจากห้องนอนที่เรือนใหญ่อย่างไร้เงื่อนงำ คนทั้งบ้านช่วยกันตามหาตัวเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ยายคำคนดูแลบ้านบอกศามนและรัมภาว่า เด็กๆ คงถูกผีลักซ่อน ยายคำเลยให้ทั้งคู่ไปทำพิธีจุดธูปกำใหญ่หน้าโลงศพคุณทวด เพื่อให้ท่านช่วยดลใจให้เจอเด็กๆ ยายคำเชื่อว่าเด็กแฝดทั้งสองเป็นหลานแท้ๆ ของท่าน ท่านคงไม่น่ามาหยอกล้อแบบนี้ เมื่อปักธูปเสร็จ ทุกคนจึงได้ยินเสียงเด็กๆ และเจอตัวเด็กๆ เมื่อตอนใกล้เช้าในที่สุด
ไม่เพียงเท่านั้น รัมภามักหูแว่วได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กอันเยือกเย็น ในขณะที่ศามนกลับหูแว่วได้ยินเสียงท่องมนตร์ดำ ที่แสนเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์ของหญิงคนหนึ่งที่คุ้นหู ทั้งสองต่างเก็บนิมิตเสียงอันแตกต่างเหล่านี้ไว้ไม่บอกกันและกัน
รัตตี้และไลล่าเล่าให้พ่อกับแม่ฟังว่า ทั้งสองคนออกไปหาขุมทรัพย์มา ซึ่งจริงๆ แล้วพวกเขาถูกใครคนหนึ่งปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก และสะกดให้เดินออกจากห้องนอนไปที่เรือนหลังเล็กท้ายสวน ระหว่างทางได้พบกับลูกหมาสีดำตัวหนึ่ง เด็กๆ เหมือนถูกสะกดให้เดินตามลูกหมาตัวนั้นไป มันนำทางให้ทั้งคู่เดินออกมาที่ศาลาท่าน้ำ ลูกหมาตัวนั้นค่อยๆ ตะกายลงไปในน้ำและจมหายไปต่อหน้าต่อตาทั้งสองคน ในตอนนั้นเด็กแฝดได้ยินเสียงหญิงชราคนหนึ่งกระซิบข้างหูให้ลงไปในน้ำเพื่อช่วยลูกหมา แต่ที่ริมน้ำฝั่งตรงข้ามพวกเขากลับเห็นหญิงชราหน้าตาใจดีอีกคนโบกมือห้ามไม่ให้ลงไป เด็กๆ เล่าว่าในตอนนั้น พวกเขาได้ยินเสียงที่ผู้ใหญ่ตะโกนตามหา จึงไม่คิดลงน้ำตามลูกหมาตัวนั้นไป แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงไม่สามารถขานตอบได้
ตาหล้าและยายคำบอกศามนและรัมภาว่า คุณทวดคงคิดพาโหลนออกไปเที่ยวจึงดลใจให้ผู้ใหญ่มองไม่เห็นตัวเด็กๆ หลังจากที่คุณทวดเสียชีวิตลง ตาหล้าและยายคำเคยเห็นร่างคุณทวดมานั่งเล่นที่ชานบ้านบ่อยๆ แต่ท่านมาดีเหมือนมาช่วยปกปักรักษาที่นี่ เมื่อทุกคนคุยเรื่องคุณทวดทีไรมักได้กลิ่นธูปหอมลอยมาเสมอ หลังจากที่ศามนและรัมภาพบลูกแฝดแล้ว รัมภาเหมือนหูแว่วได้ยินเสียงหญิงชราหัวเราะเย้ยหยันเรื่องที่ลูกๆ ของเธอหายตัวไปจนเกือบจะจมน้ำตาย เธอรู้สึกกลัวมากแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง
ศามนไปทำงานรับตำแหน่งผู้จัดการในบริษัทคอมพิวเตอร์ข้ามชาติ โดยมี “อนุกูล” (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) เป็นรองผู้จัดการ มี “วรรณศิกา” (ปาจรีย์ ณ นคร) เป็นเลขา และมี “พัชนี” (เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) พนักงานใหม่เข้ามาเป็นผู้ช่วยวรรณศิกา อนุกูลเป็นเพลย์บอยหนุ่มรูปงาม ท่าทางกรุ้มกริ่มกับสาวๆ จนถูกพัชนีเตือนให้รู้โทษของการผิดศีลห้า นั่นทำให้อนุกูลรู้สึกขำขันกับพนักงานใหม่ สาวสวยแต่ชอบทำตัวเป็นแม่ชีอย่างพัชนี จนต้องคอยยั่วโมโหและแกล้งพัชนีอยู่บ่อยๆ
