เปิดใจ ‘ต่อ’ กับตัวตนที่มีดีมากกว่าในซีรีส์

เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่หลาย ๆ คนกำลังจับตามอง สำหรับ ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร หนุ่มหล่อหน้าตี๋ที่แจ้งเกิดจากบท “ไผ่” ในซีรีส์สุดฮิต “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” ทางช่องจีเอ็มเอ็มวัน ซึ่งกำลังเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์และทำเอาสาว ๆ กรี๊ดไปทั้งบ้านทั้งเมือง วันนี้เราเลยทนเสียงเรียกร้องของแฟน ๆ ไม่ไหว รีบคว้าตัวต่อมานั่งพูดคุย ให้แฟน ๆ เดลินิวส์ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น

แจ้งเกิดเพราะ “ไผ่”

ฟีดแบ็กซีรีส์เป็นยังไงบ้าง?


“ฟีดแบ็กดีมาก ดีกว่าที่เราคาดไว้ เราไม่ได้หวังว่ามันจะต้องมีคนติดตามหรือคนดูมากขนาดนี้ ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นกระแส เวลาเราใช้ชีวิตปกติบางวันก็ตกใจเหมือนกัน เพราะบางวันเราทำงานหรือเรียนมาเหนื่อย เรายังไม่ตื่น เรายังสะลึมสะลืออยู่ที่มหา’ลัยคนมาขอถ่ายรูปเราก็จะตกใจ ก็อ่อ..ครับ ๆ แต่เวลาไปตามงานเราจะรู้สึกดีใจมาก ที่ได้เจอแฟน ๆ เขามาให้กำลังใจกันเยอะมาก ๆ ผมเข้าใจว่าเขาไม่ได้นัดกัน แต่มาเพื่อสิ่งนี้ ผมยังแอบใจสั่น ๆ เลย เพราะไม่เคยเจอแฟนคลับเยอะขนาดนี้ ผมเลยรู้สึกว่าการทำงานที่เราเหนื่อยมามันชื่นใจ แล้วก็รู้สึกว่ากำลังใจมันเต็มเปี่ยมมาก”

บทของไผ่ให้อะไรกับคนดูบ้าง?

“คาแรกเตอร์ของไผ่จะเป็นเด็กเลือดร้อน คิดจะใช้กำลังอย่างเดียว ไม่ชอบเจรจา รักพวกพ้อง รักเพื่อน รักคนในครอบครัว ไม่ชอบให้ใครมารังแกคนรอบตัวเรา คือถ้าไม่เจาะประเด็นเรื่องหนุ่มเลือดร้อน แล้วไปมองที่ประเด็นไผ่กับพ่อ อันนี้ก็จะให้เรื่องครอบครัว ซึ่งครอบครัวทุกครอบครัวแทบจะเป็นแบบนี้ ที่อาจจะมีพ่อหรือแม่ คนใดคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจ แต่ก็จะมีคนหนึ่งที่แอบช่วยเราอยู่ตลอด ผมว่าวัยรุ่นกับผู้ใหญ่มันมีอะไรที่ขัดกันตลอด แต่บางครั้งการขัดกันก็ไม่ใช่เรื่องผิดเสมอไป”

ซีรีส์เรื่องนี้เรียกว่าพลิกชีวิตเราเลยไหม?

“ก็เรียกว่าพลิกเลยแหละ เพราะก่อนหน้านี้ผมเล่นคลับฟลายเดย์มาก่อน ก็มีคนรู้จักเยอะพอสมควร แต่มันยังไม่พีคถึงขั้นฮอร์โมนขนาดนี้ ด้วยความเป็นไผ่ก็ทำให้สิ่งรอบตัวเปลี่ยน คือเราไม่เคยมีคนวิ่งมาขอเราถ่ายรูป ไม่เคยมีคนชอบ ไม่เคยมีคนวิ่งมาบอกว่าพี่เป็นไอดอลผม”

เวลาคนบอกว่าเราเป็นไอดอลรู้สึกยังไงบ้าง?

