สรยุทธ ลาออกสมาคมนักข่าวฯ-ผลสำรวจชี้ เรื่องเล่าเช้านี้ แชมป์รายการทีวี



วันที่ 5 ต.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า จากการสำรวจเรตติ้ง หรือ กระแสความนิยมล่าสุด เกี่ยวกับรายการเรตติ้งยอดนิยมอันดับ 1 ในช่วงเช้า จัดทำโดยบริษัท นีลสัน มีเดีย รีเสิร์ช จำกัด พบว่า รายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งดำเนินรายการโดยนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นั้นครองแชมป์อันดับ 1 ในหมู่คนดูทั่วประเทศ
 
 ทั้งนี้ ผลสำรวจโดย นีลสัน มีเดีย รีเสิร์ช ล่าสุด พบว่า วันจันทร์ที่ 1 ต.ค. 2555  รายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ของนายสรยุทธได้เรตติ้งสูงถึง 4.1 โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นค่าเรตติ้ง TVR ซึ่งเป็นกลุ่มที่วัดคนดูทั่วประเทศเป็นประชาชนทั่วไป เท่ากับจำนวนคน 2,621,000 คน ขณะที่ช่อง 7 รายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ซึ่งออกอากาศในวันและเวลาเดียวกัน ได้เรตติ้ง 2.0 เท่ากับจำนวนคน 1,271,000 คน 

 ต่อมา วันที่ 2 ต.ค. เรื่องเล่าเช้านี้ ได้ 3.7 เช้านี้ที่หมอชิต ได้ 2.0 , วันที่ 3 ต.ค. เรื่องเล่าเช้านี้ ได้ 3.6 เช้านี้ที่หมอชิต ได้ 1.8 , วันที่ 4 ต.ค. เรื่องเล่าเช้านี้ ได้ 3.4 เช้านี้ที่หมอชิต ได้ 2.1 โดย “เรื่องเล่าเช้านี้” ถือเป็นรายการที่มีคนดูสูงมาตลอด ส่วนรายการ “เช้านี้ที่หมอชิต” ของช่อง 7 ที่ถือเป็นรายการอันดับ 2 

 วันเดียวกัน นายสรุยทธ ส่งจดหมายถึงนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีเนื้อหาระบุว่า "กระผมนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ สมาชิกวิสามัญ 2 ของสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอลาออกจากสมาคมฯ โดยขอให้มีผลทันที จึงเรียนมาเพื่อทราบ

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ทางสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า ตามที่ปรากฏต่อสาธารณชน  กรณีคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรและผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ และบริษัทไร่ส้ม มีส่วนพัวพันกับการทุจริตเงินรายได้โฆษณา ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิด และอยู่ระหว่างการดำเนินคดีทางกฎหมายนั้น ในฐานะที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อถือ  ไว้วางใจของประชาชนเป็นสำคัญ กรณีจึงมีเหตุผลที่สังคมควรต้องตั้งคำถาม และสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบ

สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่ในการกำกับดูแลเรื่องจริยธรรมของสื่อมวลชน ได้ตระหนักถึงภาระหน้าที่ดังกล่าว ถึงแม้ผู้ถูกกล่าวหาจะมิได้เป็นสมาชิกโดยตรง แต่ก็นับเป็นภาระรับผิดชอบร่วมกับองค์กรสื่ออื่นๆ ที่จะต้องยืนยันหลักการการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดี ที่ต้องไม่ประพฤติ ปฎิบัติการใดๆ อันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ พฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาแม้จะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่ของการประกอบวิชาชีพ นับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว

สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เห็นว่า ประชาชนผู้บริโภคข่าวสาร ควรได้รับข้อมูล ข้อเท็จจริงโดยครบถ้วน และใช้วิจารณญาณในการเลือกรับสื่อบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์ ไว้วางใจได้ ของสื่อมวลชน ในขณะเดียวกันผู้ถูกกล่าวหาก็สมควรพิจารณาตัวเอง เพื่อธำรงรักษาสถาบันสื่อทั้งระบบให้เป็นที่เชื่อมั่น และศรัทธาของประชาต่อไป

