ฟ้าหลังฝน ของ “อ้น-สราวุฒิ”

“พอกันที สำหรับความเชื่อ ความคาดการณ์และความหวัง มีแต่ทำให้เราหนักใจ กำจัดมันได้ จิตใจจะสบายขึ้น โละมันทิ้งได้ จะได้จดจ่อใส่ใจกับสิ่งที่ควรทำเสียที”

ข้อความนี้เป็นคมวาทะ จากหนังสือ หิมะกลางฤดูร้อน ของพระอาจารย์ โชติกะ ซึ่งเป็นชาวพม่า ที่เขียนเอาไว้ได้จับใจทีเดียว และข้อความดังกล่าว ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องราวของพระเอกหนุ่มคนนี้ “สราวุฒิ มาตรทอง” พระเอกที่ขึ้นหน้าหนึ่งทั้งน้ำตา กับคำว่าขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง


ซึ่งเรื่องราวของเขาอย่างที่เรารู้ว่า ชีวิตของอ้น เจอเหตุการณ์ใหญ่ๆมาแล้วถึงสองครั้ง

ครั้งแรกกับ สึนามิ ที่รอดตายมาได้ และครั้งนี้กับเรื่องคลิปฉาว ที่เจ้าตัวเองบอกว่าค้นพบแล้วกับคำว่า ความคาดหวัง การแบกรับ และการปล่อยวาง และคำว่าอยากฆ่าตัวตาย ซึ่งวันนี้ฟ้าหลังฝนของ อ้น จะเป็นอย่างไร เราไปคุยกับเขา ซึ่งถือว่าเราได้รับเกียรติอย่างสูงที่อ้น เลือกที่จะพูดคุยกับเราถึงเรื่องราวที่ผ่านมา 
 
“ เรื่องสึนามิที่ผ่านมาทำให้เราโตขึ้นอีก เพราะว่าได้รู้จักชีวิตมากขึ้น คือก่อนเจอสึนามิตอนนั้น ผมมีปัญหาภายในจิตใจตัวเองว่า ผมไม่รู้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ผมถามตัวเองบ่อยมากๆ แล้วช่วงนั้นมีโอกาสไปงานศพบ่อยๆ ก็มานั่งคิดว่าทำไมเรายังอยู่ ทำไมเรายังไม่ตาย แล้วชีวิตมันอยู่ไปเพื่ออะไร แล้วมันมีคุณค่าอะไรไหม จำเป็นขนาดไหนที่เราต้องอยู่ แล้วถ้าวันหนึ่งเราตายไปแล้วจะมีคนมางานศพเราแล้วเขาร้องไห้ให้เราบางไม่นะ เขาจะคิดถึงเราบางไหมนะ คำถามแบบนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้ง




จนได้เจอเหตุการณ์ สึนามิ ที่ทำให้คนตายไปเป็นแสนๆคนเนี้ย แต่เรารอดมาโดยที่ไม่เป็นไรเลย

เราก็รู้ว่าชีวิตที่มีอยู่มันทำอะไรได้อีกมากมาย ช่วยเหลือคนที่ลำบากกกว่าเราได้ ได้เห็นว่าตอนนั้นถ้าเกิดเราตายไปแล้ว มีคนหลายคนร้องไห้ให้เรามากแน่ๆ มันเป็นการตอบคำถามจากเหตุการณ์จริง และจากนั้นมาก็รู้สึกว่าเราทำอะไรได้ก็ทำ เป็นประโยนช์ให้สังคมได้ก็ทำ ถ้ามันไม่เหลือบากกว่าแรงก็ทำ คืออยู่ อยู่เพื่อหนึ่งเลี้ยงตัวเอง ดูแลคนที่เรารัก และอยู่เพื่อคนอื่น ถ้าทำได้

และพอมาถึงเหตุการณ์นี้ ผมก็ได้เรียนรู้อีกว่า การเดินเข้ามาวงการบันเทิงของอ้นเนี้ย อ้นอาจจะเดินเข้ามาพร้อมกับความตั้งใจดี

