“ปรัชญา” ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อ “อาบัติ” จำใจ! ตัดฉากแรง

กลายเป็นประเด็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ชั่วข้ามคืน เมื่อ “คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์” สั่งแบนภาพยนตร์เรื่อง “อาบัติ” ของค่ายสหมงคลฟิล์ม ด้วยเหตุมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ทำให้มีเสียงวิพาษ์วิจารณ์โดยเฉพาะในสังคมโซเชียลที่หนุนให้ภาพยนตร์ “อาบัติ” เข้าฉายโดยไม่มีการตัดต่อ ล่าสุด “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” โปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ ขอเปิดใจทุกปมที่ประเด็นร้อนก่อนเข้ารายการ “ข่าวช่อง 2” ที่ สตูดิโอ ช่อง 2 ลาดพร้าว 15 

ความคืบหน้าของอาบัติ ? 
        “เราก็พยายามทำยังไงให้ภาพยนตร์ได้ฉายให้ได้ ซึ่งจริงๆ ก็มีขั้นตอนของมัน มีการอุธรณ์ครับแต่ว่ามันใช้เวลา 15 วันหลักจากถูกแบน แล้วกรรมการก็ 30 วันในการพิจารณาซึ่งเรามองว่ามันช้าไป เพราะว่าเราเสียโอกาสในการที่จะฉายไปแล้ววันที่ล๊อคเอาไว้ ก็เลยพยายามที่จะยอมตัดต่อบ้างทั้งที่ไม่อยากจะตัด แล้วก็พยายามให้ท่านคณะกรรมการลองตรวจอีกสักครั้งหนึ่ง” 
วันนี้ได้ตรวจหรือยังในส่วนที่ตัดใหม่ ? 
        “ยังครับ ก็พยายามที่จะเสนอให้คณะกรรมการตรวจอีกรอบ” 
ฉากสำคัญจะหายไปไหม ? 
        “ฉากที่ว่าแรงๆ เราต้องตัดเพราะทางคณะกรรมการเขาติดฉากแรงๆ แต่จริงๆ แล้วพอตัดไปแล้วมันเสียอรรถรสครับ เพราะว่ามันส่งผลกันแล้วก็เราจะระมัดระวังพยายามตัดไม่ให้เสียอรรถรส” 
หลายฉากไหมที่ต้องตัด ? 
        “ก็เยอะนะครับ ถ้าว่าด้วยภาพก็เยอะ แต่ว่าเราไม่ได้ตัดตามเป๊ะๆ ที่ทางคณะกรรมการว่ามา แต่ที่คณะกรรมการว่ามานั้นเขาก็ได้บอกว่า 4 ข้อนั้นเป็น 4 ข้อที่จะให้เราตัด เพราะคณะกรรการเขาให้ 4 ข้อนั้นคือที่เขาเกิดความรู้สึกไม่ดี แต่ว่าตัดสินใจว่าแบน ไม่ได้ตัดสินใจให้เราตัด 4ข้อนี้ เพราะฉะนั้นเราเลยเลือกตัดตามดุลย์พินิจของเราให้รักษาการเล่าเรื่องให้สมบูรณืให้มากมากที่สุดครับ” 
ได้ยื่นไปใหม่หรือยัง ? 
        “ยังครับ พยายามติดต่อยื่น แจ้งความจำนงว่าเราอยากจะเสนอใหม่” 
4 ข้อที่ขอมาต้องตัดทั้งหมด ? 
        “ไม่เป็นตามนั้นทั้งหมดครับ อย่างเช่นว่าฉากดื่มเหล้า เณรดื่มเหล้าเราก็ตัด ตัดตอนดื่มออกไป แต่ยังเล่าเรื่องว่าดื่มอยู่ ส่วนที่ว่าเณรพูดจาแรงไม่เหมาะสมอันนั้นตัดออกไม่ได้ แล้วก็ที่ว่าเณรไปจับเศียรพระในลักษณะเหมือนไม่ให้ความเคารพวัตถุนะครับ พูดถูกไหมวัตถุ(หัวเราะ) ก็อันนั้นเอาออกไปหน่อย” 
เท่าที่พี่ปรัชดู ตอนที่ตัดออกแล้วเป็นยังไงบ้าง ? 