วันนั้น อนุกูล วรรณศิกา และพัชนี ติดตามศามนเข้ามาเยี่ยมรัมภาที่บ้านเพื่อช่วยเหลือในฐานะเพื่อนร่วมงานที่ดี พัชนีมีกล้องติดมือมาด้วยจึงถ่ายภาพบ้านของศามนตามมุมต่างๆ ไว้ เมื่อพัชนีกลับบ้านเอาให้ “ลุงช่วง” (เผ่าทอง ทองเจือ) ดู ลุงช่วงนั่งทางในพบว่าบ้านหลังใหญ่นั้นมีบ้านหลังเล็กแทรกตัวอยู่ ห่างกันแค่คลองเล็กๆ คั่น ลุงช่วงรีบบอกให้พัชนีติดต่อศามน อย่าให้ใครไปเปิดบ้านหลังเล็ก มิฉะนั้นมนต์ดำของวิญญาณร้ายจะออกมา
แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ศามนออกไปสำรวจท้ายสวนตามทางที่เด็กๆ บอก จนไปเจอเรือนหลังเล็กสกปรกรกร้างริมน้ำและถูกล็อกกุญแจแน่นหนา ศามนงัดกุญแจที่มีผ้ายันต์ปิดอยู่ออก ศามนเข้าไปข้างใน เสียงมนต์ดำ เสียงโซ่ที่ถูกลากไปตามพื้น และเสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังไปทั่วจนศามนเป็นลมล้มลง ก่อนจะตื่นขึ้นมากลายเป็นศามนคนใหม่ที่เฉยชาและขี้หงุดหงิด
ศามนสงสัยว่าทำไมห้องที่เรือนหลังเล็กต้องมีลูกกรงแน่นหนา จนมารู้ทีหลังว่าที่นี่เป็นเรือนที่คุณทวดหวงมากไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่ง ศามนชอบบรรยากาศที่เรือนหลังเล็กมาก ขณะที่รัมภารู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ที่นี่ ศามนไม่คิดนอนที่เรือนใหญ่ที่ตั้งศพคุณทวดอยู่ตั้งแต่แรก เขาจึงสั่งตาหล้าให้ซ่อมแซมและปรับปรุงเรือนหลังนี้เสียใหม่ เพื่อทำเป็นที่พักแทน จากเรือนรกร้างเมื่อตกแต่งใหม่ก็กลายเป็นเรือนหลังเล็กสีขาวน่าอยู่ รัมภาลงทุนทำสระว่ายน้ำเล็กๆ เพื่อให้เด็กๆ ว่ายน้ำเล่นกัน เพราะไม่อยากให้เด็กๆ ลงไปเล่นน้ำที่บึงน้ำหลังบ้าน
เมื่อครอบครัวของศามนย้ายมาอยู่เรือนหลังเล็ก รัมภาไม่เคยนอนหลับสนิทสักคืน เธอได้ยินแต่เสียงหัวเราะเย้ยหยันของหญิงคนหนึ่งแว่วเข้าหูตลอดคืน อีกทั้งมักฝันเห็นผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนสีดำ สวมเสื้อคอกว้างแขนกุดเสมอไหล่ ผมยาวระต้นคอรุ่มร่าม ดูเหมือนผู้หญิงในฝันจะยิ้ม แต่รอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความน่ากลัว ความฝันซ้ำๆ ซากๆ ถึงหญิงชราคนนี้ทำให้เธอผวาตื่นยามดึกอยู่บ่อยๆ เธอตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับศามนและขอย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น แต่ศามนกลับคิดว่าเธอหูฝาดและคิดมากไปเอง รัมภาจึงนำความฝันประหลาดนี้ไปเล่าให้ยายคำฟัง เพราะเธอนึกว่าผู้หญิงที่ฝันเห็นเป็นคุณทวด ยายคำกลับบอกว่าลักษณะแบบนั้นตามที่เธอเล่าให้ฟังไม่ใช่คุณทวดอย่างแน่นอน เพราะคุณทวดไม่เคยไว้ผมยาวรุ่มร่าม ท่านจะตัดผมทรงพุ่มๆ และเกล้ามวยเท่านั้น กลายเป็นความสงสัยของรัมภาว่าคนที่เธอฝันเจอคือใคร