ตั้งใจอยากจะเป็นนักแสดงที่ดี ตั้งใจจะอยู่วงการนี้ให้ดี แต่อ้นอาจจะผิดไป เรื่องของการแบกรับความคาดหวัง คืออ้นเอาทุกอย่างมาเก็บไว้ที่ตัวเองหมด คือด้วยพื้นฐานนิสัยเป็นคนแคร์คนอื่นมากอยู่แล้ว แคร์สิ่งรอบข้างมาก พอมีอะไรที่เกิดขึ้นกับคนรอบข้างเราหรือว่าคนที่เรารัก มันจะมีผลต่อจิตใจเรา เราจะไม่สบายใจ มักจะทำให้เราเป็นห่วง มันจะทำให้เราคิดมาก


แต่พอเกิดเหตุการณ์ เรารู้สึกว่าเรากลัวไปหมด เราสงสารคนรอบข้างเรา

เราคิดไปไหนต่อไหน สิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมรู้เลยว่าจิตที่มันตกไปต่ำลง ที่มันติดกับคำว่าฆ่าตัวตาย มันอยู่ตรงไหน รู้สึกว่ามันแย่มากแล้ว อยู่ในสถาการณ์ที่แย่มากแล้ว เราแย่แล้ว เราไม่มีทางออก เราทำให้หลายคนเสียใจ เราจะอยู่ไปทำไหม คิดหลายครั้งมากเลย เดี่ยวคิด เดี่ยวคิด แต่ผมก็พยายามที่จะทำให้มันดีขึ้น แต่พอเผลอมันก็กลับมาคิดอีก ผมนอนกอดพระทุกคืนเลยตอนนั้น ร้องไห้เหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ รู้สึกว่าไม่อยากอยู่แล้ว มันคิดถึงจุดที่ว่าเราหายไปเลยดีไหม




แต่พอคิดแบบนี้ปุ๊ป มันก็มีอีกเสียงหนึ่งบอกว่า แล้วอ้น อ้นก็ต้องกลับมาฆ่าตัวตายอีก เพราะเรานับถือศาสนาพุธ

การฆ่าตัวตายเป็นบาปที่สุด แล้วเราก็ต้องกลับมาเกิดเพื่อจะฆ่าตัวตายทุกๆชาติไป แล้วอ้นจะกลับมาเกิดเพื่อจะฆ่าตัวตายทุกๆชาติเหรอ คำถามนี้มันขึ้นมา อ้นก็ไม่ ไม่อยากจะกลับมาเกิดเพื่อฆ่าตัวตายเพราะเรื่องอย่างนี้อีก อ้นไม่อย่าฆ่าตัวตาย อ้นรักตัวเอง แต่อ้นก็ไม่อยากอยู่ อยากหายไปเลย ตอนนั้นมันสับสนมากจริงๆ

แต่ก็ผ่านมาได้เพราะมีกำลังใจจากคนรอบข้างทุกคน หลายๆคนจากคนที่เราคิดไม่ถึงส่งข้อความว่า บอกไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก

มันทำให้ความคิดเราเบาบางลง ทำให้รู้ว่าเราคิดมากๆๆๆไปเอง เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันได้แล้ว และหลายข้อความที่ส่งมาก็เป็นข้อความดีๆและบางข้อความอ้นก็จำได้ มีข้อความจากน้องคนหนึ่ง ที่ส่งมาในศาสนาของเขา เชื่อว่าปัญหาที่เกิดมาบนโลกนี้ เกิดมาเพื่อทดสอบเราบางอย่าง เพื่อให้เราโตขึ้นและก้าวต่อ ตอนนั้นอ่านแล้วก็รู้สึกดีนะ แต่ในใจก็คิดว่าแล้วเมื่อไรมันจะผ่านไปเสียที


ช่วงที่ผ่านมาผมอยู่ได้เพราะกำลังใจจากคนรอบข้างจริงๆและอยู่กับพระ อยู่กับความนิ่งๆเงียบๆ ต่อสู้กับจิตใจตัวเอง