        “มันหาย ความรู้สึกบางอย่างมันหายไปนิดหนึ่ง แต่จริงๆแล้วในภาพอื่นยังได้อยู่” 
คิดว่าจะผ่านไหม หลังจากตัดแล้ว ? 
        “อันนี้ยังตอบไม่ได้ ต้องถามกรรมการเพนราะว่าเรายื่นให้ท่านพิจารณาใหม่” 
ตอนนี้มีกระแสสังคม อยากให้หนังเรื่องนี้ได้ฉาย ? 
        “ได้ติดตามครับ อันนี้ก็ทำให้เราได้กำลังใจ แล้วก็อีกส่วนหนึ่งตอนนี้ผมมองข้ามความเป็นทำหนังเพื่อธุรกิจ มองข้ามตรงนี้ไปแล้วแล้วนะครับ ผมมองว่าอันนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่ดีมากของสังคมเรา เพราะว่าสังคมเราจริงๆ แล้วผมว่าสังคมยังไม่รู้นะครับว่าคนทำหนังเราติดปัญหากับกฏหมายข้อหนึ่งซึ่งสื่ออื่นๆ ไม่ติด สื่ออย่างพวกคุณ(นักข่าว) ก็ไม่ติดคุณจะนำเสนออะไรคุณไม่ต้องให้รัฐบาลมาควบคุม เพราะจริงๆ กฏหมายรัฐธรรมนูญมีข้อหนึ่งที่ว่าด้วยรัฐบาลต้องไม่แทรกแซงสื่อเพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนเป็นสื่อ ภาพยนตร์ก็เป็นสื่อแต่ว่าไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านั้นนะครับ ในหลายปีก่อนภาพยนตร์ไม่ถูกจัดให้เป็นสื่อ แล้วเราก็ต่อสู้กันมาว่าเราควรจะมีกฏหมาย เราควรจะดูแลเราด้วยตัวเราเองเหมือนกับทุกคนเพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต่อสู้มา ต่อสู้มาหลายปี เปลี่ยนรัฐบ่าลมาหลายชุดแล้ว ซึ่งเราต่อสู้กันมาโดยที่สังคมอาจจะไม่รู้ คราวนี้มาถึงจุดจุดนี้ผมว่านี่แหละคือสิ่งที่เราจะบอกว่าสังคมไม่ได้ต้องการให้รัฐบาลมาตัดสิน เพราะฉะนั้นผมเลยดีใจมากที่การเคลื่อนไหวของสังคมเป็นแบบนี้ ในมุมของคนทำหนังบ ในมุมของสมาคมผู้กำกับ ในมุมของสมาพันธ์ภาพยนตร์ก็จะใช้โอกาสนี้เจรจากับทางรัฐบาลว่าเปลี่ยนกฏหมายเถอะ เป็นกฏหมายที่แบบว่าเราทำหนังเข้าไปเนี่ย เราก็มีความรับผิดชอบสังคม แต่ถ้าสังคมจะแบนยินดี ไม่ใช้ให้ 7 คนมาแบน เพราะว่า 7 คนมาแบนไม่มีใครยอม แต่ทุกวันนี้ที่เรายอมเพราะว่าเราอยู่ใต้กฏหมายนี้อยู่” 
มีคนมาลงชื่อเยอะมาก ? 
        “อยากให้เยอะ อันนี้เท่ากับว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งมามาจากฝีมือของประชาชน เพราะว่าประชาชนเลือกได้ อันนี้ผมว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องมาก” 
ปล่อยแค่ตัวอย่างหนัง ยังมีกระแสสังคมยอมรับขนาดนี้ ? 
        “ก็ดีใจที่สังคมบอกรัฐบาลว่าเราแยกแยะได้ เพราะว่าในบริบทของภาพพยนตร์เราก็รู้กันอยู่ใช่ไหมครับแค่นี้มันไม่ได้อะไรหรอก เพราะจริงๆ แล้วก่อนที่เราจะตัดต่อตัวอย่างตอนนั้นออกไป เราก็คุยกันหลายรอบว่าบางภาพอาจจะสร้างความเข้าใจผิด ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ลดทอนไป แต่จำเป็นต้องเล่าอย่างนี้เพราะเรื่องมันมาทางนี้แล้วก็ในขั้นตอนหนังตัวอย่างมันก็ต้องผ่านการพิจราณาจากคณะกรรมการมาแล้วเหมือนกัน แล้วก็ได้ผ่านมาแล้วจึงได้ฉายออกไป" 