 อย่างไรก็ตาม นายสรุยทธเคยยืนยันในความบริสุทธิ์ใจและการทำธุรกิจอย่างโปร่งใสของตนเอาไว้แล้ว โดยกล่าวผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ 21 ก.ย. ว่า “ตามที่ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิด บริษัทไร่ส้มฯ ผม และพนักงานบริษัท ว่ามีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของพนักงาน อสมท เพื่อให้ช่วยเหลือบริษัทไร่ส้มฯ ได้โฆษณาเกินเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาโดยไม่เรียกเก็บเงินค่าโฆษณา เป็นจำนวนเงิน 138,790,000 บาท ผมเองเนี่ยนะครับ เคยยืนยันออกอากาศไป กันท่านผู้ชม เมื่อครั้งที่พบปัญหาครั้งแรกแล้วว่า พร้อมจะพิสูจน์และรับผิดชอบในเรื่องนี้ ถ้าได้มีกระบวนการตรวจสอบ และจะได้นำมาแจ้งกับท่านผู้ชมต่อไป
 
 “จากนั้นเป็นต้นมา เหตุที่ผมไม่ได้ชี้แจงเรื่องนี้ เพราะเมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในแง่ของกระบวนการขั้นต้นก็คือ ป.ป.ช. ก็ให้กระบวนการดำเนินไป โดยที่ผมก็ต่อสู้ตามกระบวนการ นะครับ ไม่ต้องการที่จะแสดงความเห็นเพื่อเป็นการชี้นำ จนกระทั่งเมื่อ ป.ป.ช.มีความวินิจฉัยชี้มูลเมื่อวานนี้ ผมเองและบริษัทเคารพในคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. แต่ก็จะได้ใช้สิทธิต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ซึ่งก็หมายถึงอัยการ แล้วก็ในชั้นศาลต่อไปนะครับ
 
 “ขออนุญาตใช้เวลาชี้แจงสั้นๆ เมื่อ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด ประการแรก ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด เงินจำนวน 138,790,000 บาท ที่บริษัท อสมทฯ เรียกเก็บจากบริษัทของผมนั้น ผมได้ดำเนินการชำระให้ อสมท ไปครบถ้วน ทุกบาททุกสตางค์แล้วนะครับ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะยังมีข้อความเห็นที่แย้งกัน เมื่อมีข้อตกลงระหว่างบริษัทของผมแล้วก็ อสมท มีข้อตกลงระหว่างกันว่า การแบ่งนาทีโฆษณาในอัตราส่วน 50:50 ก็คือคนละครึ่งเนี่ยนะครับ แต่ในสัญญาที่ทำกับ อสมท กำหนดเอาไว้ว่า เป็นนาทีที่บริษัทจะได้สิทธิ เมื่อ อสมท เรียกเก็บเงินโฆษณาส่วนเกินของบริษัท และ อสมท ยืนยันว่าบริษัทต้องชำระเงินโฆษณาส่วนเกินให้กับ อสมท เมื่อได้ตรวจสอบแล้ว ผมก็ได้มีการชำระไปจนครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ในส่วนที่ อสมท ได้ลงเงินโฆษณาเกินโควตาของ อสมท ในความเข้าใจของบริษัท ซึ่งมีข้อตกลงระหว่างกัน ว่าแบ่งอัตราโฆษณา 50:50  อสมท ปฏิเสธที่จะชำระให้บริษัท ซึ่งผมในนามของบริษัทไร่ส้มฯ ก็ได้ฟ้องร้อง ขอพึ่งศาลปกครอง ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง

 “เพราะฉะนั้น ขอย้ำนะครับ ท่านผู้ชมนะครับ ว่า เงินจำนวน 138 ล้านเศษๆนั้น ได้ชำระให้ อสมท ครบถ้วน จึงไม่ได้มีความเสียหายกับ อสมท ในส่วนนี้ ในแง่ของจำนวนเงิน ขณะเดียวกันในส่วนความเสียหายของบริษัท ผมก็จะรอศาลปกครองต่อไป นี่เป็นประการที่ 1 นะฮะ

 “ประการที่ 2 ป.ป.ช.มีมติว่าบริษัทและผม ยังมีความผิด เพราะคำให้การของพนักงาน อสมท ระดับธุรการคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่า ดำเนินการตามคำแนะนำของผม ผมก็มีหน้าที่จะไปพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมต่อไปเนี่ยนะฮะ ว่าผมไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้ให้คำแนะนำ ไม่แม้กระทั่งจะไปรู้จักกับพนักงานคนนี้ และก็ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว ผมก็จะไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของผม ในขั้นตอนของศาลต่อไป

  “ส่วนที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีหลักฐานเป็นเช็คของบริษัทไร่ส้มฯ ซึ่งผมลงลายมือชื่อเอาไว้จำนวน 6 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 7 แสนกว่าบาท ป.ป.ช.ชี้มูลว่า หรือเห็นว่า เป็นค่าตอบแทนของบริษัทให้กับพนักงานคนนั้น ระดับธุรการ เพื่อจะปกปิดเรื่องนี้นั้น นี่คือข้อชี้มูลนะครับ ก็ขออนุญาตสั้นๆ นะครับ ท่านผู้ชมนะครับ ว่า ในส่วนนี้เนี่ยนะฮะ ผมก็จะได้พิสูจน์ในชั้นศาลต่อไปว่า ผมเป็นกรรมการมีอำนาจลงนามแทนบริษัท เช็คทุกใบที่ออกจากบริษัท ผมเป็นผู้มีอำนาจลงนาม และการลงนามในเช็คนั้น ก็เป็นการลงนามตามขั้นตอนการเบิกจ่ายค่านายหน้าการประสานงานโฆษณาตามปกติ ที่สำคัญ เป็นการจ่ายโดยมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย เอาไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายนะฮะ จึงไม่ได้เป็นกรณีจ่ายสินบนตอบแทนแต่ประการใด

 “ป.ป.ช.ชี้มูลว่า ความผิดของพนักงาน อสมท ระดับธุรการ 1 คน มีความผิดวินัยร้ายแรงและอาญา แต่พนักงาน อสมท อีก 1 คน ผิดวินัยที่ปล่อยปละละเลย ผมก็จะได้ใช้สิทธิพิสูจน์ในขั้นศาลต่อไปนะครับว่า อสมท เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ และอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย่อมต้องมีระบบตรวจสอบทั้งระบบภายนอกและภายในที่เข้มข้น ผมจะได้พิสูจน์ให้เห็นต่อไป ซึ่งก็จะใช้สิทธิของผมว่า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะขอให้พนักงานระดับธุรการเพียงคนเดียวของ อสมท ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ โดยไม่มีใครตรวจสอบพบ หรือไม่มีใครพบ เป็นระยะเวลายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาออกอากาศอย่างเปิดเผย และเป็นที่รับรู้กันในเวลานั้น ว่าเป็นรายการใน อสมท ที่มีโฆษณามากที่สุด

 “อนาคตจะเป็นอย่างไร ผมจะได้ใช้สิทธิของผมแล้วก็จะได้นำมาแจ้งกับท่านผู้ชมต่อไปนะครับ ขอบคุณท่านผู้ชมนะฮะ ที่ติดตามข่าว แล้วก็ให้โอกาสฟังคำชี้แจงของผมด้วย" นายสรยุทธ์กล่าว


ภาพจาก ข่าวสดภาพจาก ข่าวสด


ภาพจาก ข่าวสดภาพจาก ข่าวสด


สรยุทธ สรยุทธ

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์