โหน่งเท่งนักเลงภูเขาทอง ตลกจริง หรือตลกชิน

"โหน่งเท่งนักเลงภูเขาทอง" ตลก"จริง" หรือตลก"ชิน"

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2549 19:50 น.

60 (กว่า)ล้านบาทของภาพยนตร์เรื่อง "โหน่งเท่งนักเลงภูเขาทอง" ตั้งแต่เข้าฉายเมื่อวันที่ 30 มีนาคม จนถึงวันนี้ (6 เมษายน) แม้จะเป็นรายได้ที่ค่อนข้างจะสูง ทว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนคงไม่รู้สึกตกใจสักเท่าไหร่หากมองว่านี่คือหนังตลกฟอร์มใหญ่เรื่องหนึ่งที่มีการลงทุนค่อนข้างจะสูง

ที่สำคัญนี่คือการจับมือกันของ 2 ยักษ์ใหญ่จาก 2 วงการ ระหว่าง "ตา ปัญญา นิรันดร์กุล" แห่งเวิร์คพอยท์ฯ ยักษ์ใหญ่ของวงการทีวี และขาใหญ่ของวงการหนัง "เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ" แห่งค่ายสหมงคลฟิล์มฯ

หนังเล่าย้อนกลับไปถึงสมัยบางกอกเมื่อปี พ.ศ. 2466 ยุคลิเกกำลังเสื่อมความนิยม เพราะมหรสพใหม่ที่เรียกกันว่า "ภาพยนตร์" หรือ "หนัง" กำลังเป็นที่จับตามอง แม้ในแง่กลุ่มคนดูจะไม่ได้แย่งกันอย่างเด่นชัด แต่ในแง่ศักดิ์ศรีของความเป็นมหรสพพื้นบ้านที่สืบสานต่อกันมาจนเป็นมรดกของชาติ บัดนี้ กลับถูกมหรสพต่างชาติรุกราน

เมื่อวิกลิเกต้นไทร ท้ายวัดสระเกษ วิกลิเกที่ยอมรับกันว่ามีคนดูอยู่ในอันดับต้นๆ ของบางกอก เพราะติดใจในเรื่องราวที่ผูกขึ้นมาไม่ซ้ำใคร และลีลาของ บุญเท่ง (เท่ง เทิดเถิง) กับ ลิ้นจี่ (ฝ้าย - อิสรีย์ สงฆ์เจริญ) คู่พระนางสายเลือดแท้ๆ ของ นายแดง (ดม ชวนชื่น) เจ้าของวิก ทำให้วิกลิเกแห่งนี้ยังคงสร้างความสำราญอยู่ได้ จนมีจดหมายจากทางการ ขอความร่วมมืออำนวยความสะดวก ให้กองถ่ายภาพฉายหนังเรื่อง "นางสาวสุวรรณ" กำลังจะมาใช้สถานที่ ซึ่งมีต้นไทรและภูเขาทองมองเห็นเป็นเบื้องหลัง โดยจำเป็นต้องรื้อวิก

บุญเท่งและชาวคณะ (นุ้ย เชิญยิ้ม, กิ๊บ โคกคูน) ไม่ยอมถึงกับประกาศกร้าวให้ "สยามต้องเลือกว่า ถ้ามีนางสาวสุวรรณ ต้องไม่มีลิเกต้นไทร" แน่นอน... สยามเลือก "นางสาวสุวรรณ" การต่อต้านขัดขวางทุกรูปแบบจึงได้เริ่มขึ้น โดยมี น้อยโหน่ง (โหน่ง ชะชะช่า) นักเลงคุมถิ่น ที่มาติดพันลิ้นจี่น้องสาวบุญเท่งเข้าร่วมด้วย

เรื่องราวคงจบลงโดยง่าย ถ้านางเอกที่แสดงเป็นนางสาวสุวรรณ ไม่ใช่คนเดียวคนนั้นที่บุญเท่งเฝ้าฝันถึง...เธอชื่อ นวลจันทร์ (นิกัลยา ดุลยา)

บุญเท่ง ต้องเลือกระหว่างชาวคณะลิเกกับนวลจันทร์ ส่วนน้อยโหน่ง ยังไงก็เลือกลิ้นจี่อยู่แล้ว แต่ถ้าการขัดขวางนี้ไม่สำเร็จ ความรักของเขาก็หมดอนาคตด้วย

เรื่องราวของความรัก บนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นศิลปิน บุญเท่งและน้อยโหน่ง จำต้องทำตัวเป็นนักเลง!
...
มององค์ประกอบโดยรวมทั้งหมดของหนังเรื่อง โหน่งเท่งฯ ที่พร้อมหมด ไม่ว่าจะเป็น การเป็นหนังตลกที่ขายได้ไม่ยาก การได้สองนักแสดงตลกที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น การลงทุนที่ค่อนข้างจะสูง เรื่อยไปจนถึงการใช้สื่อในมือยิงโฆษณาแบบถี่ยิบทุกรูปแบบด้วยการให้สองพระเอกเดินสายออกแทบจะทุกรายการในเครือของเวิร์คพอยท์ (ไม่นับรวมถึงหลายรายการที่สองคนทำประจำอยู่) กับรายได้ 60 ล้านหรือแม้กระทั่งจะขึ้นไปถึง 100 ล้านบาทก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ

ตรงข้ามหากไปไม่ถึงจุดที่ว่านั่นต่างหากที่ชวนให้น่าแปลกใจ และอาจจะถึงขั้น "ตกใจ" สำหรับใครบางคน และก็ดูเหมือนว่าอาจจะมีแนวโน้มให้เป็นอย่างนั้นเสียด้วยถ้าหากว่ากันถึง "คุณภาพ" ของเนื้องานที่ออกมาที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้

"พาณิชย์ สดสี" อาจจะเป็นโปรดิวเซอร์ที่ดี เป็นครีเอทีฟที่ยอดเยี่ยมของเวิร์คพอยท์ และในวงการทีวี ทว่ากับผลงานหนังเรื่องแรกของเขาเรื่องนี้ต้องบอกว่ามีการบ้านที่ให้เจ้าตัวต้องกลับไปคิดอีกเยอะ

โดยเฉพาะการมองให้ทะลุถึงอารมณ์ความแตกต่างระหว่างการเป็นตลกเวทีในทีวีกับความเป็นหนังตลกบนจอ


เนื้อเรื่องของหนังที่หยิบยกประเด็นของการเปลี่ยนถ่ายรูปแบบทางวัฒนธรรม - สภาพสังคมจากยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่งที่จะต้องมีการปะทะกันระหว่างของเก่ากับของใหม่แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในรายละเอียดของเนื้อหาของลักษณะนี้ก็ได้เปิดโอกาสให้มีหลายแง่มุมที่สามารถหยิบจับเอามาเล่นได้ (หากคิดไม่ออกหนึ่งในประเด็นที่เกิดจากพล็อตเรื่องที่มีลักษณะคล้ายๆ กันก็คือหนังไทยเรื่อง "โหมโรง") ทว่าแทนที่จะดึงเอาการ "ปะทะ" ที่ว่ามาสร้างความขัดแย้งเป็นประเด็นนำ หนังกับไปให้รายละเอียดกับความตลกแบบที่เป็น "โหน่ง - เท่ง" ที่หลายคนเห็นจนชินตาและคุ้นเคยกับจังหวะของการเล่นมุกต่างๆ เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคาแร็กเตอร์ มุกตลก หรือกระทั่งความชำนาญเฉพาะด้าน(ลิเก)ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่มันถูกดึงเอามาใช้ประโยชน์น้อยมาก

ไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างอารมณ์ขันของการดู "โหน่ง - เท่ง" ในหนัง กับ "โหน่ง - เท่ง" ในรายการ "ชิงร้อยชิงล้าน" ใน "ระเบิดเถิดเทิง" ใน "โคกคูนตระกูลไข่" ฯ และถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการเพิ่มอารมณ์ที่แตกต่างด้วยการเอาเรื่องของความรัก - ยัดอารมณ์โรแมนติกเข้ามาเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งให้คนดูตามลุ้นถึงการตัดสินใจ แต่หนังก็ทำออกมาได้ไม่ถึงที่สุด

ถึงตรงนี้กลายเป็นว่าการเป็นช่วงขาขึ้นของทั้ง 2 ดารานำ กลายเป็นดาบสองคมของหนังเรื่องนี้ไปโดยปริยาย เพราะในขณะที่คมด้านหนึ่งเป็นบวกสร้างความตื่นเต้นความอยากรู้ให้กับแฟนๆ ของทั้งคู่ แต่คมอีกด้านหนึ่งก็สร้างความยากลำบากให้กับตัวของผู้กำกับเองว่าจะมีการต่อยอดจากความนิยมของทั้งสองไปในแนวทางอย่างไร

ซึ่เปรียบเทียบกับการต่อยอดคาแร็กเตอร์ของ "เท่ง" ใน "หลวงพี่เท่ง" "แอบคนข้างบ้าน" หรือของ "โหน่ง" ใน "คนหอนขี้เรื้อนในคืนเดือนเสี้ยว" ใน "สายล่อฟ้า" 4 เรื่องที่ว่ายังได้รับรางวัลตอบแทนที่ประสบความสำเร็จรวมทั้งเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและน่าสนใจมากกว่า

มองภาพโดยรวมของหนังไทยแนวคอมเมดี้ที่ออกมาหลายเรื่องในระยะหลังๆ ด้วยรูปแบบและความพยายามในการนำเสนอที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น "จี้" "ทวารยังหวานอยู่" "พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า" เสือภูเขา" ฯลฯ คงต้องบอกว่าค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแล้วที่จะหาคนออกมาบอกว่าทำหนังตลก(แบบไหนก็ได้)รับรองได้ว่าไม่ขาดทุน

ส่วนจะเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าคนดูหนังฉลาด(เลือก)มากขึ้น หรือเป็นเพราะคนทำหนังเองที่คิดง่ายๆ จนกระทั่งส่งผลให้งานออกมามักง่าย หรือจะเป็นเพราะทั้งสองเหตุผลประกอบกัน

รายได้ของหนังเรื่อง "โหน่งเท่งนักเลงภูเขาทอง" จะเป็นคำตอบหนึ่ง


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์