ทราบก่อนทำหนังไหมว่าอะไรที่จะทำให้ถูกแบน ? 
        “ทราบครับ แต่ทราบว่ามันกว้างมาก เพราะจริงๆ แล้วในเตติ้งต่างๆ นั้นมีรายละเอียดครบถ้วน อันนี้ผมรู้ดีในแง่คนทำหนังแล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมไปเป็นตัวแทนของสมาคมผู้กำกับในการไปร่วมทำให้เกิด พรบ.ฉบับเรตติ้ง แล้วก็ไปร่วมร่างคู่มือ เพื่อไปตอบสนองกับกฏกระทรวงว่าด้วยเรตต่างๆ มันมีรายละเอียดอย่างไร เรื่องคำหยาบคาย เรื่องทางเพศ ความรุนแรง เรื่องทางศาสนาแล้วความมั่นคงของชาติ นี่และครับเราจะรู้ว่าในเรตต่างๆ มีเรื่องพวกนี้ได้อยู่ในระดับไหน ซึ่งจะละเอียดมากเราแก้กันหลายรอบด้วยกัน อันนี้คือเรตติ้ง แต่เรตแบนเนี่ยกว้างมาก เพราะว่าเรตแบนนี่เขาได้กำหนดไว้ในมาตรา 29 ที่ว่าด้วยภาพยนตร์ที่ทำให้เสื่อมเสีย และขัดต่อศีลธรรมอันดี แล้วก็ทำลายสถาบันของชาติ รวมถึงสถาบันมหากษัตริย์อันนี้กลายเป็นว่าปล่อยให้อยู่ในดุลย์พินิจของคณะกรรมการซึ่งเรามองเห็นตั้งแต่นานแล้วว่าตรงนี้เป็นปัญหาเพราะนั้นเราก็ชี้มาตรงนี้ตลอดว่าไอ้จำนวนเรตเนี่ยเราโอเคเห็นด้วยและดีด้วย แล้วก็สังคมต้องชอบอยู่แล้ว แต่ว่าแบนเนี่ยมีปัญหาแน่ๆ แต่จะมีเฉพาะภาพยนตร์ที่โดนแบน จะเห็นว่าก่อนหน้านี้เราไม่มีปัญหาใดๆ เลย แต่พอถึงโดนแบนจะมีปัญหา” 
ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของคณะกรรมการที่ให้แบน ? 
        “จริงๆ พี่ไม่เห็นด้วยกับระบบ ผมไม่ได้โทษคณะกรรมการ ไม่โทษกระทรวงวัฒนธรรม ผมโทษระบบ คือต่อให้เปลี่ยนคณะกรรมการชุดนี้เป็นชุดอื่นก็ตามก็เป็นไปได้ที่อาจจะแบน เพราะมันอยู่ที่หลักความคิดเห็น แต่ว่าไม่ควรให้กว้างเกินไปอยู่ที่ดุลพินิจ มันไม่มีเกณฑ์มาจัด” 
เรื่องนี้ก็มีการจัดเรตมาก่อน ? 
        “ต้องมีอยู่แล้ว ทึกเรื่องแหละ เพราะจริงๆ ตอนเรายื่น เราอยากได้เรต 18” 
พี่ปรัชเป็นส่วนหนึ่งในการจัดเรต แต่หนังตัวเองโดนแบน ? 
        “พี่ไม่ได้ร่วมจัดเรต พี่นร่วมในการร่างกฏเกณฑ์กติกา คู่มือในการจัดเรต เราไม่ได้เป็นคณะกรรมการ เพราะการจัดเรตเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ 7 ท่าน” 
ความเป็นไปได้ที่หนังจะเข้าฉาย ? 
        “อย่างที่ว่าเราพยายามทำทุกอย่างให้ได้ฉาย แต่ใจจริงเราอยากได้ฉายฉบับไม่ตัด เรายังมั่นใจ มั่นใจมากๆ แต่ว่าโอเคเราต้องเคารพกฏิกา เครารพความคิดเห็นของกรรมการก็เราก็พยายามเราก็ยอมอ่อนลงมาในการตัด แล้วก็ให้ผ่านให้ได้ แต่เรามีลิมิตนะครับ เราคงไม่ตัดจนถึงกับว่าอะไรก็ได้ เราต้องรักษษความเป็นตัวตนเราอยู่เหมือนกัน” 