จริงๆ แล้วทั้งเรือนหลังใหญ่และหลังเล็กแห่งนี้ต่างมีความหลัง แต่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเพราะคนเก่าแก่ของที่นี่เสียชีวิตไปหมดแล้ว คนที่พอจะรู้ข้อมูลของบ้านสวนแห่งนี้เห็นจะมีเพียง “ยายเพ็ญ” หญิงชราวัยเก้าสิบกว่าๆ เพื่อนบ้านที่หลงๆ ลืมๆ เลอะเลือน ยายเพ็ญอาศัยอยู่ละแวกนี้มานาน เคยเข้ามาที่เรือนหลังใหญ่เพื่อคอยรับใช้คุณทวดบ่อยๆ ยายเพ็ญมีหลานสาวเปรี้ยวจี๊ดแต่งตัวจัด หน้าตาคมขำชื่อ “เดือนแรม” หรือ “คุณนายเดือน” (สุคนธวา เกิดนิมิตร) ตามที่คนละแวกนี้นิยมเรียก เธออายุมากกว่ารัมภา 2 ปี แต่มีนิสัยแตกต่างจากรัมภาโดยสิ้นเชิง คุณนายเดือนนับเป็นเศรษฐีนีในละแวกนี้ เพราะเธอได้รับมรดกมากมายจากการขายตึกแถวหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิตลง เดือนแรมเป็นหญิงหม้ายสามีทิ้ง ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตเธอรักเงินมากกว่าตัวเธอ คบกันได้ไม่นานก็ทิ้งเธอไปหมด ปัจจุบันจึงมีแต่สาวใช้จอมกระแดะปัญญาน้อยนิดชื่อ “ทองดี” (แอน เนเจอร์กี๊ฟ) เป็นผู้ติดตาม
ด้วยความเป็นคนอยากรู้อยากเห็นของเดือนแรม เมื่อมีเพื่อนบ้านมาอยู่ใหม่อย่างครอบครัวของศามนและรัมภา เธอก็อดไม่ได้ที่จะแวะมาเยี่ยมเยียนเพื่อทำความรู้จัก และเล่าเรื่องราวต่างๆ นานาตามที่เคยได้ยินมาจากยายเพ็ญเกี่ยวกับบ้านสวนแห่งนี้ให้รัมภาฟัง แรกๆ รัมภาก็รู้สึกดีที่มีเพื่อนคุย แต่บ่อยๆ เข้าเธอก็เริ่มรำคาญ เพราะเดือนแรมเป็นคนพูดมากและไม่มีกาลเทศะ เดือนแรมเล่าให้รัมภาฟังว่าเคยได้ยินมาว่า ในอดีตเรือนหลังเล็กแห่งนี้เคยมีคนบ้าถูกขังอยู่ รัมภาจึงให้เดือนแรมพาไปหายายเพ็ญ เพราะอยากรู้ที่มาที่ไปของบ้านหลังนี้
เดือนแรมเข้ามาพัวพันกับครอบครัวนี้บ่อยๆ จนเริ่มคุ้นเคย วันหนึ่งรัมภาฝากให้เดือนแรมเฝ้าบ้านให้ เดือนแรมเผลอนอนกลางวันและเคลิ้มเห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่รัมภาเคยฝันเห็น คือหญิงสาวคมขำ ผมประบ่าเหน็บหูเรียบร้อย สวมเสื้อคอกลมแขนกุด นุ่งผ้าโจงสีสวยงาม ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้เดือนแรม และกระซิบข้างหูเธอซ้ำๆ ว่า “จำเอาไว้ ฉันจะช่วยแก” ในฝันจากภาพหญิงคมขำ ผมประบ่าที่เห็นตอนแรก ค่อยๆ กลายเป็นผู้หญิงผมรุ่ยร่าย ผ้าโจงกลายเป็นสีดำ แววตาน่ากลัวเหมือนคนบ้า เธอจึงสะดุ้งตื่นเพราะนึกว่าโดนผีอำ และเล่าเรื่องนี้ให้รัมภาฟัง รัมภาตกใจที่เดือนแรมฝันเห็นผู้หญิงคนเดียวกับที่เธอเคยฝัน เธอเล่าเรื่องนี้ให้ศามนฟังอีกครั้ง เขายังคงเชื่อว่าเธอคิดมากไปเองเหมือนเดิม
เดือนแรมไปมาหาสู่ที่นี่บ่อยครั้ง จนวันหนึ่งศามนเลิกงานเร็วกว่าปกติ เขาได้มาเจอเดือนแรมที่มาช่วยเฝ้าบ้านให้โดยบังเอิญ ครั้งแรกที่เดือนแรมเจอเขา เธอรู้สึกพึงพอใจในตัวศามน ส่วนศามนไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเดือนแรม แต่ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เดือนแรม เขามักได้ยินเสียงท่องมนต์ของใครคนหนึ่ง และมักเห็นเงาหญิงสวย แววตายั่วยวนคนหนึ่งซ้อนอยู่ในตัวเดือนแรม
