กว่าจะได้เป็น ไอดอลเกาหลี ... เลือดตาแทบกระเด็น


กว่าจะได้เป็น ไอดอลเกาหลี ... เลือดตาแทบกระเด็น

ภาพลักษณ์ที่ดูดีอยู่เสมอของเหล่าบรรดาไอดอลเกาหลี ที่กำลังแผ่ขยายความนิยมไปในตลาดเพลงทั่วโลก อาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่า ชีวิตของไอดอลช่างสวยงามเหลือเกิน พวกเขาคงไม่ต้องทำอะไร นอกจากทำตัวให้ดูดีไปวันๆ


    และพาลคิดไปว่า การจะเป็นไอดอลได้ก็คงไม่ต้องเหนื่อยอะไรมากมาย แค่มีรูปร่างหน้าตาดี แค่นั้นก็คงจะพอ

     ซึ่งผิดถนัด!!!!

     การจะเป็นไอดอลเกาหลีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ... เมื่อคิดจะเดินบนเส้นทางสายนี้ คำว่า "ทุ่มเท" ยังดูจะน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ ...  

     เพราะกว่าจะได้ชื่อว่าเป็น "ไอดอล" พวกเขาต้องผ่านขั้นตอนและความเหนื่อยยาก ลำบากทั้งกายใจมามากมายจนเรียกว่า "เลือดตาแทบกระเด็น" ก็คงจะไม่ผิดอะไร 



ขั้นตอนแรก การออดิชั่น

     การออดิชั่น เป็นการคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติและศักยภาพที่ดีพอสำหรับการ "เป็น" หรือ "นำมาสร้างให้เป็น" ไอดอล


     ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยกรรมการที่ชำนาญการจริงๆมาเป็นผู้ตัดสิน เด็กวัยรุ่นหลายๆ คนที่ผ่านคัดเลือก อาจจะดูไม่น่าสนใจในสายตาคนทั่วไป แต่พวกเขากลับกลายเป็นไอดอลแถวหน้าของวงการหลังจากนั้น


     ขณะที่หลายๆ คนก็ฉายแววโดดเด่นมาตั้งแต่แรกเริ่ม

     ในปัจจุบันการออดิชั่นกลายเป็นกลยุทธิ์ทางการตลาดรูปแบบหนึ่งของค่ายเพลงดังๆ พวกเขาจะจัดให้มีการออดิชั่นในหลายๆ ประเทศ เพราะนอกจากจะได้เด็กวัยรุ่นที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างที่ต้องการมาเป็นศิลปินฝึกหัดแล้ว ผู้ที่ผ่านคัดเลือกจากต่างประเทศก็ยังจะมีส่วนให้การเจาะตลาดในประเทศนั้นๆ ง่ายมากขึ้น

    ยกตัวอย่างเช่น การที่ 2PM มีหนุ่มไทยอย่าง "นิชคุณ หรเวชกุล" เป็นสมาชิก ก็ทำให้ 2PM ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงในไทยมากขึ้นตามไปด้วย

     อย่างไรก็ตาม กลยุทธิ์การตลาดแบบนั้น ก็ไม่ได้ทำให้การออดิชั่นเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนต่างชาติแม้แต่น้อย เพราะในปัจจุบัน ทุกครั้งที่มีการเปิดออดิชั่น จะมีวัยรุ่นสมัครเข้ารับการคัดเลือกอย่างมากมายมหาศาลเสมอ

     เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เจ๋งจริง ไม่เด่นจริงและไม่โดนใจกรรมการจริงๆ ก็ยากที่จะผ่านไปสู่ขั้นตอนต่อไป  

ชมคลิป

การออดิชั่นของ คู ฮาร่า จากวง KARA


กว่าจะได้เป็น ไอดอลเกาหลี ... เลือดตาแทบกระเด็น



การออดิชั่นของ ยูนอา จากวง เกิร์ลส์ เจเนอเรชั่น





ขั้นตอนที่ 2 การเป็นศิลปินฝึกหัด
 

     นี่คือขั้นตอนของการวัดใจโดยแท้จริง เพราะหลังจากผ่านการออดิชั่นแล้ว ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะต้องเซ็นสัญญากับบริษัท ซึ่งหมายถึงพวกเขาจะต้องยอมรับเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็น การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายระหว่างการเป็นศิลปินฝึกหัด ทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้ผ่านการคัดเลือกจะจ่ายเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นความรับผิดชอบของบริษัท

     นอกจากนั้นยังต้องทำตามกฎอันเข้มงวดของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการย้ายมาอยู่ในหอหักที่เตรียมเอาไว้ร่วมกับผู้ผ่านการคัดเลือกคนอื่นๆ ห้ามออกไปข้างนอกในยามวิกาล ต้องปรับปรุงรูปร่างหน้าตาและบุคลิก ฝึกภาษาเกาหลีสำหรับคนต่างชาติ ต้องซ้อมร้องเพลงและเต้นตามโปรแกรมที่บริษัทวางเอาไว้ ราววันละ 8-10 ชั่วโมง ซึ่งจะมีการประเมินพัฒนาการของแต่ละคนว่าดีขึ้นหรือไม่ อย่างไร อยู่เสมอ

     ซึ่งผู้ที่ผ่าฝืนกฎ ควบคุมได้ยากหรือมีพัฒนาการไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็อาจถูกขอให้ออกจากการเป็นศิลปินฝึกหัดได้


 

     ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ การเซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดนั้น ไม่ได้เป็นการการันตีว่าพวกเขาจะได้เป็นศิลปินเต็มตัว มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง และไม่สามารถบอกได้ด้วยว่า พวกเขาจะต้องเป็นศิลปินฝึกหัดนานเท่าใด ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ความพร้อมของแต่ละคนและโปรเจคของค่ายในขณะนั้น


     ในปัจจุบัน ผู้ที่เคยเป็นศิลปินฝึกหัดของเกาหลีนานที่สุดก็คือ "โจ ควอน" ลีดเดอร์หรือหัวหน้าวง "2AM" เขาต้องเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่กับค่าย JYP นานกว่า 10 ปี กว่าจะได้เดบิวต์เป็นศิลปินเต็มด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้ว เหล่าบรรดาไอดอลดังๆ มักจะต้องเป็นศิลปินฝึกอยู่ราว 5-6 ปี



ในช่วงเวลาของการเป็นศิลปินฝึกหัด ผู้ที่ทนกับกฎระเบียบและตารางการฝึกที่เข้มงวดไม่ไหว หรืออดทนรอเวลาที่จะได้เดบิวต์ไม่ไหว ก็สามารถขอถอนตัวออกจากการฝึกได้เช่นกัน แต่ก็จะเท่ากับว่าทุกอย่างที่ได้ทำมานั้นสูญเปล่า เพราะนอกจากพวกเขาจะเสียโอกาสในการเป็นศิลปินดังในอนาคตแล้ว ยังเท่ากับว่าพวกเขาได้เสียเงิน ได้ทิ้งชีวิตวัยเรียน ทิ้งครอบครัวมาลำบาก ...  โดยไม่ได้อะไรกลับไปเลย  

     พูดง่ายๆว่า เมื่อพวกเขาตัดสินใจเซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดแล้ว ทุกอย่างต้องเดินไปข้างหน้าเท่านั้น!!!


กว่าจะได้เป็น ไอดอลเกาหลี ... เลือดตาแทบกระเด็น

ขั้นตอนสุดท้าย เป็นไอดอลเต็มตัว



เกิร์ลส์ เจเนอเรชั่น

     ผู้ที่มีความอดทนเป็นเลิศ มุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างเต็มที่ จะได้ก้าวสู่การเป็นไอดอลอย่างที่หวังเอาไว้ แต่การเป็นไอดอลของเกาหลี ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับศิลปินหน้าใหม่

     ในฐานะของการเป็นไอดอลหน้าใหม่ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าเดินสายโปรโมตผลงานของตัวเอง พวกเขาต้องแย่งชิงพื้นที่สื่อให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งการออกรายการวาไรตี้ การให้สัมภาษณ์วิทยุและการโชว์ตัวตามงานต่างๆ

     นั่นทำให้เหล่าไอดอลหน้าใหม่แทบไม่เวลาได้นอน จนต้องล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลกันไปก็บ่อย ที่ทนไม่ไหวกับตารางงานที่แน่นอนเอี้ยด ถึงขั้นขอถอนตัวจากวงไปเลยก็มีให้เห็น 

     หรือต่อให้เป็นรู้จักของผู้คนแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังต้องเดินหน้าทำงานอย่างหนักกันต่อไป ตามตารางงานที่บริษัทจัดไว้ให้ เพราะวงการเพลงของเกาหลีนั้นมีการแข่งขันสูงมาก มีวงไอดอลเกิดใหม่แทบทุกเดือน คนที่หยุดพัฒนาตัวเองก็เท่ากับรอเวลาถูกลืม

     เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องซ้อมร้องซ้อมเต้นกันเป็นประจำแล้ว การทำให้เป็นจดจำและสร้างฐานแฟนคลับที่เข้มแข็ง จะช่วยให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น

     ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ใน 1 ปี พวกเขาจะมีวันหยุดเพียงไม่กี่วันเท่านั้น บางคนไม่ได้เจอครอบครัวมาเป็นปีก็ยังมี 
 

     "เราไม่มีชีวิตประจำวันหรอก บางวันเราก็ต้องตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ แต่บางครั้ง งานของเราก็เริ่มหลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้ว สิ่งที่ทำให้เรายังเดินหน้ากันต่อไป ทั้งที่ตารางงานแทบจะฆ่าเราแบบนี้ ก็เพราะเรานึกอยู่เสมอว่า กว่าที่เราจะมาตรงจุดนี้ได้ เราต้องผ่านเรื่องหนักหนาสาหัสกันมาแค่ไหน"  กิกวัง สมาชิกของวงบีสต์กล่าว 

     ยังไม่นับเรืื่องที่ต้องถูกต้นสังกัดเอารัดเอาเปรียบเรื่องสัญญาจนต้องมีการฟ้องร้องเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ไม่ว่าจะเป็น TVXQ หรือ KARA ที่ตัวศิลปินทำงานกันแทบตาย แต่กลับได้เงินส่วนแบ่งเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ที่เหลือเข้ากระเป๋านายทุนเสียหมด

     นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องข้อห้ามปลีกย่อยอีกมากมาย ที่พวกเขาต้องยอมเสียสละเพื่อให้ได้ยืนอยู่ในวงการในฐานะของไอดอลเกาหลี

     เรียกว่า ถ้าไม่อดทน ไม่ทุ่มเทและไม่เจ๋งจริง ..... เป็นไม่ได้ว่างั้นเถอะ
 


กว่าจะได้เป็น ไอดอลเกาหลี ... เลือดตาแทบกระเด็น

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์