พี่ปรัชได้คุยกัยบนักแสดงบ้างไหม ตอนนี้รู้สึกยังไง ? 
        “ผมไม่ได้คุยครับ แต่ว่าคนอื่น ผู้กำกับอาจจะได้คุย ก็เห็นเขาคุยอะไรกัน ผมไม่ได้คุยเพราะว่าอธิบายกับสื่อแล้วก็สังคมที่ตั้งคำถามมา” 
อาบัติจะสอนอะไรให้กับสังคมบ้าง ? 
        “จริงๆ แล้วก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คำสอนพระพุทธเจ้าง่ายๆ แค่นั้นเอง เพียงแต่ว่าวิธีการเล่ามันก็แล้วแต่ผู้กำกับที่เขาอยากเล่าแบบไหน วิธีไหน แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง จริงๆ ผมก็แปลกใจที่ว่ายังมีคณะกรรมการดูแล้วรู้สึกแบบนั้น เพราะจริงๆ ถ้าเกิดว่าภาพยนตร์ที่เราดูแล้วรู้สึกว่ามีแนวโน้มที่จะรู้สึกแบบนั้น เราจะไม่แปลกใจ แต่อันนี้ไม่ใช่เพราะมันเคลียร์มากๆ  แล้วก็ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเกิดนความไม่เข้าใจ แล้วก็ดูจบแล้วรักศาสนามากขึ้น แล้วก็ซึ่งกับศาสนาแน่นอนครับ” 
หนังบ้านเรามุมมองแคบไปไหม ? 
        “ผมว่าคนไทยที่โดยเฉพาะชาวพุทธจะรักหนังเรื่องนี้ ผมเชื่อมั่นอย่างนั้นครับ” 
ได้คำตอบเมื่อไหร่ ฉาย ไม่ฉาย ? 
        “จากการยื่นไปครั้งนี้ใช่ไหมครับ ก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้รอคำตอบว่าคณะกรรมการเขาจะรับหรือเปล่า จะรับตรวจอีกครั้งหรือเปล่า หรือรับแล้วจะรับเมื่อไหร่ จะตรวจเมื่อไหร่ อันนั้นยังไม่ทราบครับ” 
ความเสียหายเยอะไหม ? 
        “อันนี้ต้องถามสหมงคล(หัวเราะ) มันเสียหายแน่ๆ ครับ แต่ว่าผมไม่รู้ว่ายังไง เท่าไหร่” 
บั่นทอนใจไหม ? 
        “บั่นทอนครับ แต่ผมข้ามความรู้สึกนั้นมานานแล้ว ตอนนี้ผมดีใจที่ประชาชนสังคมเคลื่อนไหวในรูปแบบแบบนี้ แล้วก็สื่อมวลชนให้ความสนใจในการนำเสนอเรื่องนี้ แล้วก็ทุกคนก็คงหวังให้ทุกอย่างมันออกมาดี แล้วก็พัฒนาสังคมอันนี้ผมดีใจครับ" 
ต่อไปต้องระวังเรื่องการทำหนังมากขึ้น ? 
        “จริงๆ แล้วในโลกของการสร้าสงสรรค์มันควรจะเปิดกว้าง คุณจะอะไรก็ได้เพียงแต่ว่าคุณต้องรู้นะว่าสิ่งที่คุณเสนอไปมันให้อะไรกับสังคม ง่ายๆ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วควรจะให้ดีกับสังคม ไม่ใช่ไปให้ร้ายต่ออะไร” 

“ปรัชญา” ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อ “อาบัติ” จำใจ! ตัดฉากแรง


“ปรัชญา” ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อ “อาบัติ” จำใจ! ตัดฉากแรง


“ปรัชญา” ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อ “อาบัติ” จำใจ! ตัดฉากแรง


“ปรัชญา” ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อ “อาบัติ” จำใจ! ตัดฉากแรง

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์