“รู้สึกไม่ดีครับ เพราะผมไม่ได้ต้องการให้ไผ่เป็นไอดอลใคร คือเด็กเอาประเด็นเล็ก ๆ มาอุปทานเองว่าเท่ จากแค่ฉากต่อยตี ทั้งที่ประเด็นต่อยตีของไผ่ เราต้องการให้ดูตั้งแต่แรก ถึงเหตุผลที่ทำ และการระงับการต่อยตีเขาทำยังไง เพราะเราอยากให้วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ได้เห็นว่าลูกเขาเป็นยังไง ถ้าลูกเขามาอยู่ในเส้นทางนี้ เขามีสิทธิรู้ก่อนว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาเลือกทางนี้ เขาจะถอยได้ทันถ้าเขาคิดได้ แต่คือเราไม่มีโอกาสไปบอกหมดทุกคน แต่ถ้าเราไปออกรายการหรือให้สัมภาษณ์ตามหนังสือเราก็จะบอกตลอดว่าฮอร์โมนไม่ได้เป็นซีรีส์ที่สร้างขึ้นมาสอนคน แต่เป็นซีรีส์ที่สร้างมาเพื่อแตกระแหงแง่มุมให้คนมองว่าสิ่งนี้แต่ละคนคิดว่ามันถูกหรือมันผิด แล้วให้แต่ละคนเลือกเส้นทางของตัวเอง”

ชีวิตจริงของ “ต่อ”

ตัวตนจริง ๆ เราเป็นแบบในซีรีส์ไหม?

        
“เคยเหมือนกันครับ เพราะมันเขียนมาจากตัวผมเอง ผมเคยหลงผิดไปช่วงมัธยม ค่อนข้างถลำลึกไปพอสมควร แต่ยังไม่ไปถึงมุมมืดขนาดนั้น ก็จะเป็นอารมณ์รักเพื่อนแล้วก็ใจร้อน มีต่อยตีปกติตามประสาผู้ชาย พี่ย้งเลยขอเรื่องของผมไปแต่งเติมให้ไผ่มีชีวิตขึ้นมา จุดเปลี่ยนของผมก็เหมือนไผ่ในเรื่องคือไปบวชมา คือผมไปบวชมาช่วง ม.6 ก่อนจะเริ่มเข้ามาทำงาน แล้วก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ผมบวช 7 วันเอง แต่เราได้สติ ได้ความใจเย็นกลับมา บางคนอาจจะพูดว่า 7 วันทำอะไรได้ แต่ของผมทำได้มากกว่าที่ทุกคนคิด เพราะวัดที่ผมไปบวชไม่มีอะไรเลย เป็นวัดแห่งหนึ่งที่พิจิตร อยู่ลึกมาก ตามต่างจังหวัดน่าจะเรียกว่าห้วย วันนี้ไม่มีความเจริญหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเลย ทุกอย่างสงบถึงขั้นที่ไม่มีอะไรทำแล้วใจมันนิ่ง วันหนึ่งกับการที่ไม่มีอะไรทำมันนานมากจนเราคิดว่าเมื่อไหร่มันจะหมดวัน เราได้คิดอะไรเยอะมาก พอกลับมาเพื่อน ๆ ก็คิดว่ามันเป็นเอฟเฟกต์หลังบวชปกติ แต่กลายเป็นว่าเราเปลี่ยนยาวเลย พอไปนาน ๆ มันเริ่มไม่ใช่ คนรอบ ๆ ข้างเราเริ่มรู้สึก เราเป็นคนใช้เหตุผล เราทำอะไรเราคิดก่อนพูด คุณพ่อคุณแม่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ถามว่าเขาดีใจไหม วันหนึ่งเขาเคยพูดออกมาว่าเขาก็ดีใจที่เห็นเราโอเคขึ้น อย่างทุกวันนี้ทำงาน ก็ให้คุณพ่อคุณแม่นะครับ พ่อผมก็บอกว่าตอนพ่ออายุเท่านี้ ยังหาเงินไม่ได้ขนาดนี้เลย เขาก็จะบอกว่าไม่ต้องให้พ่อหรอก เก็บไว้เถอะ แต่เราก็ให้เขาด้วย”

การเรียน?

