ทนายชี้พิธีกรดัง ผู้ชายเบนโล ไม่รับทำสาวท้อง

อดีตเลขาธิการสภาทนายความ แนะสาวที่ถูกพิธีกรดังทำท้องแล้วไม่รับ   ให้เก็บหลักฐานเท่าที่มีแล้วฟ้องศาลเรียกค่าเลี้ยงดูลูก   ชี้ผู้ชายทำผิดต้องยอมรับผิด   อย่าเป็นผู้ชายเบนโล        ...

เรื่องสลดใจสาวอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับพิธีกรมีชื่อโดยไม่รู้ว่าฝ่ายชายมีครอบครัวแล้วกระทั่งตัวเองตั้งครรภ์   ขณะที่พิธีกรคนดังหายหน้าไปและมารดาฝ่ายหญิงได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมเพื่อให้รับผิดชอบลูกที่จะเกิดมา นั้น  

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 5 ม.ค.  นายวันชัย  ศรศิริ   อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นอดีตเลขาธิการสภาทนายความ   ให้ความเห็นกับไทยรัฐออนไลน์ว่า  สิทธิขั้นพื้นฐานของสาวที่อ้างว่าถูกพิธีกรชื่อดังทำท้อง 8 เดือน  เป็นการล่วงละเมิดทางเพศ   หากเป็นจริง  สามารถเรียกร้องสิทธิของเขา เรียกสิทธิความเป็นบิดาของเด็ก และเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็ก

ประเด็นแรกเมื่อคลอดออกมาแล้วต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเด็กเป็นลูกของพิธีกรคนนี้   อาจจะตรวจดีเอ็นเอแล้วไปฟ้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัว  เมื่อศาลมีคำพิพากษาว่าเป็นลูกของพิธีกร   ผู้หญิงก็มีสิทธิในการเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู   หรือเรียกร้องสิทธิต่างๆ ที่จะพึงมีตามกฎหมาย  แต่จะเรียกในฐานะเป็นภรรยาเป็นคู่สมรสคงไม่ได้  เพราะไม่ได้จดทะเบียน  สิทธิของผู้หญิงไม่มี  แต่สิทธิของลูกมีในทางกฎหมาย  ทั้งค่าอุปการะเลี้ยงดู  ค่าการศึกษา  ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จ่ายได้  และรวมทั้งในอนาคตที่จะเป็นค่าการศึกษาต่างๆจนกระทั่งบรรลุนิติภาวะทางกฎหมาย 

“ส่วนจะจ่ายมากน้อยแค่ไหนแล้วแต่ดุลพินิจไม่สามารถกำหนดได้  คือคุณต้องแสดงให้ศาลดูว่าคุณจะต้องจ่ายอะไรไปบ้างในแต่ละเดือน  ค่าอุปการะเลี้ยงดูต่างๆ   อาจจ่ายเป็นเดือนแล้วแต่ภาวะฐานะ  รวมทั้งภาวะฐานะของผู้ชายด้วยว่าควรจะเรียกได้เท่าไหร่  หากบิดามีฐานะก็สามารถเรียกได้เยอะ   ศาลจะพิจารณาทั้งภาวะฐานะของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงประกอบกัน  เรียกว่า  ภาวะฐานะที่พึงจะเป็น” อดีตเลขาธิการสภาทนาย ความกล่าว

เมื่อถามเรื่องการส่งให้บุตรเล่าเรียนนั้น นายวันชัย กล่าวว่า กฎหมายใช้คำว่าแค่บรรลุนิติภาวะ  แต่สามารถตกลงกันได้ว่าไปถึงระดับปริญญาตรี  แต่ในทางกฎหมายแค่บรรลุนิติภาวะ  คนเมื่อบรรลุนิติภาวะก็เป็นตัวของตัวเอง  แต่ข้อตกลงนี้เกินกว่าได้ไหม  ตอบว่าได้  เช่นบางคนบรรลุนิติภาวะแล้วยังไม่จบปริญญาตรีก็มี  เพราะฉะนั้นอาจมีข้อตกลงว่าบิดาจะอุปการะเลี้ยงดูตลอดจนส่งเสียให้ศึกษาจนจบปริญญาโทหรือปริญญาตรีก็แล้วแต่ข้อตกลง  อันนี้อยู่ที่ศีลธรรมของความเป็นพ่อ คือนอกจากฝ่ายหญิงจะเรียกร้องแล้วศาลจะพิจารณาถึงภาวะฐานะของความเป็นพ่อนำมาประกอบกันแล้วประเมินว่าควรจะจ่ายเท่าไหร่  เช่นระดับเด็กอาจจะขนาดนี้  10 กว่าขวบอาจจะขนาดนี้  ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องตายตัว