และคิดถึงสิ่งอะไรดีๆที่เคยผ่านมา คิดถึงดวงอาทิตย์ที่ขึ้นตอนเช้า คิดถึงพรุ่งนี้จะมีฝนตกสดชื่น คิดถึงอะไรที่จะผ่านไป ต่อสู้กับความรู้สึกกลัว ต่อรู้กับความรู้สึกเสียใจ คือ ผมรู้สึกว่าผมเข้าวงการมา พอผมทำอะไรได้ดีมีคนชม คำชมเหล่านั้นเปรียบเสมอแก้ว อุ๊ย...อ้น เก่งจังเลย ผมก็มีถาดอยู่ใบหนึ่ง ผมก็เอาแก้วที่เขาให้มาใส่ถาด ความชื่นชมความคาดหวัง มันต้องดี ผมก็เข้าใจว่ามันดีใช่ไหม โอเค งั้นผมก็ทำดีไปเรื่อยๆ แต่ความจริงผมก็ดันเอาแก้วเหล่านั้นมาใส่ถาดไว้จนมันผ่านมา 8-9-10 ปี แก้วที่ผมถืออยู่ในถาดมันหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเยอะมากเลย แรกๆมันก็สวยดี เห็นแล้วสบายใจ มันก็ภูมิใจ



แต่พอวันหนึ่งมันล้มปุ๊ป แก้วมันตกลงมาแตกหมดเลย ผมก็ตกใจ เพราะนั้นมันความชื่นชม ความคาดหวัง

แต่เราทำมันแตกหมดเลย เราแย่แล้ว เราแย่มาก เรามันคนไม่ดี มันเสียใจ หลายๆคนบอกว่าอยากไปคิดมาก อย่าเสียใจ แต่ตอนนี้ที่อ้นเสียใจอยู่ เพราะอ้นคิดว่า ไม่เหลือทีให้อ้นแล้ว คือถ้าเกิดเราไปสวนสัตว์ เราจะเห็นว่าสัตว์มันมีกรงของมัน มันจะมีทีของมันในมุมหนึ่ง วันไหนที่มันอยู่ในมุมของมัน เราจะมองไม่เห็น แต่วันไหนที่มันออกจากมุมของมันมาเราถึงจะเห็น แต่ตอนนี้อ้นรู้สึกว่าตัวเองเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งที่อยู่ในกรง เป็นกรงโปร่งๆไม่มีทีให้อ้นอยู่เลย ไม่ว่าเราจะหันไปทางไหนทุกคนก็มองอ้นตลอดเวลา อ้นรู้สึกว่าอ้นอึดอัด อ้นแค่แบบพยายามจะแข็งแรงขึ้น

อ้นได้แต่รอว่าเมื่อไรเขาจะเอากรงเราไปใส่ทีของเราเสียทีให้เรามีทีอยู่ในมุมหนึ่ง
แต่นั้นคือการเปรียบเทียบนะ แต่โดยส่วนตัวอ้นก็คิดว่าไม่เป็นไรอ้นจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ อ้นจะเข้มแข็งขึ้น อ้นว่าทุกสิ่งมีชีวิตต้องการมุมเล็กๆของตัวเองนะ”


มุมมองกับวงการนี้ ตอนนี้เปลี่ยนไปไหม ?
 
“ ครับ ตอนนี้อ้นก็มามองชีวิตใหม่ มองวงการใหม่ว่า วงการนี้เป็นเหมือนอาชีพ งานทุกงานอ้นทำก็คืองาน ทำเสร็จก็วางไว้อย่าถือมันกลับไป งานทุกงานที่ได้รับความชื่นชมหรือได้รับความคาดหวังที่ดี อ้นก็จะขอบคุณครับ แล้วก็วางไว้ตรงนั้น ทุกอย่างผมทำงานเต็มที่สุดชีวิตแต่ผมไม่เอามันกลับมากับผม ตอนนี้ผมเดินออกจากบ้านด้วยมีแค่อ้น สราวุฒิ มาตรทอง แต่ตัวคนเดียวเท่าที่เห็น ไม่มีการแบกความคาดหวังอะไรอีกแล้ว แค่ชีวิตชีวิตหนึ่ง ตอนนี้ผมรู้เบามากเลย ที่ผ่านมาเราคงเข้าใจผิดคิดไปเอง เพราะเราเอาตัวเองไปเกี่ยวไว้กับงานทุกๆงาน จนมันพันกันไปหมด พอมันเกิดปัญหาใจเราก็เลยแย่”


เหตุการณ์นี้ มันสอนอะไรอ้น บ้าง ?