“ตอนนี้เรียนอยู่คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2 แล้วครับ ก็เรียนหนักมาก มันอาจจะไม่ได้เรียกว่าหนัก แต่เรียนยาก มันจะเป็นการดีไซน์ผลิตภัณฑ์ไปในเชิงนั้น คือมันเอาวิชาวิศวะมาหน่อยหนึ่ง สถาปัตย์ วิทยาศาสตร์ มาปน ๆ กัน ก็ตีกันไปมา (ยิ้ม) แต่จริง ๆ ตอนเด็ก ๆ ผมอยากเป็นครีเอทีฟ อยากเป็นสถาปนิก แต่ว่าก็ไปไม่ถึงฝัน ก็เลยหาฝันทางใหม่มาเรียนทางนี้แทน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะชอบหรือเปล่า แต่ว่าเข้ามาเราก็เริ่มโอเคกับมัน”

แบ่งเวลากันยังไง?
 
“พี่ผู้จัดการเขาจะแบ่งเวลาเราไม่ให้ไปยุ่งกับการเรียน เรียนก็คือเรียน นอกเวลางานก็จะมาลงตารางงาน แต่บางทีก็ไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่ ถ้าบางทีมันชน หรือเป็นงานสำคัญจริง ๆ เราก็ยอมได้ ถ้ามันไม่ใช่วิชาภาค คือไม่ใช่การเรียนไม่สำคัญนะครับ คือการเรียนมาก่อนตลอด ยกเว้นบางงานที่ผู้ใหญ่ขอจริง ๆ เลย ถ้าขอเราก็ให้เพราะเขาขอไม่บ่อย”

“ต่อ” ผู้ไม่มีไอจี

เห็นว่าไม่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กเลย?


“ไม่ชอบครับ พยายามเล่นยังไงก็ไม่ใช่แนว ผมไม่ใช่คนที่มานั่งอัพอะไรตลอด ถ่ายรูปเองแล้วก็ไม่มั่นใจด้วย เราก็จะเขินแล้วก็ไม่มั่นใจ เรากลัวที่จะลงรูปให้ใครดู เพราะรู้สึกว่าตัวเองดูไม่ดีสักรูปเวลาถ่ายก็เลยไม่ชอบ แล้วก็เป็นคนชอบอยู่เงียบ ๆ ก็เลยไม่เล่น แต่ผมเคยเล่นเฟซบุ๊ก ตั้งแต่สมัยไฮไฟว์ แต่ไม่ค่อยได้เล่น คือหลายเดือนมากแล้วค่อยตอบเพื่อน จนเพื่อนก็ลืมไปแล้วว่าเคยมาถาม เราก็รู้สึกว่าเราจะมีเพื่ออะไร มีเพื่อตามกระแสเหรอ เราก็ไม่ได้ทำอะไร ก็เลยเลิกเล่น ปิดไป”

เป็นคนโลกส่วนตัวสูงด้วยหรือเปล่า?