คืนหนึ่งรัมภาเคลิ้มฝัน เห็นผู้หญิงคมขำผมประบ่าคนเดิม ท่าทางเกรี้ยวกราดดุดันชะโงกหน้ามาหา และเอานิ้วจิ้มหน้าผากเธอ สักพักเธอพบว่าตัวเองลอยละลิ่วไปยืนกลางสะพานหน้าบ้าน และเห็นผู้หญิงอีกคนที่มีใบหน้าเศร้า และกลายเป็นรูปคุณทวดหน้าศพท่าทางเกรี้ยวกราดวิ่งตาม ทำท่าจะตะครุบตัวเธอ และร่างนั้นก็หายวับไป รัมภาสะดุ้งตื่นเล่าความฝันให้ศามนฟัง เขาก็รับฟังแต่รู้สึกเอือมระอาและหนักใจ ที่รัมภามีอาการจิตหลอนมากขึ้นทุกวัน ศามนสังเกตว่าตั้งแต่ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ รัมภามีอาการผิดไปจากครั้งที่อยู่ด้วยกันที่เมืองนอก เธอมักหวาดผวากับบางสิ่งบางอย่าง แม้แต่เมื่อเขาไปยืนใกล้ๆ เธอยังตกใจสะดุ้งจนตัวลอย ศามนอยากพาเธอหลบพ้นจากบรรยากาศที่บ้านสวน จึงให้วรรณศิกาช่วยเป็นธุระพารัมภาพาลูกๆ ไปพักผ่อนจิตใจที่หัวหิน เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น ส่วนตัวเขาเองติดงานไม่สามารถไปกับครอบครัวได้
รัมภาเล่าความฝันให้วรรณศิกาฟัง วรรณศิกาเชื่อตามที่รัมภาเล่า และพาเธอไปรู้จักกับลุงช่วง ลุงของพัชนี ที่เป็นคนธรรมะธรรมโมนั่งสมาธิมานาน สามารถนั่งทางในเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจเห็นได้ ลุงช่วงบอกความจริงที่น่ากลัวกับรัมภาว่า บ้านสวนของเธอทั้งเรือนใหญ่และเรือนเล็กต่างมีวิญญาณเป็นหญิงแก่สองคนสิงสถิตอยู่ ที่เรือนหลังใหญ่มีวิญญาณดีวนเวียนอยู่ไม่ยอมไปเกิดใหม่เพราะเป็นห่วงลูกหลาน แต่ที่เรือนหลังเล็กมีวิญญาณร้ายวนเวียนอยู่เพราะต้องการจองเวรรัมภา วิญญาณร้ายเป็นโอปปาติกะที่มีความพยาบาทอาฆาตแรงมาก จนเป็นบ่วงร้อยรัดเธอไว้ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ลุงช่วงไม่สามารถติดต่อกับวิญญาณร้ายได้ จึงไม่รู้ว่าเธอต้องการจองเวรรัมภาเรื่องอะไร
ลุงช่วงบอกว่าพลังของวิญญาณร้ายไม่ยอมรับบุญกุศลหรือคำแผ่เมตตาที่รัมภาส่งไปให้ เธอไม่ยอมอโหสิกรรมและไม่ยอมพ้นจากบ่วงกรรมที่เคยแค้นไว้แต่ชาติปางก่อน ลุงช่วงแนะนำให้รัมภาหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทั้งแก่วิญญาณทั้งสองบ้าน เพื่อให้เลิกจองเวรจองกรรมต่อกัน เพราะกรรมของใครก็ของคนนั้น คนอื่นช่วยไม่ได้นอกจากต้องพยายามหาทางช่วยตัวเอง รัมภาจึงนิมนต์เจ้าอาวาสวัดใกล้บ้านมาทำพิธีบังสุกุลที่เรือนหลังใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นผล เธอยังคงฝันร้าย และพบกับสิ่งลี้ลับแปลกๆ ที่บ้านสวนแห่งนี้ตลอด
หลังๆ เดือนแรมเริ่มเข้ามาตีสนิทและพยายามให้ท่าศามนอยู่บ่อยๆ ในขณะเดียวกันรัมภาเริ่มมีอาการหวาดผวาหนัก ไม่สามารถหลับนอนกับศามน และเริ่มติดยากล่อมประสาท ศามนยิ่งเครียดและเริ่มหวั่นไหวต่อเดือนแรม
อนุกูลรู้สึกสงสารรัมภา เขาพาตัวเองเข้ามาแทนที่ศามน เป็นเพื่อนสนิทรัมภา และทำตัวทดแทนพ่อให้เด็กแฝด โดยแอบหวังว่า จะทำให้ศามนหึงและกลับมาเป็นครอบครัว แต่ผลออกมาตรงกันข้าม ศามนยิ่งรังเกียจรัมภาจนถึงขั้นทะเลาะกัน และยังทำให้ความสัมพันธ์ของอนุกูลเองและพัชนีที่เพิ่งเริ่มต้น ง่อนแง่น ระส่ำระสาย
https://www.facebook.com/teeneedotcom