 
“ มันสอนให้เรารู้ว่า อ้นควรจะมีความรอบครอบให้มากกว่านี้ ความคึกคะนองโอเค ติดมากับมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว แต่มันสอนให้เรารู้ว่าบางทีมันก็กลับมาทำร้ายเรา และมีพี่คนหนึ่งที่ผมรักมาก เขาบอกผมว่าให้อยู่กับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เวลาที่ผมมีปัญหา ถ้าเราวางปัญหาลง แล้วมองมันอย่างเข้าใจ ค่อยๆเคลียร์ไป แล้วเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจ แล้วเราจะเบา แล้วจะอยู่รอด ถ้าเราคิดและแบกมันตลอดเวลาเราจะไม่ไหม เราจะตาย แทนที่มันจะไม่ตาย มันจะตายเร็วขึ้น ก็เลยแบบเออ ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป เกิดมาเป็นมนุษย์มันก็ต้องเจอปัญหาทั้งนั้น แต่นี้เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตสำหรับอ้น แต่ก็เข้าใจแล้วครับว่าเราต้องค่อยๆแก้ไขกันไป ต้องค่อนๆเรียนรู้กันไปครับ ผมไม่อยากตาย ผมไม่อยากฆ่าตัวตาย ผมอยากอยู่อย่างมีความสุข แต่ว่าสุขแบบไหนที่เราจะสุขได้มากที่สุด โดยที่ไม่เดือดร้อนใคร โดยที่เราเองก็ไม่ลำบาก”




แล้วอนาคต ตอนนี้วางไว้ยังไง ?
 
“ ก็ทำงานต่อไปครับให้ดีที่สุด มีพี่ๆที่รักผมหลายๆคนนะครับ บอกว่า อ้นพี่รู้ว่าเรากำลังแย่ในเรื่องจิตใจ แล้วทุกคนก็โพกัสมองมาที่อ้น เพราะฉะนั้นเรื่องงานก็อย่าให้กระทบ อ้นยิ่งต้องทำงานให้ที่ดีที่สุด ดีกว่าเดิม เพราะมันจะได้พิสูจน์ว่า ว่าไม่ได้ เรื่องงานเราก็ยังทำได้ดี เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว
 
แต่จากนี้ไป ผมก็ยังทำงานในวงการบันเทิงแต่อ้น มองโลกใหม่ มองว่างานในวงการบันเทิงก็คืออาชีพ พอถึงเวลาเราก็ทำงาน

แต่พอเสร็จงาน เราก็กลับมาเป็นตัวเรา ที่เป็นคนปกติธรรมดา ก็ไม่เอาความเป็นดารามาติดตัวตลอดเวลาเพราะมันจะเหนื่อย ซึ่งคนเรามักจะมี 3 คนในคนเดียว คือหนึ่ง คนที่คนอื่นเขาอยากให้เราเป็น และสองคนที่เราอยากเป็น และสามคือตัวเราจริงๆ ผมรู้ว่าแล้วว่าเมื่องานเสร็จผมก็จะกลับมาเป็นอ้นที่เป็นตัวอ้นจริงๆ และขอขอบคุณพี่สื่อมวลชน และทุกๆนะครับที่ให้กำลังใจอ้น ขอบคุณจากใจจริงครับ”
 
ขึ้นต้นมาด้วยวาทะคมของพระอาจารย์ โชติกะ ก็อยากจะขอลงท้ายด้วยวาทะคมของท่านอีกเช่นกัน

ที่อยากจะให้คุณอ้น สราวุฒิ กับคำที่ว่า “ ทุกสถานการณ์ ทุกประสบการณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้าย คือโอกาสทองของการเรียนรู้ การยอมรับความไม่แน่นอน และการดำรงชีวิตอยู่กับมันได้ เป็นสัญญาบ่งบอกวุฒิภาวะที่แก่กล้าขึ้นแล้ว บ่อยครั้งที่เรามักต้องการความมั่นใจสำหรับอนาคต แต่....อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด”


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์