“ไม่นะ ผมเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงบางมุม สิ่งรอบข้างทำอะไรเราไม่ได้ในบางมุม ผมชอบวาดรูป เล่นอะไรตามประสาที่ผมชอบ แต่ถามว่าตลอดเวลาไหมก็ไม่ ผมยังชอบอะไรที่ร่าเริงสดใสอยู่ แต่ผมไม่ชอบโลกโซเชียลเพราะมันไม่ใช่โลกแห่งความจริง คือถ้ามีอะไรเรามาเจอกันเลยดีกว่า โทรฯ คุยกันเลยดีกว่า ดีกว่ามานั่งพิมพ์ คือถ้าอยู่มหาวิทยาลัยผมก็จะไปเล่นเกมกับเพื่อน เป็นเกมที่เด็กผู้ชายเขาเล่นกัน แล้วก็เล่นฟิตเนสบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ทำงานไม่ค่อยว่างเท่าไหร่”

หัวใจของ “ต่อ”

สเปกสาว ๆ เป็นยังไง?


“จะไม่ใช่คนที่คัดหน้าตามาก ไม่ต้องสวยเป็นนางงามมาก็ได้ ชอบคนที่หน้าตาปกติ ชอบคนที่ดูภายนอกแล้วเป็นคนธรรมดา แต่มองแล้วว่าเขาน่าคบไปศึกษานิสัยแล้วเขาเป็นคนดี ชอบคนที่เป็นคนดี แต่พูดแบบนี้บางคนก็จะบอกว่าน้ำเน่า แต่มันคือเรื่องจริง ผมเคยมองผู้หญิงจากหน้าตามาแล้ว ไม่เวิร์กสำหรับผม ผมเลยเลิกที่จะไปศึกษานิสัยว่าเขาเป็นยังไง แต่ถ้าถามสเปกหน้าตาของผมจริง ๆ ผมชอบไปทางหมวยมากกว่า”

รักครั้งแรก?

“โอย...จำไม่ได้แล้ว (ยิ้ม) เด็กเลย ป๊อบปี้เลิฟ กุ๊กกิ๊กปกติ แต่ไม่ได้เกิดการคบหากัน แต่ผมไปแอบชอบรุ่นพี่มากกว่า แต่เขาไม่ได้สนใจ ตอนนั้นเรียนคนละโรงเรียนกัน ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนมาก่อน ค่อยย้ายมาเรียนที่แอ๊ดเวนตีส เอกมัย ตอน ม.5  พอต้องมาเจอสาว ๆ เยอะ เราก็รู้สึกแปลก คือผมเป็นคนขี้เขินผู้หญิง ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยดึงดูดเพศตรงข้าม แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเกย์นะ (หัวเราะ) แต่ผมจะรู้สึกเกร็งทุกครั้งที่เจอเพศตรงข้าม ไม่ใช่เขินเพราะเขาถูกใจ ถูกสเปกเรา แต่เพราะคุณคือผู้หญิง แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มหาย เพราะว่าเราทำงาน เราเจอคนเยอะ ก็เริ่มชินบ้าง”

ตอนนี้มีความรักไหม?

“ก็มีครับ มีแฟนครับ ก็คบกันไม่นานมากครับ ประมาณ 3 ปี ถามว่าไม่กลัวสาว ๆ อกหักหรอ คือผมก็ไม่อยากปิดไง ปิดไปก็เท่านั้น ผมว่าอาชีพเราคือนักแสดง ผมว่าคนที่ชอบเราก็น่าจะชอบเราที่การแสดงมากกว่า”

สุดท้ายก่อนจากกัน หนุ่มต่อก็ขอฝากถึงแฟน ๆ ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดีว่า “ขอบคุณกระแสเกินคาดของทีมงานทุก ๆ คน แล้วก็อยากจะฝากถึงคนที่บอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่โอเคสำหรับเขา ก็อยากให้ลองมองมุมกว้าง ๆ ดู ดูเหตุและผลของมันดีกว่า แทนที่จะบอกว่าฉากนี้ไม่ดีเลย ทำให้คนไทยดูได้ยังไง มันถึงเวลาที่เราต้องเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ๆ บ้าง ไม่ใช่ว่าเราจะลืมวัฒนธรรมไทย แต่เราก็ต้องยอมรับว่าโลกไปถึงไหนแล้ว”.


ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร


ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร


ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร


ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร


ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์