สำหรับขั้นตอนในการฟ้องร้องนั้น  นายวันชัยบอกว่า  ปกติการฟ้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจะมีกระบวนการของการไกล่เกลี่ยก่อน   จะมีผู้พิพากษาสมทบ  โจทก์   จำเลย   นักสังคมสงเคราะห์ เข้ามาประกอบร่วม   การพิจารณาใช้เวลาไม่นาน ในกรณีที่มีการไกล่เกลี่ยอาจจะเสร็จเร็ว  แต่ถ้ามีการสู้คดีกัน เช่นฝ่ายชายปฏิเสธเลยว่าไม่ใช่ลูก  ฝ่ายชายสู้คดี   ถ้าศาลชั้นต้นตัดสินแล้วก็มีสิทธิอุทธรณ์  ฎีกา  โดยระยะเวลาการต่อสู้น่าจะอยู่ที่ 3- 5 ปี

อดีตเลขาธิการสภาทนายความ ยังแนะนำด้วยว่าให้ผู้เสียหายเก็บหลักฐานเท่าที่มีให้มากที่สุด  เช่น ช่วงที่มีความสัมพันธ์เคยออกงานด้วยกัน  มีใครรู้เห็นบ้าง  พยานบุคคล   ก็นำมาประกอบได้ว่าเคยไปงานหรือมีภาพวงจรปิด คู่กันหรือภาพไปเที่ยวด้วยกันหรือมีพยานบุคคลยืนยันเคยเห็นไปมาหาสู่  แม้กระทั่งจดหมายรัก หรือบันทึกเสียงพูด  การติดต่อทางโทรศัพท์ 

ส่วนกรณีผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ที่ติดตามข่าวนี้โดนโทรศัพท์ลึกข่มขู่นั้น   อดีตเลขาธิการสภาทนายความ แนะนำว่า   การข่มขู่ถือว่าเป็นการทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ  ถ้าในทางกฎหมายก็อยู่ในมาตรา 309 ขู่เข็ญว่าหยุดการกระทำ ขู่เข็ญหยุดทำข่าวหรือหยุดออกมาพูดเรื่องการท้องนั้น  ก็อาจจะผิดในมาตรานี้ 

“ภาษากฎหมายเรียกว่าเสื่อมเสียเสรีภาพ  เป็นการขู่เข็ญให้กระทำการใดไม่กระทำการใดก็ตาม ซึ่งในมาตรา  309 เรียกว่าความผิดต่อเสรีภาพ  แปลว่าผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย  เสรีภาพ จนผู้ถูกข่มขู่ต้องกระทำการนั้น หรือจำยอมต่อส่ิงนั้น  จะมีโทษจำคุกไม่เกิน  3 ปี   ปรับไม่เกิน 6,000 บาท”

"ถ้าได้กระทำต่อผู้หญิงจริง  โดยพื้นฐานทางศีลธรรมต้องแสดงความรับผิดชอบ  ด้วยจิตวิญญาณกระทำคนอื่นท้อง   มีความเป็นพ่อก็อย่าทำตัวไข่ท้ิงไข่ขว้าง  เสียความเป็นสุภาพบุรุษที่พึงจะเป็น  เสียความเป็นผู้ชาย   ผู้ชายเมื่อกระทำแล้วก็ควรที่จะรับผิดและต้องยอมสารภาพผิดอย่าดันทุรัง  เพราะเมื่อพิสูจน์ไปแล้วเราจะกลายเป็นผู้ชายเบนโล  มันไม่ควรอย่างนั้น  ถ้าเรารับผิดจะไม่มีใครว่า  อย่าเอาความกลัวมาโกหกตัวเอง  โกหกสังคม  เช่นกลัวเมีย  วันหนึ่งถ้าสังคมจับได้คุณก็จะกลายเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ"  ทนายชื่อดังกล่าว



เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์